ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 41 ลอบสังหาร

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 41 ลอบสังหาร

ในสระหินทรายแดง

สระน้ำแห่งนี้คือสถานที่สำคัญโบราณ

พื้นที่แห่งนี้มีหินทรายสีแดงปกคลุมจนทั่ว ทำให้สระน้ำดูโบราณและคร่ำครึอย่างถึงที่สุด

แต่ในวันนี้มันได้ถูกทาสีใหม่แล้ว

เลือดสีแดงสดอาบไปทั่วทั้งสระน้ำซึ่งเกลื่อนไปด้วยซากศพของอสูรกายจำนวนนับไม่ถ้วน ท้องฟ้าเบื้องบนระงมไปด้วยเสียงร่ำไห้และโอดครวญไร้ที่สิ้นสุด

ผู้โอดครวญเหล่านี้ส่วนมากเป็นเหล่าอสูรกาย

พวกมันรวมตัวกันอยู่ที่ขอบสระน้ำ เบื้องหน้าพวกมันคือราชันจักรพรรดิอสูรผู้หนึ่ง มันตะโกนขึ้น “บรรพชนผู้ยิ่งใหญ่ ได้โปรดลืมตาขึ้นเถิด! มนุษย์ผู้ชั่วร้ายโจมตีพวกเราอีกแล้ว! พวกเรามาจนถึงขีดจำกัดแล้ว!”

ไม่มีการตอบรับใด ๆ ทั้งสิ้น

ราชันจักรพรรดิอสูรตัวนั้นไม่แม้แต่จะหันมามองขณะที่มันออกคำสั่งอย่างไร้อารมณ์ “สังเวยอีก 10,000 ตัว”

ผู้อารักขาของราชันจักรพรรดิอสูรบังคับให้อสูรกายอีกกว่า 10,000 ลงไปในสระน้ำและสังหารพวกมันทั้งหมด ปล่อยเลือดสาดกระเซ็นเพิ่มเติมลงไปบนพื้นดินสีแดงก่ำ

แม่น้ำเลือดสายใหม่นี้ไหลไปยังใจกลางของสระน้ำซึ่งกำลังดูดซึมราวกับหลุมดำอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ในที่สุดหลังจากเวลาผ่านไป พื้นดินใต้สระน้ำก็เริ่มสั่นไหวเบา ๆ

แล้วน้ำเสียงฟังดูโบราณเสียงหนึ่งก็ถอนหายใจออกมา “ทำไมพวกเจ้าถึงปลุกข้าขึ้นมาอีกล่ะ? เจ้าคิดว่าตัวเองมีชีวิตอยู่มานานเกินไปแล้วหรือไง?”

ราชันจักรพรรดิอสูรผู้นั้นมีความสุขเป็นอย่างมาก “บรรพชน พวกเราจนปัญญาแล้ว! ไม่อย่างนั้นพวกเราคงไม่กล้าปลุกท่านบรรพชนขึ้นมาหรอก”

“เจ้าคือใคร?”

ราชันจักรพรรดิอสูรรีบร้อนตอบ “ท่านบรรพชน ชื่อของข้าคือขู่ฉา”

“ขู่ฉา… อา เจ้าคือผู้ที่กลืนกินวิชาของบรรพชนพฤกษาเข้าไปเพื่อกลายเป็นราชันจักรพรรดิสินะ ในบางแง่เจ้าก็คือทายาทของเขา เจ้าควรจะไปหาเขามากกว่านะ”

ขู่ฉาตอบด้วยคววามขมขื่น “บรรพชนโลหิต ข้า… ข้าไม่กล้าปลุกบรรพชนพฤกษาขึ้นมา”

“โอ้” บรรพชนโลหิตดูจะเข้าใจสถานการณ์ของขู่ฉาดี “เจ้าคงผลิตแร่แคลไซต์เงาไว้บ้างแน่ ๆ เจ้ากลัวว่าเขาจะเอาแร่แคลไซต์เงาของเจ้าไปกินเองงั้นหรือ?”

ขู่ฉาทรุดลงไปบนพื้นด้วยร่างกายสั่นเทิ้มอย่างหนัก มันไม่กล้าตอบกลับไปแม้แต่คำเดียวด้วยซ้ำ

แล้วบรรพชนโลหิตก็ถามด้วยความอ่อนเพลีย “สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?”

ขู่ฉารีบอธิบาย “เผ่ามนุษย์ได้สังหารพวกเรามาตลอดทางจนถึงทุ่งหญ้าฟ้าคลั่ง บรรพชนวิหคทองถูกปลุกขึ้นโดยวิชาลับเผ่าวิญญาณ แต่มันก็พ่ายแพ้ศึกกับเผ่ามนุษย์”

“วิหคทองตายแล้วหรือ?” บรรพชนโลหิตส่งเสียงดังขึ้นเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้น เสียงที่ดังขึ้นเพียงเล็กน้อยนี้ก็ทำให้ผืนโลกสั่นไหว

อสูรกายทั้งหมดในพื้นที่ต่างหมอบลงด้วยความหวาดกลัวและไม่กล้าขยับเขยื้อนแม้แต่ปลายนิ้ว

ขู่ฉาก็เช่นเดียวกัน

หลังจากผ่านไปสักพัก เสียงของบรรพชนโลหิตจึงดังสนั่นขึ้น “ข้าไม่อาจสัมผัสได้ถึงรัศมีของวิหคทองเลย ดูเหมือนเขาจะตายแล้วจริง ๆ”

ขู่ฉาฉวยโอกาสนี้เพื่อขอร้องเขาอีกครั้ง “บรรพชน ได้โปรดช่วยพวกเราด้วยเถิด”

“ไม่มีทาง!” บรรพชนโลหิตปฏิเสธเขาทันควัน “ข้าสัมผัสได้ว่าเกราะป้องกันเริ่มลดตัวลงแล้ว และในอีกไม่นานมันก็จะหายไปทั้งหมด ข้าไม่อาจปลุกทุกคนขึ้นมา ในเมื่อสงครามระหว่างเรากับเทพเจ้ากำลังใกล้เข้ามาแล้ว เรารอคอยช่วงเวลานั้นมาเสมอเพื่อคิดบัญชีพวกเขา เหล่าอสูรศักดิ์สิทธิ์จะกลับไปยังทะเลพลังต้นกำเนิดอย่างแน่นอน!”

ขู่ฉาตอบด้วยความฉุนเฉียว “แต่หากมนุษย์ยึดผืนป่าของเราไป บรรพชนทั้งหลายก็จะไม่มีอสูรกายหลงเหลือไว้ปกป้องเขตแดนอีกแล้ว!”

เมื่อได้ยินดังนั้น บรรพชนโลหิตก็เงียบสนิท

หากไร้ซึ่งอสูรกายที่คอยควบคุมเขตแดนเบื้องต้นแล้ว เผ่ามนุษย์ก็จะบุกรุกชายแดนของอสูรได้อย่างไม่สิ้นสุด และพวกเขาอาจกระทั่งเริ่มโจมตีเทพอสูรและเทพอสูรบรรพกาลเลยก็ได้

หากเผ่ามนุษย์คือผู้ที่ปลุกเทพอสูรและเทพอสูรบรรพกาลขึ้นมา พวกเขาคงมีเวลามหาศาลในการเตรียมกับดักมากมายหลายชนิดไว้ล่วงหน้า แล้วเมื่อบรรพชนเหล่านี้ตื่นขึ้นมา กับดักก็จะทำงานพร้อมกันในคราวเดียว บรรพชนทั้งหลายที่สามารถติดพิษได้ก็จะถูกวางยาพิษ และพวกที่สามารถติดกับดักได้ก็จะติดกับดัก พวกเขาได้พบเห็นกลยุทธ์เหล่านี้บ่อยทีเดียวเมื่อครั้งต่อกรกับเทพเจ้า

มันคือเรื่องจริง โดยเฉพาะสำหรับบรรพชนอย่างเขา หากพวกเขาทุกคนถูกปลุกขึ้น…

ทันทีที่คิดได้เช่นนั้น บรรพชนโลหิตก็ตอบรับคำขอของขู่ฉา “ก็ได้ เอาเลือดของข้าไป 2 หยดและปลุกผู้อาวุโสขึ้นมา 2 คน”

ก้อนเลือด 2 ก้อนลอยออกมาจากรูมืดมิดไร้ที่สิ้นสุดลงบนมือของขู่ฉาและกลับกลายเป็นหยดเลือด 2 หยด

ขู่ฉาเก็บมันไว้และเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “บรรพชนโลหิต ถ้าผู้อาวุโส 2 คนยังไม่เพียงพอล่ะ?”

“หืม?” บรรพชนโลหิตคำรามอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง

ขู่ฉากล่าว “ผู้บุกรุกในคราวนี้มีทั้งเผ่ามนุษย์และเผ่าปักษา ไม่นานก่อนหน้านี้ ทั้งสองเผ่าต่างต่อสู้กันเอง เผ่ามนุษย์ชนะขาดลอยและยึดเอาเมืองล่องนภาไป”

“เมืองล่องนภา… ชาวอาร์คาน่า…” บรรพชนโลหิตพึมพำกับตัวเองขณะตกเข้าสู่ห้วงความคิด

บรรพชนโลหิตมีความรู้เกี่ยวกับชาวอาร์คาน่าอยู่ไม่น้อย

พวกเขาคือเผ่าพันธุ์ที่จำเป็นต้องมีบรรพชนเพื่อทำงานต่าง ๆ ให้สำเร็จด้วยตนเอง

ส่วนเมืองล่องนภาคือชื่อที่เขาได้ยินเมื่อครั้งก่อนที่ถูกปลุกขึ้น

เมื่อได้ยินคำอธิบายของขู่ฉา บรรพชนโลหิตก็คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่งก้อนเลือดให้เขาอีก 2 ก้อน

ก้อนหนึ่งเป็นสีแดงก่ำ ส่วนอีกก้อนหนึ่งเป็นสีของไขกระดูก

บรรพชนโลหิตกล่าว “นี่เลือดของข้าอีกส่วนหนึ่ง หากกระทั่งผู้อาวุโส 3 คนยังไม่เพียงพอก็ใช้ไขกระดูกนี้ปลุกบรรพชนป่าเถื่อนขึ้นมา พวกเราสูญเสียบรรพชนจรัสแสงไปแล้ว ข้าหวังว่าเราจะไม่เสียบรรพชนไปอีกคน อย่าให้ข้าเสียเวลาไปมากกว่านี้ หากเรายังคุยกันต่อไป ร่างกายของข้าจะตื่นขึ้นเต็มที่”

“รับทราบ!” ขู่ฉาโค้งคำนับด้วยความเคารพก่อนจะหันหลังเดินจากไป

ณ เมืองล่องนภา

ณ จุดนี้ เมืองล่องนภากลายเป็นของเผ่าพันธุ์มนุษย์และนิกายไร้ขอบเขตอย่างแท้จริง

บัลลังก์ในวังแสงตะวันชั่วกาลที่เคยเป็นของหยงเยี่ยหลิวกวง ในตอนนี้ถูกครอบครองโดยซูเฉิน

แม้เขาจะไม่เคยเรียกตัวเองว่าเจ้าแผ่นดิน แต่ผู้นำทั้งหลายก็พร้อมใจกันเรียกเขาว่าผู้ปกครองที่แท้จริงของเผ่าพันธุ์มนุษย์

จักรพรรดิหน้าใหม่คนนี้นั่งลงบนบัลลังก์และฟังรายงานจากผู้ใต้บังคับบัญชา

“เผ่าปักษาในเมืองล่องนภาถูกรวบรวมจนหมดแล้ว แต่อาณาจักรแห่งหมู่เมฆยังไม่ได้รับแจ้งเรื่องนี้” หลี่ฉงซานกล่าว

เมืองล่องนภาถูกมนุษย์ยึดครองแล้วโดยสมบูรณ์ แต่ชาวเผ่าปักษายังไม่ได้ถูกกำจัดออกไปทั้งหมด ยังมีเผ่าปักษาอีกจำนวนมากที่ปักหลักอยู่ในอาณาจักรแห่งหมู่เมฆ นอกจากนี้ยังมีจุดลอยอีกกว่า 3 จุดที่จะต้องจัดการ หากไม่สามารถจัดการกับชาวเผ่าปักษาเหล่านี้ได้ ก็คงยังพูดไม่ได้ว่าเผ่าปักษาได้ถูกพิชิตแล้ว

เมื่อซูเฉินได้ยินรายงานของหลี่ฉงซาน เขาก็ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ก่อนที่จะกล่าวอย่างระมัดระวัง “เราจำเป็นต้องจัดการกับพวกนั้น แต่ข้าคิดว่าคงที่ดีสุดหากเราให้หยงเยี่ยหลิวกวงจัดการให้”

“หยงเยี่ยหลิวกวงหรือ?” หลี๋ฉงซานและคนอื่น ๆ ตะลึงงัน

“ใช่” ซูเฉินกล่าวพร้อมพยักหน้า “อย่างไรแล้วเขาก็เป็นผู้ปกครองเผ่าปักษา และอำนาจที่เขามีก็ไม่อาจดูถูกได้เลย การให้เขาประกาศยอมแพ้อย่างเป็นสาธารณะให้แก่อาณาจักรแห่งหมู่เมฆคือวิธีที่ดีที่สุด”

การทำให้หยงเยี่ยหลิวกวงเป็นผู้แถลงการณ์การยอมจำนนนี้จะเป็นบททดสอบครั้งยิ่งใหญ่ให้แก่เขา รวมถึงเป็นความอัปยศอดสูยิ่งนัก

แต่หยงเยี่ยหลิวกวงก็ไม่มีตัวเลือกอื่นใดนอกจากปฏิบัติตาม

“ข้าแค่เกรงว่าหยงเยี่ยหลิวกวงอาจถูกฉีกทึ้งออกเป็นชิ้น ๆ ทั้งเป็นโดยเผ่าปักษาที่โกรธแค้นเมื่อเขากลับไปน่ะสิ” แม้ว่าคำพูดของหลี่ฉงซานจะแสดงให้เห็นถึงความเป็นกังวล ท่าทางของเขานั้นตรงกันข้าม

แม้ว่าชื่อเสียงเกียรติยศของหยงเยี่ยหลิวกวงจะสูงส่งเป็นอย่างมาก ทว่าทุกสิ่งก็เปลี่ยนแปลงไปหลังจากความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่เช่นนี้

หากเขาเสียชีวิตลงในการต่อสู้ ชาวเผ่าปักษาคงมองเขาเป็นผู้นำผู้เสียสละ แต่การยอมแพ้นั้นทำให้เขากลายเป็นผู้ทรยศ

หากเขาต้องการประกาศยอมจำนนต่อไป เขาก็จะได้รับโกรธแค้นและเกลียดชังมากยิ่งขึ้นเท่านั้น

ดังนั้นแล้ว บางทีเผ่าปักษาเพียง 1 ใน 10 ที่นั่นอาจยังจงรักภักดีต่อเขา แต่เผ่าปักษาส่วนมากจะต้องเกลียดเขามากกว่า

แต่ถึงอย่างนั้น นี่ก็คือสิ่งที่ซูเฉินต้องการ

หยงเยี่ยหลิวกวงนั้นทรงพลัง ซูเฉินไม่อาจใช้งานเขาด้วยความมั่นใจได้หากไม่ทำลายความเชื่อมั่นในตัวเขาของชาวเผ่าปักษาลงเสียก่อน

นี่คือเหตุผลที่ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ผู้ทรยศมักจะเป็นคนที่ชั่วร้ายที่สุดเมื่อต้องจัดการกับสหายเก่าแก่ทั้งหลาย

นั่นคือวิธีเดียวที่จะสามารถพิสูจน์ความน่าเชื่อถือในตัวพวกเขาได้

หยงเยี่ยหลิวกวงไม่ต้องการเช่นนั้น แต่ซูเฉินก็จะไม่ให้ตัวเลือกแก่เขาในเรื่องนี้เด็ดขาด

ในเรื่องที่สำคัญถึงเพียงนี้ มันไม่มีพื้นที่ให้แก่ความรู้สึกส่วนตัวของหยงเยี่ยหลิวกวงแม้แต่น้อย

หากเขาคือเผ่าปักษาคนอื่นคนใดก็ได้ ซูเฉินคงไม่จำเป็นต้องทำถึงเพียงนี้ แต่เมื่อเป็นหยงเยี่ยหลิวกวง นี่คือวิธีที่ดีที่สุดในการต้านทานอำนาจของเขา

ซูเฉินตอบหลี่ฉงซานกลับไปเพียงแค่ว่า “ผู้คนเหล่านั้นที่ยินดียอมแพ้จะถูกรวบรวมไว้ด้วยกัน และผู้ที่ไม่ยินดีจะได้รับการจัดการ จำเป็นต้องมีคนทำงานสกปรกสักหน่อย และหยงเยี่ยหลิวกวงก็คือตัวเลือกที่ดีทีเดียว อ้อใช่ ส่งกีฏมารดาและกองทัพยักษ์ไปกับเขา และเลือกแม่ทัพเผ่าปักษาที่ยอมจำนนส่วนหนึ่งไปด้วย”

“รับทราบ!” หลี่ฉงซานพยักหน้า

“เอาละ มีการเคลื่อนไหวใด ๆ จากฝั่งเผ่าคนเถื่อนหรือยัง?” ซูเฉินถาม

ผู้ปกครองคนปัจจุบันของอาณาจักรหลงซาง หลินเฉินหยวน คือผู้รับผิดชอบการจับตาดูเผ่าคนเถื่อน

แม้ว่าหลินเฉินหยวนจะแทบไม่มีชื่อเสียงและอ่อนแอกว่าจักรพรรดิคนอื่น ๆ อยู่มาก ความสามารถทางด้านการเมืองของเขาก็ไม่น้อยหน้าใคร เมื่อได้ยินคำถามของซูเฉิน เขาก็รีบตอบทันที “เผ่าคนเถื่อนไม่ได้ทำสิ่งใดน่าสนใจมากเป็นพิเศษ ข้าถามปราการลุ่มน้ำทองไปเมื่อไม่กี่วันก่อนและได้รับการยืนยันว่าเผ่าใกล้เคียงแค่ใช้ชีวิตตามธรรมดาทั่วไปเท่านั้น”

เมื่อซูเฉินได้ยินดังนั้น เขาก็หรี่ตาลง “หากทุกสิ่งดูปกติ นั่นหมายความว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้นเป็นแน่”

ด้วยเหตุผลบางอย่าง ซูเฉินรู้สึกว่าตานปากำลังห่างไกลออกจากเขาไปเรื่อย ๆ อย่างช่วยไม่ได้

ไม่น่าจะมีทางที่เผ่าคนเถื่อนจะนั่งดูอยู่เฉย ๆ ขณะที่เผ่ามนุษย์กำลังสู้รบกับเผ่าปักษา และคนอย่างตานปาก็ควรจะพยายามวางตัวเองไว้ในสถานะที่ได้เปรียบอย่างกระตือรือร้น ไม่ว่าจะเป็นการร่วมมือกับมนุษย์เพื่อแสดงความเป็นมิตรหรือวางตำแหน่งของตัวเองในอนาคตไว้ หรือจะทำเช่นเดียวกันกับเผ่าปักษา หรือพยายามลอบโจมตีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เขาก็จะได้รับผลประโยชน์ชั่วคราวแต่แท้จริงในกระบวนการนั้น

ซูเฉินหนุนกำลังของปราการลุ่มน้ำทองเป็นพิเศษเพื่อเหตุผลนี้โดยเฉพาะ

แต่ในท้ายที่สุด เผ่าคนเถื่อนก็ไม่ทำสิ่งใดทั้งสิ้น

นี่มันแตกต่างเกินไปกับสิ่งที่ตานปามักจะทำ

ซูเฉินคิดเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกแต่ก็คิดไม่ออกเสียที แต่ในตอนนั้นเอง เสียงโห่ร้องหนึ่งก็ดังลั่นเข้ามาจากข้างนอกวังแสงตะวันชั่วกาล

“เกิดอะไรขึ้น?” เจ้าหน้าที่บางคนไม่สบอารมณ์เมื่อถูกรบกวนอย่างกะทันหัน แต่ความไม่สบอารมณ์นั้นก็เปลี่ยนเป็นความตกตะลึงทันทีที่พวกเขาได้ยินคำตอบ

“มีการลอบสังหาร!”

อะไรนะ?

ทุกคนต่างตะลึงงัน

ใครจะกล้าพยายามลอบสังหารในช่วงเวลาแบบนี้กัน?

แต่คำตอบก็ทำให้ทุกคนต้องตกตะลึงอีกครั้ง

เพราะเป้าหมายการลอบสังหารไม่ใช่เจ้าหน้าที่ระดับสูงแต่อย่างใด เขาเป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญด่านกลั่นโลหิตเท่านั้น

ที่จริงแล้ว ผู้ฝึกตนคนนั้นอยู่ในระดับที่หาตัวพบในกองทัพได้ยากอย่างถึงที่สุด ซึ่งตรงกันข้ามกับทหารชั้นสูงแสนทรงพลังเป็นอย่างมาก

ความแข็งแกร่งของเป้าหมายการลอบสังหารนั้นอยู่ในระดับทั่วไป แต่พรสวรรค์ในการสั่งการของเขานั้นเหนือมนุษย์ ซึ่งเป็นเหตุผลที่เขาได้รับอนุญาตให้ร่วมทัพไปด้วย หลังจากชัยชนะของเผ่ามนุษย์ เขาก็ได้รับหน้าที่บริหารจัดการไปส่วนหนึ่ง มันจึงไม่แม่นยำนักหากจะพูดว่าเขาไม่ใช่คนสำคัญ

แต่เจ้าหน้าที่คนนี้ก็พบว่าตัวเองอยู่ผิดฝั่งในการพยายามลอบสังหาร

โชคยังดีที่เขายังมีลมหายใจอยู่

เมื่อได้ยินดังนั้น ความสนใจของซูเฉินก็ถูกกระตุ้นขึ้นมา “ไปดูกันสักหน่อยเถอะ”

เจ้าหน้าที่วังคนนั้นนอนอยู่บนพื้นด้านนอก ห้อมล้อมไปด้วยศิษย์นิกายไร้ขอบเขตกลุ่มใหญ่

ซูเฉินถาม “มีใครอยู่บ้างในตอนที่การลอบสังหารเกิดขึ้น?”

ศิษย์คนหนึ่งตอบ “ศิษย์มั่วชงอยู่ที่นั่นขอรับ”

“อธิบายมาว่าเกิดอะไรขึ้น”

“ได้เลยท่าน!” มั่วชงกล่าว “ผู้ลอบสังหารเป็นขอทานชราคนหนึ่ง เสื้อผ้าของเขาทั้งเก่าและขาดรุ่งริ่ง แต่เขาคือมนุษย์อย่างแน่นอน”

“ขอทานชรางั้นหรือ?” สายตาของซูเฉินหรี่ลงทันใด

หนึ่งในเหล่าศิษย์พูดขึ้น “เจ้าว่าไงนะ? ขอทานชราหรือ? พวกเราอยู่ในวังแสงตะวันชั่วกาลนะ ขอทานชราจะมาจากไหนกัน?”

มั่วชงตอบ “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน จู่ ๆ เขาก็ปรากฏตัวขึ้น ที่จริงเขากำลังยิ้มและพูดคุยกับข้าตอนที่เขาเข้ามา แต่แล้วจู่ ๆ เขาก็หายไป ข้ากลับหลังหันไปและพบเขายืนอยู่ข้างเจ้าหน้าที่หลี่ หลังจากที่เขาตบหลังของเจ้าหน้าที่หลี่เบา ๆ เจ้าหน้าที่หลี่ก็ล้มลงไปทันที”

ซูเฉินถาม “ขอทานคนนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร?”

มั่วชงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบคำถาม “เขารูปร่างไม่สูงมาก จมูกของเขาเป็นสีแดงราวกับว่าเขาดื่มสุรามา และผมเผ้าของเขาก็กระเซอะกระเซิง”

เขานั่นเอง!

ซูเฉินเริ่มกระวนกระวายอย่างบ้าคลั่งอยู่ในใจ

ในตอนนั้นเอง เจ้าหน้าที่หลี่ผู้ไร้สติก็ตื่นขึ้นในทันใด

เขายิ้มให้แก่ซูเฉินและเอ่ยขึ้น “ไม่เจอกันนานเลยนะซูเฉิน ข้ายินดีกับการเติบโตของเจ้ามาก แต่เจ้ากำลังจะหมดเวลาแล้ว อย่าลืมใช้มันให้ดีละ…”

แล้วศีรษะของเจ้าหน้าที่หลี่ก็ห้อยลงขณะที่เจ้าตัวหมดสติไปอีกครั้ง