บทที่ 40 สู้จนหยดสุดท้าย!
เล่อเฟิงลืมตาขึ้นอีกทีก็พบว่าตนนอนอยู่บนเตียงนุ่ม ข้างกายคือคนคุ้นตา
“ท่านเจ้านิกาย?” เล่อเฟิงพยายามลุกขึ้นนั่งทันที
ซูเฉินไม่หันมา “เจ้านอนไปอย่าเพิ่งขยับ”
“ท่านเจ้านิกาย…” เล่อเฟิงร้องเรียกเสียงเบา ความเศร้าในใจถาโถมออกมาในคราวเดียว ไม่อาจหยุดน้ำตาไว้ได้ ยามศัตรูกำลังลงมือเขาไม่เสียน้ำตาสักหยด แต่ตอนนี้กลับสะอึกสะอื้นเหมือนเด็กคนหนึ่ง
ซูเฉินรู้เหตุผลที่เล่อเฟิงเป็นเช่นนี้แต่ไม่คิดปลอบ กลับวุ่นวายทำเรื่องตนต่อ
เหนือฝ่ามือคือหม้อยาที่หมุนไปมาช้า ๆ เขากำลังคุมเพลิงขนาดเล็กที่คอยให้ความร้อนแก่หม้อต้มยาอยู่
มีกลิ่นหอมโชยออกมาบ้างเป็นบางครั้ง
“สำเร็จ” ซูเฉินเอ่ยขึ้น ไม่ได้เอ่ยกับใครเป็นพิเศษ
เขาหดมือกลับแล้วเปิดฝาหม้อ ที่ก้นหม้อมีเม็ดยาสีเขียวอยู่ 3 เม็ด
ซูเฉินใช้เนตรมองโลกจุลภาคตรวจสอบพวกมัน ผ่านไปนานจึงถอนหายใจ “ยังไม่พอ เช่นนั้นก็พยายามต่อไปแล้วกัน”
ว่าแล้วก็นำยามาให้เล่อเฟิงแล้วเอ่ยเสียงสงบ “ร้องไห้เสร็จหรือยัง?”
เล่อเฟิงจึงหยุดน้ำตาไว้ได้ “ท่านเจ้านิกาย…”
ซูเฉินนั่งลงข้าง ๆ “ตอนพวกมันทำเจ้าพิการเจ้ากลับไม่ยอมแพ้ จะมาร้องไห้เป็นเด็กน้อยอะไรกันตอนนี้เล่า? เอาเถอะ เจ้าแก่กว่าข้า ข้าจะไม่สั่งไม่สอนอะไรเจ้าทั้งนั้น กินเจ้านี่เข้าไปเสีย”
ซูเฉินป้อนยาเม็ดหนึ่งให้เล่อเฟิงกิน
“อะไรหรือ?” เล่อเฟิงถามเสียงสงสัย
“ยาใหม่ที่ข้าวิจัยอยู่ หวังว่าจะช่วยซ่อมแซมทะเลปราณเจ้าได้” ซูเฉินตอบ
เล่อเฟิงส่ายหน้าสิ้นหวัง “ไม่ได้ผลหรอก ทะเลปราณข้าถูกทำลายสิ้นแล้ว ไม่สามารถคุมพลังต้นกำเนิดในร่างได้อีก นับว่าพิการโดยแท้”
เขาไม่เคยได้ยินว่ามีใครที่ไหนฟื้นฟูจากการที่พื้นฐานพลังถูกทำลายเช่นนี้ได้
ซูเฉินกลับเอ่ยเสียงเรียบ “เคยมีคนคิดว่าไม่อาจพัฒนาวิชาสู่อมตะขึ้นได้ แล้วเจ้าคิดว่าอาการพิการของเจ้ามันยากจะรักษาไปกว่าปัญหาที่เผ่ามนุษย์คลายไม่ออกมาเป็นพันเป็นหมื่นปีหรือ?”
เล่อเฟิงชะงักเล็กน้อยก่อนยิ้มขื่น “แต่เช่นนั้นไม่เสียเวลาและกำลังท่านเจ้านิกายมากหรือ?”
ซูเฉินตอบ “อาจจะไม่ ปัญหาที่ดูซับซ้อน แท้จริงแล้วอาจง่ายดายกว่าที่คิด”
“ง่ายดายหรือ?” เล่อเฟิงชะงัก
จริง ๆ แล้วปัญหาการที่พื้นฐานพลังถูกทำลายก็มีมานานนับหมื่นปีแล้วเช่นกัน แต่แค่ไม่สำคัญเท่าวิชาไร้สายเลือดก็เท่านั้น
กระทั่งซูเฉินก็คงไม่สามารถแก้มันได้ง่ายดายปานนั้นกระมัง?
ทว่าซูเฉินกลับเอ่ยเสียงนิ่ง “เจ้ามีบาดแผลมากมายบนร่าง ทะเลปราณถูกทำลาย ทำให้ไม่อาจบ่มเพาะวิชาสู่อมตะได้”
ท่านจะพูดเช่นนี้ทำไม? ก็เพิ่งบอกไปไม่ใช่หรือว่าอาจหาทางรักษาได้?
เล่อเฟิงไม่เข้าใจสิ่งที่ซูเฉินจะสื่อ
แต่ซูเฉินไม่สนใจสีหน้างง ๆ ของเขาแล้วว่าต่อ “แต่แม้จะสร้างทะเลปราณเจ้าขึ้นใหม่ไม่ได้ มันก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะไม่อาจคุมพลังต้นกำเนิดได้อีกเลย หรือไม่อาจก้าวเดินยังหนทางแห่งการบ่มเพาะพลังได้ต่อ ในเมื่อมันเป็นเช่นนี้แล้ว ทั้งข้ายังได้ความรู้ใหม่ด้านการบ่มเพาะพลังมา ข้าคิดว่าเราควรร่วมทดลองหนทางใหม่นี้ด้วยกัน”
“หนทางใหม่หรือ?” เล่อเฟิงชะงัก
“ใช่ ทางใหม่ เราเริ่มต้นบ่มเพาะพลังใหม่ตั้งแต่ต้นได้” ซูเฉินเอ่ย
เป็นแผนการของซูเฉินนั่นเอง!
หลังตรวจร่างกายเล่อเฟิงแล้ว ซูเฉินก็พบว่าอีกฝ่ายไม่อาจหายดีได้อีกต่อไป ปักษาพาลเหล่านั้นชั่วร้ายนัก ไม่เพียงทำลายทะเลปราณ แต่ยังสะบั้นเส้นพลังในร่าง ซึ่งไม่ถึงชีวิตแต่จะทำให้เจ็บจนพูดไม่ออก
กระนั้นซูเฉินก็ยังพบความหวังเสี้ยวหนึ่งในสถานการณ์เลวร้ายเช่นนี้
ความหวังนี้เกิดขึ้นมาจากรากฐานที่มีวิชาสู่อมตะและพลังอมตะเป็นตัวตั้ง
วิชาสู่อมตะของซูเฉินแยกตัวออกมาจากวิชาธรรมดาสามัญค่อนข้างเร็ว
และพลังอมตะก็นับว่าเป็นหนทางที่กว้างและไกลกว่ามาก
เมื่อนำความเป็นไปได้ทั้งสองมารวมกัน ซูเฉินจึงอดรู้สึกไม่ได้ว่าระบบการบ่มเพาะพลังของมนุษย์แท้จริงแล้วลึกล้ำกว่าที่เขาคาดคิดไว้มาก
ทว่าในเมื่อเขาอยู่ด่านมหาราชันแล้ว ตัวเขาจึงไม่ทำลายพื้นฐานพลังตนเองเพื่อเริ่มต้นใหม่
แต่โชคร้ายของเล่อเฟิงเองก็นับว่ามาพร้อมกับโอกาส
การใช้เล่อเฟิงเพื่อทดลองเดินหนทางใหม่นับแต่ต้นอาจทำให้เกิดระบบการบ่มเพาะพลังใหม่ที่อาจกลายเป็นหลักให้มนุษย์ได้
ในตอนนั้น ด่านทะลวงลมปราณอาจเป็นเพียงแค่พื้นฐาน ด่านสู่พิสดารริเริ่มตั้งฐานนั้นขึ้น สูตรยาเม็ดทองคำคือขั้นสุด และยังอาจมีสิ่งที่อยู่เหนือไปกว่านั้นอีกเมื่อเวลาผ่านไปก็เป็นได้
ซูเฉินจะไม่ตื่นเต้นกับโอกาสไร้ขีดจำกัดเช่นนี้ได้อย่างไร?
เขาอธิบายความคิดให้เล่อเฟิงฟัง “เส้นทางแห่งยาเม็ดทองคำเป็นเฟิงหานค้นพบคนแรก งานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ของข้ายังไม่ลงลึกมากจนไขความซับซ้อนได้ ดังนั้นข้าจึงไม่รู้ทั้งจุดเริ่มต้นและจุดจบของมัน จริง ๆ แล้วข้าเพิ่งสัมผัสมันได้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นจึงยังมีสิ่งที่ไม่รู้เกี่ยวกับหนทางนี้อยู่อีกมาก ข้าอยากสร้างรากฐานของระบบนี้ขึ้น สุดท้ายมันจะได้แตกหน่อออกผล เติบโตไปเป็นต้นไม้ใหญ่ที่คอยให้ร่มเงาแก่เผ่ามนุษย์ ตัวข้าไม่สามารถเริ่มใหม่ได้ แต่เจ้าทำได้ หากเจ้าเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น เจ้าอาจได้เป็นผู้บุกเบิกของระบบการบ่มเพาะพลังใหม่นี้เลยก็เป็นได้ เจ้าเต็มใจหรือไม่?”
เล่อเฟิงได้ยินแล้วก็ตื่นเต้นจนตัวสั่นไปหมด “ศิษย์เต็มใจขอรับ!”
แม้หนทางข้างหน้าจะดูแล้วยากเย็นไม่ใช่น้อย แต่เล่อเฟิงก็เหมือนเห็นแสงแห่งหวัง
เขาจะไม่ตื่นเต้นยินดีได้อย่างไร?
ซูเฉินหัวเราะ “เช่นนั้นก็ไม่มีเวลามานั่งเฉยแล้ว ไหนอธิบายมาหน่อยว่าเช่นนี้รู้สึกอย่างไร…”
ซูเฉินพลันแตะนิ้วลงบนหน้าผากเล่อเฟิง
“อ๊าก!” เล่อเฟิงร้องลั่นเสียงเจ็บปวด
หนทางการบ่มเพาะพลังอันแสนทรมานจึงได้เริ่มต้นขึ้น……
——————–
ในขณะที่เล่อเฟิงและผู้สังเกตการณ์คนอื่น ๆ ต่างฝึกฝนอย่างหนักหน่วงในหนทางใหม่นี้ โลกด้านนอกก็เต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายดำเนินต่อ
เมืองล่องนภาเปลี่ยนผู้ครองแล้ว!
สงครามระหว่างมนุษย์และปักษาสุดท้ายก็จบลงในที่สุด เวลากว่าหมื่นปีที่ปักษาครอบครองเมืองล่องนภาได้จบลงแล้ว
หลังจากหยงเยี่ยหลิวกวงประกาศยอมแพ้อย่างเป็นทางการ เผ่าปักษาก็เป็นเหมือนเช่นเผ่าวิญญาณ กลายเป็นเผ่าพันธุ์อัจฉริยะเผ่าที่สองที่ถูกขับไล่ออกจากเผ่าใหญ่ทั้งห้าไป
เผ่าปักษาและเผ่าจิตวิญญาณทมิฬในตอนนี้จึงกลายเป็นทาสของเผ่ามนุษย์
เมื่อกำชัยชนะไว้ได้แล้ว ทหารมนุษย์ต่างก็โห่ร้องนามซูเฉินเฉลิมฉลอง ยกย่องสรรเสริญเขา ยกย่องนิกายไร้ขอบเขต และยกย่องเผ่ามนุษย์! เป็นผลให้มนุษย์ทั้งมวลมีขวัญกำลังใจสูงสุดในรอบประวัติศาสตร์
มีแต่พวกระดับสูงเท่านั้นที่รู้ว่าเผ่ามนุษย์ยังห่างไกลจากคำว่าไร้เทียมทานนัก
กระทั่งเทพอสูรยังสามารถพลิกโอกาสชนะมนุษย์ได้ ยังไม่ต้องกล่าวถึงศึกที่จำเป็นต้องสู้กับเผ่าเทพเลย
ที่สัตว์อสูรมีอำนาจปกครองเหนือทวีปไม่ใช่เพราะจักรพรรดิอสูรกายเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะเทพอสูรด้วย แม้ว่าเผ่ามนุษย์จะควบคุมเมืองล่องนภาและไม่เกรงกลัวเทพอสูรอีกต่อไป เทพอสูรบรรพกาลก็ยังนับว่าแข็งแกร่งมาก
อาณาจักรอาร์คาน่าเคยแข็งแกร่งขนาดไหนกัน? มังกรสุริยะก็ยังสามารถกวาดล้างทำลายมันลงได้
พลังของเทพอสูรบรรพกาลยังไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาสามารถรับมือได้
ดังนั้นจะบอกว่าเก่งกาจหาใครเทียมก็ยังนับว่าเร็วไปสักหน่อย
ในตอนที่ลูกน้องกำลังโห่ร้องยินดีเหมือนโลกจะแตก คนที่มีตำแหน่งสูงต่างกำลังคิดว่าจะพากันกลับไปยังดินแดนมนุษย์อย่างไร
“เรารั้งอยู่ที่นี่นานกว่านี้ไม่ได้แล้ว ไม่เช่นนั้นเทพอสูรต้องปรากฏตัวแน่” เจียงจูเซิงกล่าว
“เทพอสูรปรากฏตัวขึ้นแล้ว” หลินเฉ่าเซวียนยังหนุ่มยังแน่น มั่นใจในตัวซูเฉินและนิกายไร้ขอบเขตมาก
ตู่ชิงซี่ส่ายหน้า “ไม่เหมือนกัน เทพอสูรที่พวกเราประมือด้วยเมื่อตอนนั้นคือตัวที่หยงเยี่ยหลิวกวงจงใจล่อมาหา พวกที่เหลือยังไม่ปรากฏตัวจนกว่าจะจำเป็นจริง ๆ แต่หากเรายังอยู่ที่นี่ต่อไปสถานการณ์อาจเปลี่ยนผันได้”
ทั้งเทพอสูรและเทพอสูรบรรพกาลปรากฏตัวขึ้นด้วยเหตุผลเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือหากสัตว์อสูรตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤต
เผ่าพันธุ์อัจฉริยะทั้งห้าเอาชนะสัตว์อสูรมาหลายครั้งในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา บีบให้พวกมันตกอยู่ในยามคับขัน แต่ทุกครั้งเทพอสูรก็จะปรากฏตัวขึ้น ทำลายล้างเผ่าพันธุ์อัจฉริยะไปเสีย ทำให้เหล่าอสูรกายสามารถเรียกคืนดินแดนที่สูญเสียไปกลับมาได้โดยง่าย
แม้ในหลายหมื่นปีที่ผ่านมาจะไม่มีเทพอสูรบรรพกาลปรากฏตัวขึ้นเลย แต่ก็ยังมีเทพอสูรปรากฏตัวขึ้นอยู่บ้าง ดังนั้นคนตำแหน่งสูงจึงค่อนข้างรู้ดีว่าพวกมันจะกระทำการกันอย่างไร
พวกมันจะทำตามกฎชุดหนึ่งที่มีปัจจัยหลายอย่าง อาทิเช่น ระยะที่ผู้บุกรุกยึดครองได้ ระยะเวลาที่พวกเขารั้งอยู่ในแดน และจำนวนอสูรกายที่พวกเขาสังหารไป สุดท้ายแล้วก็คือต้องยอมสังเวยชีวิตเพื่อจะปลุกบรรพบุรุษขึ้นมาช่วยเหลือนั่นเอง
เมื่อศึกใหญ่กับปักษาได้จบลงแล้ว วันเวลาที่พวกเขาใช้ไปในแดนสัตว์อสูรมีแต่จะเพิ่มโอกาสทำให้เทพอสูรคิดโจมตีพวกเขามากขึ้น
หากเทพอสูรตื่นขึ้นมา ทัพมนุษย์คงไม่ได้สู้กับมันเพียงแค่ตัวเดียว แต่จะเป็นพวกมันหลายตัวในคราวเดียวกัน
เมื่ออสูรกายถูกบีบให้จนตรอก พวกมันก็จะทำให้ศัตรูรู้ว่าพวกมันมีรากฐานแข็งแกร่งเพียงไหน
ไม่มีใครรู้ว่ามีเทพอสูรจำนวนมากเพียงใดที่จำศีลอยู่ใต้ดิน เผ่าพันธุ์อัจฉริยะมีแต่หวังว่าพวกมันจะหลับใหลจนสิ้นชีพไปและไม่ตื่นขึ้นมาอีก
แต่ก่อนหน้านั้น หากเป็นไปได้ก็อย่ากระตุ้นให้มันตื่นขึ้นมาเลยดีกว่า
ผู้นำเจ็ดอาณาจักรทั้งหลายล้วนมีความคิดเดียวกัน ตระกูลกู่เองก็ด้วย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความคุ้นชินกับวิสัยที่ผ่านมานานหลายปี
แต่นิกายไร้ขอบเขตนั้นคิดต่าง
กลุ่มทหารเพิ่งจะก่อตัวกันได้ไม่นาน ยังเต็มไปด้วยกำลังวังชา แม้ว่ารากฐานจะยังกลวงอยู่บ้าง แต่การที่มีผู้เชี่ยวชาญระดับสูงจำนวนมากทำให้พวกเขามั่นใจที่จะต่อกรกับศัตรูไม่ว่าหน้าไหน และที่สำคัญที่สุดคือพวกเขาเชื่อมั่นในตนเอง
ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเกิดขึ้นจากความศรัทธาในผู้นำของตน ไม่ว่าผู้นำจะสั่งให้ไปทางไหน พวกเขาก็จะไปโดยไร้ความลังเล
ดังนั้นจึงไม่มีใครสนใจคำสั่งของหัวหน้าเจ็ดอาณาจักรเท่าไหร่
กระทั่งหลี่ฉงซานยังเอ่ย “ ท่านเจ้านิกายบอกว่าเราดั้นด้นมาถึงที่นี่ไม่ใช่เพียงเพราะเอาชนะปักษาเท่านั้น แต่เพื่อเอาชนะสัตว์อสูรด้วย หากท่านเจ้านิกายไม่สั่งถอยพวกเราก็จะไม่ถอย แต่ถ้าพวกเจ้าขี้ขลาดตาขาวขึ้นมา พวกเราก็ไม่บังคับให้อยู่เช่นกัน”
เจียงจูเซิงตอบเสียงโกรธ “เผ่ามนุษย์มาถึงจุดนี้ได้ก็นับว่าเหลือหลายแล้ว ความคิดเรื่องให้ล่าถอยไม่ได้เกิดจากความขี้ขลาดหรือความเห็นแก่ตัวของข้าแต่อย่างใด เพียงแต่ข้าคิดว่าเราควรจะใช้เวลานี้วางแผนให้ครอบคลุมมากขึ้นอีกสักหน่อย ตอนนี้เราอาจยังต่อกรกับเทพอสูรไม่ได้แม้จะมีเมืองล่องนภา แต่ถ้าต้องสู้กับพวกมันเจ็ดแปดตัวพร้อมกันเล่า? ถึงจะเอาชนะไปได้ แต่หากถูกเทพอสูรบรรพกาลตามล่าอีกเล่า? นี่ล่ะคือสิ่งที่อาณาจักรอาร์คาน่าเคยเผชิญ!”
แม้เจียงจูเซิงปกติจะเห็นแก่ตัว แต่สิ่งที่นางกล่าวในตอนนี้ถูกต้องทุกประการ
กระทั่งหลี่ฉงซานยังต้องยอมรับว่านางพูดมีเหตุผล
แต่ตอนนั้นเองก็มีเสียงหนึ่งเอ่ย “ถึงเทพอสูรบรรพกาลมา เราก็ต้องสู้”
ว่าไงนะ?
ทุกคนตกใจ หันไปเห็นซูเฉินกำลังเดินออกมาจากห้อง
ย่างก้าวเขาไม่เร่งรีบ เอ่ยเสียงนิ่งสงบ “เราเหลือเวลาไม่มาก เผ่าเทพกำลังกลับมา ทวีปต้นกำเนิดต้องตกอยู่ในกำมือพวกเขาในอีกไม่นานแน่ หากเป็นเช่นนั้น เราไม่พ้นต้องตกเป็นทาสพวกเขา ฉะนั้นหากไม่อยากเป็นทาสก็ต้องสู้ แดนรกร้างป่าเถื่อนแห่งนี้ไม่มีใครรุกรานมานานหมื่นปี มีทรัพยากรที่ไม่อาจพบได้จากที่ใดอยู่ เราต้องปล้นเสียให้สิ้น พลิกหินให้หมดทุกก้อน และต้องกลั่นเกลาตนด้วยการสู้กับศัตรูที่แกร่งและน่ากลัวกว่าเก่า อย่างไรสมัยยังมีเผ่าเทพอยู่ คู่อาฆาตหลักพวกเขาก็คือเทพอสูรบรรพกาล หากเราสู้มันได้ เราก็สู้เผ่าเทพได้เช่นกัน”
“ดังนั้นเทพอสูรบรรพกาลและเทพอสูรเหล่านี้นับว่าเป็นคู่ประลองมือที่เหมาะที่สุดแล้ว เราต้องฝึกให้แกร่งขึ้นยามที่มันยังสามารถปรากฎตัวได้แค่ครั้งละตัว เลือดเนื้อของมันยังใช้เป็นทรัพยากรสำคัญให้เราได้อีก! เราไม่สนจักรพรรดิอสูรกายอีกต่อไปแล้ว ที่เราอยากประจันหน้าคือเทพอสูรและเทพอสูรบรรพกาลต่างหาก!”
ตอนนี้ซูเฉินหัวเราะมั่นใจออกมา “10 ปี! เรายังมีเวลาอีก 10 ปี ระหว่างนี้เราจะไม่ไปไหน จะตามล่าพวกสัตว์อสูร บีบให้มันร่นถอยไปเรื่อย หากมันไม่กลายเป็นทรัพยากรคอยส่งเสริม เราก็จะกลายเป็นปุ๋ยให้ถิ่นมัน ข้าไม่บังคับใครให้อยู่ต่อ แต่จะขอเตือนไว้ว่า หากเจ้าไป เจ้าอาจจะหลีกพ้นภัยให้ห่างตัวได้ แต่ก็นับว่าเอาตัวออกห่างจากโอกาสได้ฝึกปรือฝีมือที่ดีที่สุดเช่นกัน หากนิกายไร้ขอบเขตไม่ถูกล้มในศึกที่จะเกิดในกาลข้างหน้า พวกเจ้าจะไร้โอกาสได้อยู่ในยุคสมัยใหม่ที่พวกข้าเป็นผู้ถือครอง”