ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 39 แรงแค้น

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 39 แรงแค้น

ภายในแก่นเมืองล่องนภา

หยงเยี่ยหลิวกวงทรุดลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง

เขาแพ้แล้ว

ศึกครั้งนี้คือศึกระหว่างผู้แข็งแกร่งที่สุดของสองเผ่า แต่ผลลัพธ์กลับออกเอนไปทางเดียวเสียอย่างนั้น

ไร้ศึกดุเดือดหรือแลกกระบวนท่ากันแต่อย่างไร หยงเยี่ยหลิวกวงปราชัยไปในการโจมตีครั้งเดียว

การโจมตีนี้มีพลังอมตะผสม ทำลายการโจมตีทั้งหลายของหยงเยี่ยหลิวกวงลงทันใด

“วิชาอะไรกัน?” หยงเยี่ยหลิวกวงมองซูเฉินตะลึงพลางถาม

“ข้าเรียกมันว่าพลังอมตะ ซึ่งต่างจากพลังศักดิ์สิทธิ์” ซูเฉินเริ่มอธิบายหลักการของพลังอมตะให้หยงเยี่ยหลิวกวงฟัง

เมื่อหยงเยี่ยหลิวกวงได้ฟังก็ทึ่งใจนัก “ไม่เคยได้ยินว่ามีพลังเช่นนี้อยู่มาก่อน พลังนี้มาจากที่ใดกัน?”

คิดอยู่ครู่หนึ่งซูเฉินจึงตอบ “จากพลังชีวิต”

“พลังชีวิต?”

“ถูกต้อง!” ซูเฉินว่าพลางพยักหน้ามั่นใจ “เหล่าเทพได้พลังจากกฎแห่งพลัง ทว่าพลังอมตะเป็นพลังที่มาจากพลังชีวิตภายในตัวเราโดยตรง อย่างน้อยข้าก็เข้าใจเช่นนั้น ทั้งร่างกายเราและธรรมชาติแวดล้อมล้วนเป็นสิ่งล้ำค่า เพียงแต่ในอดีตเราถูกโลกอันแสนยิ่งใหญ่หลอกตา จึงไม่เคยคิดค้นหาพลังจากในร่างกายของเราเอง แต่ตอนนี้ข้าเหมือนเห็นแสงแล้ว”

หยงเยี่ยหลิวกวงได้ยินก็ตกลงสู่ภวังค์ ครู่หนึ่งจึงถามขึ้น “เผ่าปักษาเองก็มีพลังนี้เหมือนกันหรือ?”

“ข้าไม่รู้” ซูเฉินยักไหล่ “ต้องให้ปักษาสักคนฝึกลองดูจึงจะรู้”

น่าสนใจไม่น้อยที่ซูเฉินไม่ได้สังหารหยงเยี่ยหลิวกวงทันที แต่กลับยืนคุยกันราวกับเป็นสหายเก่าที่ไม่ได้พบกันมานานเสียอย่างนั้น

กระนั้นทั้งคู่ก็ไม่มีใครเห็นว่าแปลก

พวกเขาเป็นคนประเภทเดียวกัน มีความทะเยอทะยานสูง จึงเข้าใจกันและกันได้ดี แม้ฝ่ายหนึ่งจะเอาชนะอีกฝ่ายไป แต่ก็ยังนับถือว่าอีกฝ่ายเป็นคู่ต่อสู้ที่คู่ควร แค่เหตุผลนี้เพียงอย่างเดียวซูเฉินจึงไม่คิดว่าตนเก่งกล้าสามารถที่เอาชนะอีกฝ่ายได้ หยงเยี่ยหลิวกวงก็ไม่ได้นึกไม่พอใจที่ตนพ่ายแพ้เช่นกัน

ความสัมพันธ์เช่นนี้นับว่าพบเห็นได้ยาก

ได้ยินคำซูเฉิน หยงเยี่ยหลิวกวงจึงยิ้มขื่น “ดูเหมือนว่าปักษาคงไร้โอกาสเช่นนั้น”

“ก็อาจไม่ใช่” ซูเฉินเอ่ยเสียงลึกล้ำ

“ว่าอะไรนะ?” หยงเยี่ยหลิวกวงได้ยินก็ชะงักไป หันมาจ้องซูเฉินเขม็ง

ซูเฉินว่าต่อ “ข้าบอกว่าเผ่าปักษาเองก็อาจลองฝึกพลังใหม่นี้ได้ ท่านก็รู้อยู่แล้วว่าข้าทำการวิจัยในทุกเรื่องเพื่อมุ่งหวังให้สามารถใช้ได้กับทุกคน ข้าไม่เคยคิดเห็นแก่ตัวเก็บทุกสิ่งอย่างที่ค้นพบไว้ใช้แค่เพียงคนเดียวอยู่แล้ว”

หยงเยี่ยหลิวกวงตอบกลับเสียงเย็น “เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้น”

ซูเฉินหัวเราะ “ท่านคิดหรือว่าข้าจะสังหารปักษาเสียให้สิ้นทั้งหมด? หากท่านเป็นฝ่ายชนะศึก ท่านจะทำอย่างไร?”

หยงเยี่ยหลิวกวงเงียบไป ยังคงจ้องตาซูเฉินนิ่ง ซูเฉินเองก็เช่นกัน

ทั้งสองจ้องตากันอยู่นาน ก่อนที่หยงเยี่ยหลิวกวงจะเอ่ย “หากข้าชนะ ข้าจะไม่สังหารเผ่ามนุษย์จนหมด จะจับเป็นทาสเหมือนกับเผ่าช่างฝีมือ เผ่าช่างโลหะ เผ่าหินผา เผ่าจันทรา ให้ข้าได้ใช้งานได้ตามใจชอบ… แต่เจ้าอย่าได้คิดจะให้เผ่าปักษาเป็นทาสเชียว!”

หยงเยี่ยหลิวกวงเริ่มคำราม ตวัดสายตากร้าวมองซูเฉิน

ไร้ความขอบคุณใด มีแต่ความโกรธและความเกลียดชัง

นี่คือวิสัยของคนเป็นผู้ปกครอง เขายอมตายดีกว่ายอมตกเป็นทาสผู้อื่น

แต่ถึงเขาเลือกได้ หากแต่ปักษาคนอื่นไม่อาจเลือก

ซูเฉินไม่คิดตอบ แต่กลับจ้องหยงเยี่ยหลิวกวงอย่างเงียบงันต่อไป

หยงเยี่ยหลิวกวงเริ่มสั่นสะท้านด้วยแรงอารมณ์

เขาเอ่ยเสียงอับจนหนทาง “เผ่าปักษาเคยตกเป็นทาสเผ่าสัตว์อสูรมานับหมื่นปี พวกเรา… ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่กลับไปใช้ชีวิตที่ชะตาตกอยู่ในมือคนอื่นอีกเด็ดขาด เสรีภาพมีค่านัก ไม่ว่าอย่างไรเราจะรักษามันไว้ให้ได้!”

ซูเฉินตอบเสียงนิ่ง “แน่นอนว่ามันเป็นของล้ำค่า แต่ชีวิตมีค่ากว่านัก ฝ่าบาท อย่างไรท่านก็เสียสิทธิ์ต่อรองกับข้าไปแล้ว”

หยงเยี่ยหลิวกวงหลับตาลงจนใจ เอ่ยเสียงขื่นขม “ข้านำภัยมาให้เผ่าปักษาจริง ๆ”

ซูเฉินยิ้มบาง “นั่นคือชะตากรรมของใครก็ตามที่มีความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่ หากไม่สำเร็จก็จะทำลายทุกอย่างที่ตนสร้างขึ้นมา จริง ๆ แล้วท่านอย่าได้กังวลมากมาย พวกเราชาวมนุษย์ต่างหากที่เป็นฝ่ายรองรับแรงพิโรธแห่งพระเจ้า หากพวกข้าแพ้ ชะตาจะย่ำแย่กว่าของท่านเสียอีก ก็อย่างที่คนเขาว่าตกต่ำมากแต่ก็มีโอกาสผงาดสูง แต่ทาสชั้นต่ำแม้จะไร้หวังในการขึ้นสู่จุดสูงสุดหากก็ยังรักษาชีวิตไว้ได้ หากเผ่ามนุษย์พ่าย… เอาเป็นว่าเผ่าปักษายังชะตาดีกว่า มันก็เป็นอย่างนี้ล่ะ”

หยงเยี่ยหลิวกวงได้ยินเหตุผลก็นิ่งไป แต่เมื่อลองตรองดูแล้วก็พบว่ามันมีเหตุผลอยู่บ้างจริง ๆ

ใครชนะศึกครั้งนี้ไปจะต้องแบกรับภาระหนักสุด รวมถึงผลต่าง ๆ ในกาลข้างหน้าที่อาจเกิดขึ้นด้วย

แท้จริงแล้วการพ่ายแพ้ในครั้งนี้อาจนับได้ว่าเป็นโชคดีของเผ่าปักษา หากศึกระหว่างเผ่าพันธุ์อัจฉริยะกับเหล่าเทพเป็นไปอย่างย่ำแย่

แต่แม้จะเข้าใจในเรื่องนี้ หยงเยี่ยหลิวกวงก็ยังคว้าแขนซูเฉินไว้ “ซูเฉิน สัญญากับข้าว่าเจ้าจะไม่พ่ายแพ้เด็ดขาด! เผ่าปักษายอมรับใช้มนุษย์ดีกว่าเป็นข้าทาสของเผ่าเทพ!”

มีแต่ผู้ที่รู้ความจริงจึงจะเอ่ยเช่นนี้

ซูเฉินพยักหน้าเบา ๆ “ข้าไม่อาจสัญญาอะไรได้ แต่ข้าจะพยายามทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้ให้ไม่แพ้”

หยงเยี่ยหลิวกวงได้ยินดังนั้นก็แหงนหน้าหัวเราะ “ฮ่า ๆ กล่าวได้ดี กล่าวได้ดีทีเดียว! เจ้าก็ทำได้เพียงในส่วนที่ทำได้เท่านั้นสินะ”

เสียงหัวเราะของเขาเหมือนเจือไปด้วยความบ้าคลั่ง ความสง่างามและเกียรติยศทั้งหลายของผู้ครองแคว้นเลือนหายไปแล้ว

ซูเฉินรู้ว่าหยงเยี่ยหลิวกวงเพียงแต่ปลดปล่อยความโกรธในใจออกมาเท่านั้น จึงได้แต่มองไปเงียบ ๆ

ผ่านไปนานจึงเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาท ออกคำสั่งให้ยอมแพ้เถอะ คนตายไปมากเกินแล้ว ไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนี้ต่อไปอีก”

ในที่สุดหยงเยี่ยหลิวกวงก็หยุดหัวเราะแล้วเอ่ยเสียงพึมพำ “เจ้าพูดถูก มันถึงเวลาแล้ว”

มันเป็นน้ำเสียงเศร้าโศก หากแต่ก็ไร้ความกลัวใดต่อความตาย

ซูเฉินรู้ว่าหยงเยี่ยหลิวกวงเห็นเช่นนี้คงไม่คิดไว้ชีวิตตนเองเป็นแน่

เขาเป็นผู้นำที่ล้มเหลว ไม่อาจปล่อยให้ตนเองได้ใช้ชีวิตอยู่อีกต่อไป

ณ ที่ห่างไกลออกไป ได้เกิดแสงวาบขนาดใหญ่ใหญ่ขึ้น กองทัพเผ่ามนุษย์พลันเฮลั่นด้วยความปีติ

เกราะเมืองล่องนภาถูกทำลายสิ้นแล้ว

กว่าจะทำลายมันลงได้ พวกเขาต้องแลกมาด้วยเลือด

ตอนนี้ถึงเวลาเก็บผลประโยชน์จากน้ำพักน้ำแรงที่ลงไปแล้ว

ศึกถล่มเกราะเมืองล่องนภาอันขื่นขมจบลงแล้ว ผู้ใช้พลังเผ่ามนุษย์หลั่งไหลเข้าเมือง สังหารปักษาคนแล้วคนเล่า

เหลือเวลาไม่มากแล้ว

ซูเฉินเอียงศีรษะ เกิดกระแสพลังสูญขึ้นเบื้องหน้าหยงเยี่ยหลิวกวง

มันเป็นวิชาพลังสูญที่สามารถส่งเสียงหยงเยี่ยหลิวกวงให้สะท้อนไปทั่วทั้งเมืองได้

จริง ๆ แล้วแม้ซูเฉินจะไม่ช่วย หยงเยี่ยหลิวกวงก็สามารถส่งคำสั่งไปทั่วเมืองได้ เพียงแต่สีหน้าเขาดูซีดมากไปหน่อยเท่านั้น ซูเฉินจึงยื่นมือเข้าช่วย

ภายในเมืองล่องนภาเริ่มเกิดการล่าสังหารไร้ความเมตตาขึ้นแล้ว

แม้ว่าเผ่าปักษาจะด้อยกว่าเผ่ามนุษย์หากเป็นการต่อสู้ระยะประชิด แต่ก็ยังสู้หลังชนฝา หากจะต้องตายก็ขอโจมตีให้ได้เป็นครั้งสุดท้ายก็ยังดี

ผู้ใช้พลังชาวมนุษย์คนหนึ่งถูกล้อมทันทีหลังจากสังหารทหารปักษาไปคนหนึ่ง แม้จะสู้สุดกำลังแต่สุดท้ายก็ไม่อาจต้านทานพลังของทหารหลายคนได้

ทว่าเผ่าปักษานั้นแย่กว่ามาก พวกเขาเองก็สู้สุดชีวิตเช่นกัน

“บ้าเอ๊ย ปักษาพวกนี้คลั่งกันไปแล้ว” หลินเฉ่าเซวียนพึมพำพลางยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่คิ้ว

“อาณาจักรกำลังจะล่มสลาย ก็พอเข้าใจได้อยู่” หลี่ฉงซานดูสงบนิ่ง “บอกพวกทหารของเจ้าให้สู้เต็มกำลังต่อ อีกไม่นานก็คงจบแล้ว”

มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่เข้าใจความหมายเบื้องหลังคำเหล่านี้

“เจอแล้ว! เจอพวกเขาแล้ว!” เป็นตอนนั้นเองที่เกิดเสียงดังลั่นขึ้นจากที่ไกล

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” หลี่ฉงซานถาม

คนหนึ่งตอบ “พวกเราพบเล่อเฟิงกับคนอื่น ๆ แล้วขอรับ”

“พบเล่อเฟิงแล้วหรือ?” หลี่ฉงซานและคนอื่นพลันดีใจนัก

เล่อเฟิงเป็นผู้สังเกตการณ์ ถูกกักตัวไว้หลังจากหยงเยี่ยหลิวกวงทำผิดสัญญาอย่างเปิดเผย ซูเฉินและหลี่ฉงซานเป็นห่วงพวกเขาอยู่มาก

แต่ดูท่าจะโชคดีไม่น้อย เมืองล่องนภายังไม่ทันล่ม กลับพบเล่อเฟิงและคนอื่นเรียบร้อยแล้ว

“เขาเป็นอย่างไรบ้าง?” หลี่ฉงซานถามเสียงเป็นกังวลเล็กน้อย

คนผู้นั้นกลับส่ายศีรษะเงียบ ๆ

หลี่ฉงซานเห็นแล้วก็ใจกระตุก

เขารีบเหินร่างไปยังจุดที่ทหารมนุษย์พากันรวมกลุ่มกันเป็นกลุ่มใหญ่

หลี่ฉงซานและหลินเฉ่าเซวียนก็มาถึงพร้อมกัน เฉิงเถียนไห่มาถึงก่อนแล้ว กำลังประคองร่างเล่อเฟิงไว้ ร่างกายของเขาบิดเบี้ยวไปหมดแล้วตั้งแต่หัวจรดเท้า

แต่เรื่องนี้ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่ บาดแผลภายนอกเหล่านี้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยสำหรับผู้ฝึกตนเท่านั้น ถ้าหากยังสามารถบ่มเพาะพลังต่อไปได้ก็จะสามารถฟื้นฟูได้เช่นกัน

ดังนั้นเมื่อหลี่ฉงซานเอื้อมมือไปช่วยพยุงอีกฝ่ายเขาจึงตกตะลึงสุดขีด เพราะเขาไม่รู้สึกถึงพลังต้นกำเนิดในร่างเล่อเฟิงสักนิด

พวกนั้นทำให้เขาพิการ

หรือก็คือบาดแผลพวกนี้ไม่มีวันหายดีได้แล้ว

“เล่อเฟิง… แล้วคนอื่นเล่า?” หลี่ฉงซานถาม

“เหมือนกัน!” เฉิงเถียนไห่คำรามคั่งแค้น “ไอ้พวกปักษาบัดซบ! ข้าจะฆ่ามันให้หมด!”

เขาหมุนตัวไปพร้อมตะโกนลั่น “พี่น้องทั้งหลายจงฟัง! เราจะไม่หยุดเข่นฆ่าจนกว่าจะสังหารปักษาบนทวีปเสียให้สิ้น”

“ฆ่าปักษาให้หมด!” ผู้เชี่ยวชาญเผ่ามนุษย์ทั้งหลายโห่ร้องเสียงเศร้าไปพร้อมกัน

เชลยศึกมีสถานะแตกต่างจากทหารที่ต่อสู้ในสนามรบ เผ่าปักษาทำกับเล่อเฟิงเช่นนี้ทำให้ทุกคนโกรธแค้นนัก กระทั่งหลี่ฉงซานที่ปกติใจเย็นยังคำรามลั่นแล้วพุ่งออกไป

เผ่ามนุษย์จึงบุกโจมตีด้วยความโกรธแค้น

จังหวะนั้นเอง น้ำเสียงหยงเยี่ยหลิวกวงก็ดังก้องทั่วเมือง

“ปักษาทั้งหลายจงฟัง พวกเราพ่ายแพ้ศึกนี้แล้ว ข้าขอสั่งให้ทุกกองกำลังวางอาวุธแล้วยอมแพ้เสีย”

ว่าไงนะ?

ทุกคนได้ยินคำประกาศก็ชะงักไป

“ไม่! พวกเรายังไม่แพ้! พวกเราจะสู้จนลมหายใจเฮือกสุดท้าย!” แม่ทัพปักษาผู้หนึ่งร้องเสียงสิ้นหวังแกมโกรธแค้น

แต่ที่น่าตกใจไปกว่านั้นคือท่าทีของเฉิงเถียนไห่

แรงสังหารในตาเฉิงเถียนไห่ไม่เลือนลงสักนิดหลังได้ยินคำประกาศยอมแพ้ “ใครสนว่าพวกเจ้ายอมก้มหัว? มันไม่สายไปหน่อยหรือ? ฆ่ามันให้หมด!”

แม้เผ่าปักษาส่วนมากจะหมดแก่ใจจะสู้แล้ว หากแต่เผ่ามนุษย์ยังเต็มไปด้วยไฟโกรธ

“ทำไม? พวกเรายอมแพ้แล้ว ทำไมพวกเขายังสังหารเราอีก?” หยงเยี่ยหลิวกวงเห็นแล้วก็เกรี้ยวโกรธนัก

ตอนนั้นเองที่ซูเฉินได้รับรายงานสั้น ๆ ฉบับหนึ่ง ซูเฉินเหลือบตาอ่านเล็กน้อยก่อนถอนหายใจ “นี่คือสาเหตุ ท่านอ่านเองเถอะ”

เขาส่งมันให้หยงเยี่ยหลิวกวง

หยงเยี่ยหลิวกวงอ่านแล้วก็ตกใจ “ข้าไม่ได้สั่งให้ทำเช่นนี้”

“ข้ารู้ แต่มันมักจะมีพวกคนหัวร้อนไม่ฟังคำสั่งคิดกระทำโดยพลการอยู่เสมอ อีกทั้งเรื่องมันก็เกิดขึ้นแล้ว” ซูเฉินถอนหายใจเศร้า

“แล้วจะทำอย่างไร?”

“คงได้แต่ให้เวลาพวกเขาระบายโกรธ ให้สังหารเผ่าปักษาอีกสักหน่อย” ซูเฉินตอบอย่างขอไปที

หยงเยี่ยหลิวกวงได้ยินคำแล้วก็สะดุ้งสุดตัว เขาคว้าซูเฉินตะโกนลั่น “เจ้าจะเอาชีวิตคนของข้าไปสนองกับความกระหายเลือดคนของเจ้าไม่ได้นะ!”

“อ้อ แต่ข้าทำได้สิ” ซูเฉินตอบเสียงเย็น “จากนี้ต่อไป ชนชั้นสูงกลายเป็นทาส นี่คือชะตาของทาส โดยเฉพาะทาสที่ดื้อรั้นไม่เชื่อฟัง”

หยงเยี่ยหลิวกวงรู้สึกสิ้นหวังนัก “เจ้าต้องการอะไรจากข้าถึงจะไว้ชีวิตพวกเขา?”

“ต้องการชีวิตท่านเป็นอย่างไร?” ซูเฉินตอกกลับ

หากเป็นคนอื่น หยงเยี่ยหลิวกวงคงคิดว่าอีกฝ่ายหมายสังหารเขาเข้าจริงไปแล้ว

แต่ซูเฉินหมายความตรงกันข้ามเลยต่างหาก

เขาเอ่ยว่า “นับแต่วันนี้ไป ชีวิตและสติปัญญาของท่านเป็นของข้า!”