สงครามเริ่มต้น
การปรากฏของแม่น้ำแห่งความมืด การต่อต้านระหว่างเต๋าสวรรค์ทั้งสองในโลกแห่งศิลาทำให้กฎและข้อบังคับทั่วทั้งจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นปะทะกันอย่างดุเดือดตลอดเวลา
การปะทะกันของเต๋าสวรรค์ส่งผลกระทบต่อการโคจรของจักรวาลโดยตรงทำให้ระบบอารยธรรมนับไม่ถ้วนเริ่มเกิดสัญญาณของการล่มสลาย ส่งผลให้พายุจักรวาลเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ทั่วทั้งโลกศิลาตกอยู่ในความโกลาหลอันมืดมน
สำนักแห่งความมืดตัวแทนของความตายมาพร้อมดวงวิญญาณนับไม่ถ้วนจากอารยธรรมที่ล่มสลาย ก่อตัวเป็นพลังรุนแรงที่ไม่อาจอธิบายได้ เริ่มทำการทิ้งระเบิดกับกองกำลังทั้งหมดที่เป็นพันธมิตรกับตระกูลไม่รู้สิ้น
สนามรบทยอยปรากฏขึ้นในหลายพื้นที่
การต่อสู้เปิดฉากขึ้นในทุกๆ พริบตา
เกิดความโกลาหลไปทั่วทั้งจักรวาลเพราะการต่อต้านกันเองของเต๋าสวรรค์จนเกิดสัญญาณของการล่มสลาย เสียงคำรามดังก้องไปทั้งโลกแห่งศิลาไม่หยุด
ส่วนผลกระทบต่อผู้ฝึกตนก็ยิ่งหนักขึ้นไปอีก สำหรับผู้ฝึกตนของเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้น การปะทะกันของกฎและข้อบังคับทำให้เต๋าของพวกเขาไม่สามารถรู้แจ้งได้ต่อไป ฐานการฝึกฝนของพวกเขาจึงเกิดความปั่นป่วน
และทันทีที่เต๋าไม่รู้สิ้นพังทลาย ฐานการฝึกฝน…ของพวกเขาก็กลายเป็นน้ำไร้ราก แม้จะสามารถดัดแปลงเต๋าแห่งความมืดได้ เว้นแต่จะเปลี่ยนไปก่อน มิเช่นนั้นก็จะยังได้รับผลกระทบจากรากฐานเสียหาย
แม้จักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายกับจักรพิภพสำนักเสริมจะไม่อยากเข้าร่วมสงคราม แม้ฝ่ายที่ได้รับผลกระทบก่อนใครและยังกระทบมากที่สุด มีสนามรบเกิดขึ้นมากมายในพื้นที่ตอนกลางของไม่รู้สิ้น แต่…พันธะสัญญาจากโบราณกาลและความปั่นป่วนของเต๋าตนเองยังคงทำให้เต๋าฝั่งซ้ายกับสำนักเสริมจำต้องออกรบ
การต่อสู้ระหว่างจักรพิภพทั้งสองย่อมเป็นเรื่องใหญ่ เหล่าสำนัก ตระกูลและอารยธรรมเล็กๆ จำนวนมากจึงไม่มีทางเลือก ถูกส่งเข้าไปในพื้นที่ตอนกลางของไม่รู้สิ้นเพื่อเข้าสู่สนามรบนองเลือดอย่างลับๆ
มีเพียงสำนักและตระกูลที่มีพลังต่อสู้ระดับจักรวาลเท่านั้นที่รอดูท่าทีและปกป้องตัวเองอยู่ในระดับสูงสุดได้ในช่วงเริ่มต้นของสงคราม แต่…ก็ไม่ใช่ทุกกองกำลังที่มีพลังต่อสู้ระดับจักรวาลที่เลือกจะรอดู เนื่องจากเหตุผลหลายประการ กองกำลังบางส่วนได้เข้าสู่สนามรบ
ตระกูลเซี่ยคือหนึ่งในนั้น…ตระกูลยักษ์ใหญ่ที่ตอนนั้นเดิมพันกับตระกูลไม่รู้สิ้นจนรุ่งเรืองมาจนถึงวันนี้ และเป็นอีกครั้งที่ปรมาจารย์ตระกูลเซี่ย…เลือกลงสนาม!
สงครามกำลังดำเนิน เขตเต๋าฝั่งซ้ายกับสำนักเสริมนั้นแม้จะไม่ได้รับผลกระทบรุนแรงเกินไปเนื่องจากสนามรบหลักอยู่ที่พื้นที่ตอนกลางของไม่รู้สิ้น แต่เนื่องจากการเข้าร่วมสงครามของตระกูลและสำนักเล็กๆ นับไม่ถ้วนจึงมีพื้นที่เหลือว่างไม่น้อยและเป็นไปได้ว่าเมื่อสงครามดำเนินต่อไปจะต้องได้รับผลกระทบไม่ช้าก็เร็วเป็นแน่
แต่ระบบสุริยะในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายกลับมีสถานที่ไม่มากที่ถือเป็นดินแดนบริสุทธิ์เหมือนจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นในปัจจุบัน ด้านหนึ่งเป็นเพราะการสยบพลังต่อสู้ของหวังเป่าเล่อกับปรมาจารย์แห่งไฟ อีกด้านหนึ่งเป็นเพราะเกราะของแผ่นเลื่อนระดับโลกา
ทั้งหมดนี้ทำให้ตระกูลไม่รู้สิ้นไม่ยั่วยุก่อน และฐานะในอดีตของหวังเป่าเล่อ…ก็ทำให้สำนักแห่งความมืดไม่มารบกวนเขา
ดังนั้นโลกศิลาจึงเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ แต่ทุกอย่างในระบบสุริยะยังปกติ
“เต๋าของข้าเป็นอิสระ พันธะเพียงหนึ่งเดียวในตอนนี้…ก็คือโลกศิลา”
“ดังนั้นความว่างเปล่าที่แตกสลายคือเส้นทางที่ศิษย์ต้องเดินต่อจากนี้ไป” ขณะนี้ในบ้านเก่าของหวังเป่าเล่อ ภายในนครดารานิรันดร์ในระบบสุริยะ เขานั่งอยู่ตรงนั้นและกำลังรินชาจนเต็มถ้วยให้ปรมาจารย์แห่งไฟที่นั่งอยู่ตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยปากเบาๆ
ความว่างเปล่าหมายถึงทะเลดวงดาวและหมายถึงจักรวาล
ความว่างเปล่าที่แตกสลายเปรียบได้กับการทำลายทางช้างเผือก และเปรียบได้กับการเริ่มต้นจักรวาลใหม่
ขณะเดียวกันก็ยังมีอีกหนึ่งความหมาย นั่นคือ…จากไป
เมื่อปรมาจารย์แห่งไฟได้ยิน ดวงตาก็เผยแววครุ่นคิดล้ำลึก
ภายในบ้านเก่าของหวังเป่าเล่อไม่ได้มีแค่พวกเขาสองศิษย์อาจารย์เท่านั้น ยังมีเจ้าเยี่ยเหมิงและโจวเสี่ยวหยาอยู่ด้วย ศิษย์พี่รองนั่งขัดสมาธิอยู่ไม่ไกล ร่างกายพร่าเลือนราวกับกำลังฝึกตนอยู่ ส่วนศิษย์พี่หญิงใหญ่อยู่อีกมุมหนึ่งและกำลังจ้องมองเจ้าลาน้อยและอู๋น้อยตรงข้ามพวกเขาด้วยความหมายลึกซึ้ง
เจ้าลาน้อยยิงฟัน ไม่รู้ว่ามันเอาความกล้ามาจากไหน บางทีอาจเป็นเพราะกลืนกินพลังปราณเต๋าสวรรค์มากเกินไปจึงได้ตัวลอยขึ้นเล็กน้อย ทำท่าทางราวกับว่าอย่าได้เข้ามายั่วโมโหข้านะ ส่วนอู๋น้อยก็ยืนระแวดระวังอยู่ข้างเจ้าลาน้อยเผชิญหน้ากับศิษย์พี่หญิงใหญ่
“น่าสนใจดีนี่ เจ้าของเล่นนี่คือเต๋าสวรรค์หรือ! แล้วยังเจ้าเด็กน้อยนี่อีก…เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่สิ่งมีชีวิตในโลกนี้ เป่าเล่อ เจ้าสองสิ่งนี้ไม่เลวเลย อยากให้ข้าผ่ามันออกไหม ไอ้หยา ผ่าตัวไหนก่อนดีนะ…” ศิษย์พี่หญิงใหญ่เดาะลิ้น ดวงตาเริ่มเปล่งประกาย
ขนเจ้าลาน้อยลุกเกรียวไปทั่วร่างและยิ่งแยกเขี้ยวมากขึ้นไปอีก ด้านอู๋น้อยก็เผยแสงวาววับในดวงตาราวกับกำลังประเมินบางอย่างอยู่ในใจ แต่ในพริบตาต่อมาขณะที่ศิษย์พี่หญิงใหญ่เดาะลิ้น หวังเป่าเล่อก็ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ เงาร่างวัวเฒ่ากลับปรากฏขึ้นข้างกายศิษย์พี่หญิงใหญ่และมองอู๋น้อยกับเจ้าลาน้อยอย่างสนอกสนใจเช่นกัน
การปรากฏตัวของวัวเฒ่าทำให้เจ้าลาน้อยตัวสั่นเทิ้ม ส่วนอู๋น้อยก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น หลังจากพิจารณาดูแล้ว ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาจึงค่อยๆ เดินเข้าไปหาวัวเฒ่ากับศิษย์พี่หญิงใหญ่ อู๋น้อยกระแอมหนึ่งที ก่อนจะทำหน้าประจบสอพลอ
“ผู้อาวุโสทั้งสอง ข้ารู้จักเจ้าลานี้ดี ให้ข้าเป็นพวก ข้าสามารถช่วยพวกท่านผ่ามันได้!” กล่าวจบ อู๋น้อยก็หมุนตัวหันไปทางเดียวกับวัวเฒ่าและศิษย์พี่หญิงใหญ่ นั่นคือ…เผชิญหน้ากับเจ้าลาน้อย
สีหน้าจริงจัง แววตาเฉียบแหลม
“???” เจ้าลาน้อยผงะไปชั่วขณะ
ภาพนี้ทำให้โจวเสี่ยวหยาและเจ้าเยี่ยเหมิงที่มองอยู่อดหัวเราะไม่ได้ หวังเป่าเล่อก็กะพริบตา ทำหน้าเหมือนจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม เขารู้อยู่แล้วว่าอาจารย์แค่ต้องการหยอกเจ้าลาน้อยกับอู๋น้อยเล่น และท่าทีที่เปลี่ยนไปของเจ้าลาน้อยนั้น หวังเป่าเล่อก็มีคำตอบอยู่ในใจบ้างแล้ว
“ประเด็นสำคัญคือเจ้าอู๋น้อย…” หวังเป่าเล่อหรี่ตา มองลึกเข้าไปในดวงตาอู๋จ้อย ก่อนจะถอนสายตาและส่งชาที่รินเต็มถ้วยส่งให้ปรมาจารย์แห่งไฟแล้วเอ่ยเบาๆ
“อาจารย์ ในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นตอนนี้มีผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับจักรวาลกี่คน แล้วมีกี่คนที่ไม่ใช่ แต่มีพลังต่อสู้ขอรับ” หวังเป่าเล่อยังไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้อย่างถ่องแท้ ถึงอย่างไรเขาก็ก้าวเข้าสู่ระดับนี้ได้ไม่นาน เรื่องพวกนี้ปรมาจารย์แห่งไฟย่อมรู้เยอะกว่าเขามาก
“ระดับจักรวาล นี่คือชื่อที่เต๋าฝั่งซ้ายกับสำนักเสริมเรียก…ในตระกูลไม่รู้สิ้นเรียกมันว่าจักรพรรดิสวรรค์ แน่นอนว่าทั้งสองชื่อนี้ใช้ผสมกันไปในหลายกรณี แต่ที่จริงแล้วมันคือคำเดียวกัน” ปรมาจารย์แห่งไฟยกชาขึ้นจิบ เขามีความสุขจริงๆ ที่ยังคงสามารถตอบคำถามศิษย์ตรงหน้าได้อยู่
“ก่อนอื่นมาพูดถึงพื้นที่ตอนกลางของไม่รู้สิ้นก่อน ในตระกูลไม่รู้สิ้นปัจจุบันมีจักรพรรดิสวรรค์สี่คน เจ้าคงเห็นแล้วใช่ไหมล่ะ ตี้ซาน กวงหมิง เสวียนหัว ส่วนคนสุดท้ายคือจีเจีย”
“จักรพรรดิสวรรค์จีเจียผู้นี้ไม่ธรรมดา ข้าเองก็เพิ่งรู้จักเมื่อไม่นาน เดิมทีเขาคือร่างแยกของปรมาจารย์ดั้งเดิมเว่ยยางจื่อตระกูลไม่รู้สิ้น”
“ดังนั้นจักรพรรดิสวรรค์ตระกูลไม่รู้สิ้นจึงมีสี่คน แต่ในพื้นที่ตอนกลางของไม่รู้สิ้นยังมีระดับจักรวาลอีกคนหนึ่ง นั่นก็คือปรมาจารย์ตระกูลเซี่ย”
“ส่วนจักรพิภพสำนักเสริมนั้นลึกลับมาก จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าสำนักอันดับหนึ่งคือสำนักใด ตำแหน่งใด ในนั้นจะต้องมีระดับจักรวาลอยู่เป็นแน่”
“คร่าวๆ ก็ถือว่ามีแล้วหนึ่งคนกระมัง แล้วยังมีศิษย์คนแรกของสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณ นามเต๋าหมัวจื่อ คนผู้นี้โหดร้ายอย่างยิ่งและเป็นระดับจักรวาลด้วย! ส่วนคนอื่นในสำนักของเขาน่าจะไม่มีแล้ว”
“ส่วนจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายของเราแย่กว่ามาก แม้จะบอกว่า 20,000 ปีก่อนมีระดับจักรวาลคนหนึ่ง แต่เขาตาย…” คนผู้นี้ ดูเหมือนปรมาจารย์แห่งไฟไม่อยากเอ่ยถึงจึงรีบปิดประเด็นแล้วสรุป
“กล่าวคือทั้งจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นตอนนี้ รวมกันแล้วมีเจ็ดคน ส่วนตาแก่หวังปาแห่งเต๋าเก้ารัฐคนนั้นเขาคือระดับจักรวาลของสำนัก แต่เมื่อจากไปก็เป็นเพียงดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักรเท่านั้นจึงไม่นับ เป็นแค่คนที่มีพลังต่อสู้ระดับจักรวาลเท่านั้น”
“พลังต่อสู้ระดับจักรวาลแปดถึงเก้าคน เจ้ากับข้านับเป็นสอง ตาแก่หวังปานับเป็นหนึ่ง ก็ยังมีอีกหกคน อยู่ในสำนักเสริมสามคน อยู่ในพื้นที่ตอนกลางอีกสามคน”
“ดังนั้นรวมกันแล้วไม่ถึง 20 คน พวกนี้…คือจุดสูงสุดที่เผยตัวในโลกศิลาปัจจุบัน ส่วนจะมีพวกที่หลบซ่อนอยู่ในเงามืดหรือไม่ ข้าก็ไม่แน่ใจ แต่จากที่ข้าสังเกตเห็น ต่อให้มีก็ไม่เกินคนหรือสองคนเท่านั้น ไม่มีทางมากกว่าสาม!”
…………………