เฉินฉางเซิงไม่ได้พูดอะไรตลอดเวลา เพียงแค่รับฟังอยู่เงียบๆ
ไม่ว่าบิดาหรือบุตรต่างก็ไม่มีเจตนาที่จะปกปิดเรื่องพวกนี้จากเขา
ดังนั้นเขาจึงได้ยินความลับมากมาย แม้ว่านี่จะไม่ใช่ความลับของตระกูลถัง แต่ก็เป็นความลับในส่วนลึกของหัวใจพ่อลูก
เขาตกใจอย่างมากกับคำพูดสุดท้ายนั่น แต่ไม่ได้หมายความว่าเขานึกไม่ถึงในเรื่องนี้
อันที่จริงคนผู้นั้นที่ประมุขรองเกลียดชังและอึดอัดคับข้องได้มาปรากฏตัวที่จวนเก่าเมื่อสามวันก่อนตามคำขอร้องของเฉินฉางเซิง
“เมื่อเจ้ารู้แล้วว่าเขามา เจ้ายังมีโอกาสอันใดอีก” ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังถาม
ประมุขรองตระกูลถังกลับคืนสู่ท่าที่เรียบเฉยและกล่าว “เขาไม่ยินดีจะเปลี่ยนแซ่ ดังนั้นเขาก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะมาจัดการเรื่องของตระกูลถังของข้า”
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังถามอย่างเฉยชา “แล้วหากข้าให้เขาจัดการเล่า”
หลังจากหยุดไปครู่หนึ่งประมุขรองตระกูลถังก็ตอบ “ข้าจะเชิญคนมาขวางเขาไว้ด้านนอก เขาไม่อาจมาได้”
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังถาม “ต่อให้เป็นเช่นนั้นแล้วเจ้าจะทำอะไรได้”
ประมุขรองตระกูลถังตอบอย่างสุขุม “ข้าไม่อาจทำอะไรได้มากนัก แต่อย่างน้อยข้าก็สามารถหลานชายตัวดีได้”
ยามที่เขากล่าว เขาสุขุมเกินไป ประหนึ่งว่ากำลังพูดเรื่องธรรมดาทั่วไป ทั้งเฉินฉางเซิงและประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังต่างก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาในทันที
“หากเสี่ยวถังตาย เช่นนั้นท่านพ่อ นอกจากข้าแล้วท่านก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีก”
ในครั้งนี้ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังกับเฉินฉางเซิงได้ยินชัดเจนว่าเขาพูดอะไร ทั้งคู่ต่างก็นึกถึงเรื่องราวในคัมภีร์เต๋า
เรื่องนี้เป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้ว ไม่มีหลักฐานยืนยัน เป็นเหมือนกับตำนานเรื่องเล่ามากกว่า
ว่ากันว่าในสมัยโบราณมีอาณาจักรที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดา วันหนึ่งเมื่อจักรพรรดิไปตรวจตราชายแดน ก็พลันป่วยเสียชีวิต จักรพรรดินีและรัชทายาทที่ติดตามเขาไปก็ถูกกักอยู่ในแดนรกร้างเพราะฝนตกหนัก ในขณะเดียวกันองค์ชายที่เหลืออยู่ในเมืองหลวงได้รับการสนับสนุนจากพี่สาวและเหล่าขุนนางปลอมพระราชโองการและขึ้นครองราชสมบัติ ทั้งอาณาจักรตกอยู่ในความโกลาหล
ในตอนนั้น ทุกประเทศทั่วโลกบุกโจมตีอาณาจักร ส่งผลให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายที่สุด
หลังจากผ่านไปหลายสัปดาห์ จักรพรรดินีและรัชทายาทก็กลับมาถึงเมืองหลวงภายใต้การคุ้มกันของขุนนางที่ถือราชโองการสุดท้ายของจักรพรรดิ
องค์หญิงและขุนนางในราชสำนักที่สนับสนุนจักรพรรดิองค์ใหม่บอกว่าพวกเขายินดีจ่ายค่าตอบแทน ด้วยหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะปล่อยวางความแค้นส่วนตัว หันมาร่วมมือกันต่อสู้กับข้าศึกภายนอก ในตอนนั้นพวกจักรพรรดิใหม่ยังทรงอำนาจ ดังนั้นเพื่อเห็นแก่ส่วนใหญ่ นี่จึงเป็นทางออกเดียวแต่ขุนนางที่ถือพระราชโองการสุดท้ายของอดีตจักรพรรดิไม่คิดเช่นนั้น
ตอนเช้าตรู่วันนั้น ก่อนที่จะประชุมเช้า ขุนนางผู้นั้นได้ตัดศีรษะจักรพรรดิองค์ใหม่
แล้วเขาก็กล่าวกับองค์หญิงและเหล่าขุนนางที่ภักดีต่อจักรพรรดิองค์ใหม่ “ตอนนี้อาณาจักรมีจักรพรรดิแค่องค์เดียวแล้ว”
“พวกท่านไม่มีใครรู้ว่าจะเลือกอนาคตใดให้อาณาจักรใช่หรือไม่ เช่นนั้นข้าก็จะช่วยจำกัดตัวเลือกให้พวกท่าน แบบนี้พวกท่านก็ไม่จำเป็นต้องกังวล เจ็บปวดหรือทรมานกับการเลือกอีก”
“เพราะตัวเลือกเดียวก็คือตัวเลือกที่ดีที่สุด”
……
……
ในบางแง่มุม สิ่งที่ประมุขรองตระกูลถังกล่าวและที่เขาวางแผนจะทำนั้น เป็นเฉกเช่นตำนานที่เขียนไว้ในคัมภีร์เต๋า
หากถังซานสือลิ่วตาย อีกทางเลือกของประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังคืออะไร
แน่นอนว่าก่อนอื่นเขาต้องทำสิ่งที่พูดไว้ให้สำเร็จก่อน
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังมองไปที่ดวงตาประมุขรองตระกูลถังแล้วถาม “เจ้าคิดว่าเจ้ามีความสามารถเช่นนั้น”
ประมุขรองตระกูลถังนึกถึงรายงานที่เขาได้รับก่อนหน้านี้ ภาพในยุ้งฉางและคนห้าชนิดที่ริมแม่น้ำ เขาก็ดูเหมือนจะเหม่อลอยไปเล็กน้อย
“ใช่ วันนี้เองที่ข้าได้ตระหนักว่าข้าไม่เคยเข้าใจตระกูลของตัวเองอย่างแท้จริงเลย”
เขากล่าวกับบิดาของตน “ตระกูลถังก็เหมือนกับท่านพ่อ บ่อน้ำเก่าที่ลึกจนมองไม่เห็นก้น แต่ข้าก็ยังเป็นคนตระกูลถัง ข้ารู้ดีว่าไม่มีการจัดวางกำลังรอบหอบรรพชน ตราบใดที่ข้าส่งคนของข้าไป ข้าย่อมฆ่าเขาได้แน่”
เขาหันไปหาเฉินฉางเซิงและกล่าว “แน่นอน ข้าก็ต้องขอบคุณองค์สังฆราชเช่นกัน ตอนที่ท่านมาถึงเมืองเวิ่นสุ่ยสองวันก่อน ทำให้เมืองอยู่ในสภาพตึงเครียด แล้วยังเกิดความวุ่นวายในวันนี้จากการทุ่มเทของท่าน ยิ่งวุ่นวายเท่าไหร่ข้าก็ยิ่งสามารถใช้มันจัดการเรื่องบางอย่างง่ายขึ้นเท่านั้น”
เฉินฉางเซิงไม่พูดอะไร แต่ยืนตัวตรง
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังมองไปที่บุตรชายแล้วถาม “เจ้าคิดว่าเจ้ายังสามารถเคลื่อนกำลังคนได้อีกหรือ”
เหตุการณ์วันนี้ได้พิสูจน์ว่าตระกูลถังยังคงเป็นตระกูลถังของประมุขผู้เฒ่า ไม่ว่าประมุขรองตระกูลถังจะจัดการมันอย่างลับๆ มานานกี่ปี คำพูดเดียวของประมุขผู้เฒ่าก็เพียงพอที่จะทำให้คนที่ปกติแล้วเชื่อฟังประมุขรองหวาดกลัวที่จะเคลื่อนไหวหรือแม้แต่หายใจแรงไป
“หากเป็นคนของตระกูลถัง ข้าย่อมไม่อาจสั่งการได้”
ประมุขรองตระกูลถังกล่าวเสริมอย่างสุขุม “โชคดีที่เจ้าสำนักซางส่งนักฆ่ามีฝีมือมากลุ่มหนึ่ง”
ขุมกำลังใดในต้าลู่ที่มีมือสังหารมือดีที่สุด ในอดีตก็ต้องเป็นหอความลับสวรรค์
ตอนนี้กิจการส่วนใหญ่ของหอความลับสวรรค์ได้ตกเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลถัง แต่กำลังลับได้กลายเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของราชสำนัก
หากพูดให้เจาะจงยิ่งขึ้น กำลังลับที่น่ากลัวในตอนนี้อยู่ใต้การจัดการของอารามฉางชุนในลั่วหยาง
นี่ย่อมเป็นความลับ แต่ไม่ใช่สิ่งที่จะซ่อนจากประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังกับเฉินฉางเซิงได้
ดังนั้นพวกเขารู้ว่าประมุขรองตระกูลถังไม่ได้โกหก
หากมือสังหารของหอความลับสวรรค์ซ่อนตัวอยู่ในความวุ่นวายเข้ามาในเมืองเวิ่นสุ่ยและตอนนี้ก็อยู่ในหอบรรพชน…
เฉินฉางเซิงเดินไปที่ประตู
ประมุขรองตระกูลถังมองเขาและกล่าว “สายไปแล้ว”
เฉินฉางเซิงหยุด
จวนเก่ากลายเป็นเงียบงัน
ไม่มีใครคาดคิดว่าประมุขรองตระกูลถังจะลงมืออย่างน่าแตกตื่นเช่นนี้
ตอนนี้เมื่อคิดดูแล้ว ความเงียบและไร้ความสามารถนั้นทำให้จวนเก่าตระกูลถังกับนิกายหลวงลดการป้องกันลง
ดวงตาประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังสงบผิดปกติ บางทีอาจเป็นเพราะเขารู้ว่าหลานชายอาจจะตายจริงๆ ในครั้งนี้
ผู้พิทักษ์ชราตระกูลถังยังอยู่ในหอบรรพชน
แต่ประมุขรองตระกูลถังไม่ได้พูดถึงเขาด้วยซ้ำ
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังก็รู้ดีว่ามันหมายความว่าอะไร
ประมุขรองตระกูลถังมองหลังเฉินฉางเซิงและถาม “องค์สังฆราช ท่านอาจตายในวันนี้เช่นกัน ท่านเตรียมใจไว้หรือยัง”
หากถังซานสือลิ่วตาย เฉินฉางเซิงย่อมต้องหาวิธีฆ่าประมุขรองตระกูลถัง
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังไม่มีทางเลือก ได้แต่ยืนอยู่ข้างเดียวกับบุตรชายเท่านั้น
นิกายหลวงกับตระกูลถังจะเกิดสงครามขึ้น
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังจะทำอะไร
คำตอบนั้นชัดเจนยิ่ง
……
……
หวังผ้อยืนอยู่บนเขาจีหมิงนอกเมืองเวิ่นสุ่ยมาสามวัน
พายุหิมะมาแล้วและเขามีเพื่อนเก่าคนหนึ่ง
ไม่ใช่เพราะความขลาดที่เพื่อนเก่าไม่กล้าเข้ามา
สามวันก่อนเขาได้เข้าเมืองและไปเยือนจวนเก่า ได้สนทนากับประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังและล้มเหลวในการโน้มน้าว
เขาโน้มน้าวไม่สำเร็จแล้วเขาจะทำอะไรได้อีก เขาจะสามารถใช้ดาบเพราะความไม่เห็นด้วยเช่นนั้นหรือ
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังมองโลกนี้ด้วยสายตาที่เย็นชามาหลายศตวรรษ ถึงกับปฏิบัติกับบุตรตัวเองด้วยทัศนคติที่โหดเหี้ยม เขาเป็นคนเดียวที่ได้รับการปฏิบัติอย่างดีจากประมุขผู้เฒ่า ไม่มีอะไรให้ตัดพ้อ
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อาจโจมตีประมุขผู้เฒ่าตระกูลถัง แน่นอนต่อให้เขาโจมตี ก็ไม่แน่ว่าเขาจะเป็นคู่มือของประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังได้
แม้แต่เขาก็ยังไม่รู้ว่าบ่อน้ำในจวนเก่าลึกเพียงใด
แต่เขายืนอยู่นอกเมืองเพื่อสนับสนุนเฉินฉางเซิง เพื่อคุ้มกันโดยเฉพาะ
แต่ในตอนนี้แม้ว่าเขาจะสัมผัสได้ถึงกิจกรรมในจวนเก่า และเห็นความเคลื่อนไหวรอบหอบรรพชน เขาก็ยังไม่ได้ลงจากเขา
เพราะมีเกี้ยวสองหลังอยู่บนเขาจีหมิงเช่นกัน