ตอนที่ 963 สงคราม
องค์จักรพรรดิไม่อยากพูดคุยกับหลินเป่ยเฉินอีกต่อไป
หากไม่ได้ลุ่มหลงศิลาบูชาก็คงไม่อยากได้มันตั้งแต่แรกไม่ใช่หรือ?
แต่ไม่เป็นไร
องค์จักรพรรดิทำใจได้แล้วว่านี่คือนิสัยของเด็กหนุ่ม
“ฝ่าบาท กระหม่อมขอพูดความจริง”
เมื่อสามารถเจรจาต่อรองได้สำเร็จ หลินเป่ยเฉินก็ยิ้มออกมาด้วยความสุขใจ “ฝ่าบาทอาจจะคิดว่ากระหม่อมพูดจาโป้ปด แต่ฝ่าบาทก็ทรงรู้ใช่หรือไม่ว่าผู้ติดตามของกระหม่อมแต่ละคนมีฝีมือแข็งแกร่งเพียงใด? ฝ่าบาทจ่ายค่าจ้างเป็นศิลาบูชาเพียง 2,000 ก้อน แต่พระองค์จะได้รับสุดยอดนายทหารสำหรับการทำสงครามครั้งนี้เพิ่มขึ้นอีกหลายคน”
เมื่อองค์จักรพรรดิได้ยินเช่นนั้น พระองค์ท่านก็รู้สึกว่าเด็กหนุ่มพูดจามีเหตุผลจนเถียงไม่ออก
หลินเป่ยเฉินอาศัยจังหวะนี้รีบกล่าวต่อ “นอกจากนั้น กระหม่อมยังมีเครื่องมือพิเศษบางอย่างที่จะทำให้พวกเราผ่านการประเมินได้อย่างราบรื่น ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีค่าใช้จ่าย… เป็นศิลาบูชาทั้งสิ้นพ่ะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “เครื่องมือของเจ้าคือสิ่งใด?”
หลินเป่ยเฉินตอบตะกุกตะกักว่า
“เอ่อ… มันคือไพ่ตายของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ เวลาที่ต้องใช้วิชานี้ กระหม่อมจำเป็นต้องใช้ศิลาบูชาจำนวนมาก”
“เจ้ายังมีไพ่ตายที่ข้าไม่รู้อยู่อีกหรือ?”
สีหน้าขององค์จักรพรรดิปรากฏความตื่นเต้นขึ้นมาชัดเจน
ยิ่งได้ใกล้ชิดกับเด็กหนุ่มผู้นี้มากเท่าไหร่ องค์จักรพรรดิก็ยิ่งพบกับความประหลาดใจมากเท่านั้น
“กระหม่อมเป็นถึงบุรุษผู้หล่อเหลาที่สุดแห่งจักรวรรดิเป่ยไห่ ย่อมต้องเตรียมพร้อมก่อนการต่อสู้อยู่เสมอ”
หลินเป่ยเฉินหันหน้าทำมุม 45 องศาอย่างวางมาดเท่
หลังจากนั้น องค์จักรพรรดิก็เดินทางกลับวังหลวงอย่างมีความสุข
ศิลาบูชาจำนวน 2,000 ก้อนถือว่าเป็นจำนวนมหาศาล แต่ใช่ว่าราชสำนักจะจ่ายออกมาไม่ได้
ปัญหาที่สามารถแก้ไขได้ด้วยศิลาบูชาจึงไม่นับว่าเป็นปัญหาอีกแล้ว
เว้นแต่เพียงหลินเป่ยเฉินจะต้องการมากกว่านี้เท่านั้น
หากหลินเป่ยเฉินยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือในการทำสงครามครั้งนี้ ก็ไม่มีอะไรที่ชาวเป่ยไห่จะต้องหวาดกลัวอีกแล้ว
แต่ในความเป็นจริงนั้น หลินเป่ยเฉินก็ไม่ได้โกหกเช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็นปืนอินทรีหิมะ ปืนไรเฟิล 98k หรือปืนกลมือ อาวุธทุกชิ้นต่างก็ต้องเติมกระสุนด้วยศิลาบูชาทั้งสิ้น
บัดนี้ ปืนไรเฟิล 98k ได้เปลี่ยนมือจากอาวุธคู่กายเซียวปิงไปเป็นอาวุธคู่กายของอากวงเรียบร้อยแล้ว
เพราะนายทหารที่ล่องหนได้ ย่อมเป็นมือปืนซุ่มยิงที่น่ากลัวมากที่สุด
ดังนั้น เซียวปิงจึงได้รับอาวุธคู่กายชิ้นใหม่เป็นปืนกลมือมาพักใหญ่แล้ว
และด้วยความที่เด็กหนุ่มร่างอ้วนมีพละกำลังมหาศาล เขาจึงสามารถทนแรงถีบของตัวปืนได้อย่างไม่มีปัญหา และหากปืนกลมือบรรจุกระสุนเต็มอัตราเมื่อไหร่ เซียวปิงเพียงคนเดียวก็สามารถรับมือกับกองทัพศัตรูได้นับหมื่นคน
เมื่อเซียวปิงมีพลังอยู่ในขั้นเซียน เจ้าหมอนี่ก็มีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นมาอย่างน่าตกใจ
ในบ่ายวันเดียวกันนี้ องค์จักรพรรดิได้ส่งขันทีชราจางเชียนเชียนและราชองครักษ์อย่างโหลวซานกวนมาส่งมอบศิลาบูชา 2,000 ก้อนให้แก่หลินเป่ยเฉินถึงจวนซางจั้วหยวน นอกจากนี้ พวกเขายังมาอธิบายข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการทำสงครามชิงอาณาจักรในครั้งนี้อีกด้วย
หลินเป่ยเฉินมีหน้าที่รับศิลาบูชาเพียงอย่างเดียว
ส่วนเรื่องข้อมูลการทำสงคราม เขาปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหวังจง เซียวปิงและคนอื่น ๆ
การทำสงครามชิงอาณาจักรจะเกิดขึ้นอีกหนึ่งเดือนหลังจากนี้
ข่าวลือแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว
การจัดลำดับจักรวรรดิครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง บรรดาขุนนางใหญ่ในอีกแปดมณฑลที่เหลือ ต่างก็ติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด
บรรดาผู้มีพลังขั้นเซียนและนายทหารชั้นแนวหน้าถูกเรียกตัวกลับสู่นครหลวง
สิบวันต่อมา ภายใต้การโน้มน้าวของหวังจง ในที่สุด หลินเป่ยเฉินก็ต้องจำใจปล่อยตัวจีหวูชวงอย่างเสียมิได้
“ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้าแล้ว ไสหัวไปให้พ้น”
หลินเป่ยเฉินพูดโดยไม่ไว้หน้าอีกฝ่ายสักนิด
“นายน้อยขอรับ ผู้ต่ำต้อยอยากจะทำงานรับใช้นายน้อย”
จีหวูชวงคุกเข่าลงประจบเด็กหนุ่มด้วยความมุ่งมั่น
“เจ้าตาบอดมองไม่เห็นหรืออย่างไรว่ารอบกายข้ามีคนติดตามมากพอแล้ว?”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะเยาะ
เขาไม่มีเหตุผลให้ต้องทำตัวสุภาพกับบุคคลเช่นนี้
ยิ่งหลินเป่ยเฉินหยาบคายมากเท่าไหร่ อีกฝ่ายก็ยิ่งเชื่อฟังเขามากเท่านั้น
นี่คือกฎขั้นพื้นฐานของการเป็นหัวหน้าแก๊งมาเฟีย
หวังจงที่ยืนอยู่ด้านข้างนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงกล่าวว่า “ใต้เท้าจี หากท่านอยากจะทำงานรับใช้นายน้อยจริง ๆ ท่านไม่จำเป็นต้องอยู่ข้างกายนายน้อยก็ได้ บางทีท่านอาจจะมีประโยชน์มากกว่า หากกลับไปทำงานให้นายน้อยผ่านตำแหน่งทูตในกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลาง”
จีหวูชวงหัวใจพองโต รีบหันกลับไปมองหน้าหลินเป่ยเฉิน
หวังจงพูดหมื่นคำไม่เท่ากับหลินเป่ยเฉินพูดคำเดียว
หลินเป่ยเฉินเม้มริมฝีปากใช้ความคิด ก่อนจะพยักหน้าในที่สุด “หวังจงกล่าวได้ถูกต้อง”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าจีหวูชวงอีกครั้ง
“ที่ผ่านมาเจ้าคงเหนื่อยมากเลยนะ”
เมื่อตบหัวไปหลายเที่ยว ก็ได้เวลาลูบหลังบ้าง หลินเป่ยเฉินตบไหล่จีหวูชวงเบาๆ และกล่าวต่อ “เมื่อเจ้ากลับเข้าคณะทูตแล้ว หากได้รับทราบข่าวใหม่อันใด ให้รีบแจ้งเตือนข้าโดยเร็วที่สุด…”
จีหวูชวงมีสีหน้าทั้งตื่นเต้นและตื่นกลัวในเวลาเดียวกัน “นายน้อยไม่ต้องเป็นห่วง ผู้ต่ำต้อยจีหวูชวงคนนี้เป็นข้ารับใช้ของนายน้อยแล้ว”
เฮ้อ
ไอ้หมอนี่มันอยากมาเป็นคนรับใช้เขาจริง ๆ เหรอเนี่ย?
หลินเป่ยเฉินยกเท้าถีบจีหวูชวงล้มลงไปพร้อมกับพูดว่า “ไสหัวไปได้แล้ว”
จีหวูชวงรีบคำนับเด็กหนุ่มด้วยความเคารพ ก่อนจะหันไปประสานมือขอบคุณหวังจง
แสดงให้เห็นถึงทักษะการเอาตัวรอดที่ยอดเยี่ยมนัก….
จีหวูชวงรูู้ว่าควรทำตัวแข็งกระด้างเมื่อไหร่และควรทำตัวต่ำต้อยตอนไหน
“พ่อบ้านหวัง หลายวันที่ผ่านมานี้ ข้าต้องขอบคุณท่านมาก ระหว่างที่อยู่ต่อหน้านายน้อย ท่านก็คอยช่วยพูดให้แก่ข้าเสมอ ในอนาคตข้างหน้า หากมีอะไรที่จีหวูชวงคนนี้สามารถช่วยท่านได้ ได้โปรดพูดออกมาอย่าได้เกรงใจ”
เทพสงครามเซียนมนุษย์จากจักรวรรดิเจิ้งหลงก้มหัวคำนับหวังจงด้วยความอ่อนน้อม
เนื่องจากจีหวูชวงเป็นคนฉลาด
ระหว่างอยู่ในจวนที่พักของหลินเป่ยเฉินเมื่อสักครู่ ชายฉกรรจ์ได้ค้นพบบางอย่างที่สำคัญมาก
หลินเป่ยเฉินเรียกเขาเป็น ‘เจ้าเศษสวะสุนัขข้างถนน’ และเรียกหวังจงว่า ‘เจ้าสุนัขเฒ่า’
เมื่อลองวิเคราะห์คำเรียกขานจากเด็กหนุ่มดูแล้ว จีหวูชวงก็ได้คำตอบออกมาว่า
สำหรับในสายตาของหลินเป่ยเฉิน ตัวเขาเองมีสถานะต่ำต้อยกว่าหวังจง
ดังนั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าหวังจง จีหวูชวงจึงควรพยายามทำตัวให้อ่อนน้อมมากที่สุด
เมื่อส่งจีหวูชวงกลับไปแล้ว หวังจงก็เดินกลับเข้าไปในจวนที่พักอย่างมีความสุข
แต่ทว่า…
ศิลาบูชาหลายพันก้อนที่เป็นรายได้จากการให้ผู้คนเข้ามาเยี่ยมชมจีหวูชวงนั้น เป็นหลินเป่ยเฉินเก็บไว้เพียงผู้เดียวอย่างไม่ต้องสงสัย
“ศิลาบูชาเหล่านี้ย่อมมีส่วนแบ่งของเจ้า เพราะถึงอย่างไรนี่ก็เป็นความดีความชอบของเจ้า แต่เจ้ามันเป็นคนใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายมากเกินไป ข้าจะเก็บศิลาบูชาเหล่านี้เอาไว้ให้เจ้าก่อนก็แล้วกัน”
หลินเป่ยเฉินบอกต่อหวังจง “ที่ข้าทำเช่นนี้ก็เพื่อตัวเจ้าเองนะ หรือว่าเจ้าไม่เห็นด้วย?”
“หามิได้ขอรับ”
หวังจงร่ำร้องออกมาด้วยความเศร้า
…
กาลเวลาผ่านไป
ในวันที่ 15 ข่าวร้ายก็ถูกส่งออกมาจากทางราชสำนัก
ปรากฏว่าไม่มีมือกระบี่ระดับเซียนตัวแทนจากเมืองไป๋หยุนหรือเมืองเจี้ยนหยวนมาเข้าร่วมการประเมินครั้งนี้เลยสักคน
นี่คือข้อมูลลับสุดยอดที่มีคนรู้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น
แต่กลับส่งผลกระทบใหญ่หลวง
ว่ากันว่าสถานการณ์ภายในเมืองไป๋หยุนกับเมืองเจี้ยนหยวนกำลังเกิดความขัดแย้งอย่างสาหัส มีการแบ่งก๊กแบ่งเหล่าอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แม้พวกเขาจะนับถือเทพีกระบี่เหมือนกัน แต่นั่นก็ไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์อันใดได้อีกแล้ว
นี่หมายความว่าจะไม่มีกำลังเสริมคอยช่วยเหลือพวกของหลินเป่ยเฉินในสงครามชิงอาณาจักรอย่างที่ควรจะเป็น
นอกจากนี้
เกาเฉิงฮั่นยังคงแกล้งตายอยู่ในจวนซางจั้วหยวน ซึ่งหมายความว่าเขาก็จะเข้าร่วมสงครามชิงอาณาจักรครั้งนี้ไม่ได้อีกเช่นกัน
นี่หมายความว่าจักรวรรดิเป่ยไห่ ต้องขาดยอดฝีมือระดับเซียนไปถึงสามคน
นับเป็นความเสียหายอันใหญ่หลวงยิ่ง
หลินเป่ยเฉินจำได้ดีจากข้อมูลก่อนหน้านี้ว่า จักรวรรดิเป่ยไห่มียอดฝีมือระดับเซียนอยู่เพียงหกคนเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ องค์จักรพรรดิจึงเรียกตัวหลินเป่ยเฉินเข้าไปปรึกษาหารือ ณ ตำหนักเป็นการเร่งด่วน
“พวกเขาไม่มาก็ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมรับมือได้อยู่แล้ว”
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยความมั่นใจ
“จริงหรือ?”
ดวงตาขององค์จักรพรรดิเป็นประกายแวววาวอย่างมีความหวัง
สิ่งที่หลินเป่ยเฉินพูดออกมาคือสิ่งที่องค์จักรพรรดิอยากได้ยินมากที่สุดอยู่พอดี
หลินเป่ยเฉินยกมือตบหน้าอกตนเองด้วยความมุ่งมั่น ก่อนกล่าวว่า “เพียงแต่…”
“เพียงแต่อะไร?”
องค์จักรพรรดิหัวใจกระตุกวูบ
“กระหม่อมต้องการค่าจ้างเพิ่มพ่ะย่ะค่ะ”
หลินเป่ยเฉินพูดหน้าตาเฉย
องค์จักรพรรดิได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ
…
กาลเวลาผ่านไป
หลินเป่ยเฉินได้พบปะกับมิตรสหายมากมาย และไม่มีใครสงสัยอีกแล้วเรื่องที่เขายังมีชีวิตอยู่เป็นความจริงหรือไม่
เยวียนเหวินจวิ้น หลี่ซิวเยวียนและพรรคพวกย่อมรู้สึกโล่งใจ
โดยเฉพาะกานเซียวซวงที่เมื่อได้พบกับหลินเป่ยเฉินในจวนซางจั้วหยวนและเห็นว่าเขายังปลอดภัยดี นางก็ถึงกับร่ำไห้ออกมาด้วยความดีใจ
ช่างเป็นเด็กสาวผู้ไร้เดียงสาเหลือเกิน
หลินเป่ยเฉินอดถอนหายใจออกมาไม่ได้
วันเวลาเหล่านี้ผ่านไปอย่างสงบสุข
ข่าวร้ายเพียงอย่างเดียวที่เด็กหนุ่มได้รับเป็นข่าวที่มาจากตลาดค้าสัตว์อสูร เนื่องจากหวังจงใช้ให้เจ้าเสือดาวลายมังกรผสมพันธุ์กับสัตว์อสูรชนิดอื่น ๆ วันละหลายครั้งมากเกินไป มันจึงเกิดอาการล้มป่วยและต้องนอนพักรักษาตัวอยู่หลายครั้ง…
ส่วนพวกของฉู่เหินก็ยังไม่มีผู้ใดพบร่องรอย
เหล่ายอดฝีมือทั้งสิบท่านราวกับสลายหายไปในอากาศ ไม่มีผู้ใดสามารถสืบพบเบาะแสที่อยู่ของพวกเขาเลยแม้แต่คนเดียว
แล้วเวลาหนึ่งเดือนก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส สายลมโชยพัด
ได้เวลาทำสงครามชิงอาณาจักรแล้ว!!