บทที่ 964 อาณาเขตสนธยา

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 964 อาณาเขตสนธยา

“นี่หรือคืออาณาเขตสนธยา?”

หลินเป่ยเฉินถามพร้อมกับมองภาพที่แปลกประหลาดเบื้องหน้า

ท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มปกคลุมเมืองขนาดใหญ่ราวกับเป็นม่านกำมะหยี่ยักษ์

บนท้องฟ้ามีดวงดาวเปล่งแสงระยิบระยับ แต่หากลองพิจารณาดูให้ดี ดวงดาวเหล่านั้นช่างอยู่ใกล้มือเสียจนรู้สึกว่าหากเอื้อมมือขึ้นไปก็จะสามารถสัมผัสดวงดาวเหล่านั้นได้ด้วยมือเปล่า

รอบตัวหลินเป่ยเฉินขณะนี้เต็มไปด้วยนายทหารชั้นนำของกองทัพเป่ยไห่

ภายใต้การบัญชาการของโหลวซานกวนซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วยราชองครักษ์ กองทัพเป่ยไห่จึงเริ่มจัดตั้งค่ายกลรักษากำแพงเมืองอย่างหนาแน่น

ประตูมิติซึ่งใช้เดินทางมายังอาณาเขตแห่งนี้ถูกเปิดโดยเจดีย์เซียนเหยียบเมฆ และใช้เวลาเพียงชั่วยามเดียวเท่านั้น กองทัพเป่ยไห่ก็เดินทางมาถึงสถานที่แห่งนี้โดยไม่มีผู้ใดตกหล่น

นอกจากพวกของหลินเป่ยเฉินแล้ว ศึกครั้งนี้กองทัพเป่ยไห่ได้นำพาผู้มีพลังระดับเซียนมาด้วยสามคน มือกระบี่ระดับยอดปรมาจารย์ตอนปลายอีกสิบคน และนายทหารฝีมือดีอีก 5,000 คน

สิ่งที่เรียกว่าอาณาเขตสนธยามีสภาพแวดล้อมทุรกันดาร

สถานที่ไม่ใหญ่

แตกต่างจากที่หลินเป่ยเฉินคิดเอาไว้พอสมควร

เขานึกว่ามันจะเป็นแดนสนธยาที่มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาล

แต่สิ่งที่พบเห็นขณะนี้ไม่ต่างไปจากสนามรบโบราณซึ่งถูกทิ้งร้างยาวนานหลายร้อยปี บนกำแพงเมืองเต็มไปด้วยคราบตะไคร่และรอยกระบี่รอยดาบฝากฝังเอาไว้อย่างหนาแน่น อีกทั้งด้านในตัวเมืองก็ยังมีโครงกระดูกกองทับถมกันอยู่บนพื้นดินเป็นจำนวนมหาศาล…

ขณะนี้ กองทัพเป่ยไห่จึงไม่ต่างจากกลุ่มคนที่บุกรุกเข้ามาในดินแดนคนตาย

บททดสอบแรกที่พวกเขาต้องเผชิญ คือการรักษากำแพงเมืองแห่งนี้ไว้ให้ได้

ในเมื่อภารกิจคือการรักษากำแพงเมือง ถ้าอย่างนั้นก็ต้องมีผู้โจมตี

แล้วพูดโจมตีอยู่ที่ใด?

เหตุไฉนกองทัพศัตรูของพวกเขาถึงยังไม่ปรากฏตัว?

หลินเป่ยเฉินกวาดสายตามองรอบบริเวณด้วยความระมัดระวัง

เมืองที่พวกเขาต้องปกป้องไม่ใช่เมืองขนาดใหญ่ นับจากฝั่งตะวันออกจรดฝั่งตะวันตกมีพื้นที่ไม่เกินสี่ลี้ อาคารบ้านเรือนพังทลาย แต่จวนหลังใหญ่ใจกลางเมืองยังมีสภาพสมบูรณ์พร้อมสำหรับการเข้าพัก และในจวนแห่งนั้น บัดนี้มันได้เปลี่ยนสภาพกลายเป็นฐานบัญชาการรบของนายทหารระดับสูงไปเรียบร้อยแล้ว

หลินเป่ยเฉินย่อมไม่คิดสนใจร่วมประชุมวางแผนการรบเหล่านั้น

เด็กหนุ่มมอบหมายหน้าที่นั่งร่วมโต๊ะประชุมให้หวังจงทำแทนตนเอง ส่วนเขานั้นนำตัวสองสาวรับใช้ออกมาสูดอากาศที่กำแพงเมือง

“เมื่อท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีแดง ศัตรูของเราจะปรากฏตัวเจ้าค่ะ”

เฉียนเหมยผู้ยืนอยู่ฝั่งซ้ายมือของหลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น

นางสวมใส่ชุดเกราะสีเงินสำหรับสตรี ดูดีมีสง่าราศี ผิวพรรณขาวเนียน เส้นผมสีดำดกหนาราวกับม่านน้ำตก ความองอาจและสง่างามของแม่ทัพเฉียนเหมยกลับคืนมาอีกครั้ง ไม่ต่างจากตอนที่นางสังหารศัตรูในสนามรบด้วยความบ้าเลือดเมื่อหลายเดือนก่อน

“เจ้ารู้ได้อย่างไร?”

หลินเป่ยเฉินถามด้วยความประหลาดใจ

ในเมื่อตัวเขาเองยังไม่รู้ แล้วเฉียนเหมยที่เป็นตัวแทนภาพลักษณ์สาวสวยใสไร้สมองจะรู้ข้อมูลเชิงลึกของการทำสงครามชิงอาณาจักรได้อย่างไร?

“กราบเรียนนายท่าน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นข้อมูลที่นายท่านเคยบอกพวกเราเองนะเจ้าคะ”

เฉียนเหมยกลอกตามองเขาอย่างอ่อนหวาน “นายท่านลืมแล้วหรือ?”

หลินเป่ยเฉินรีบหัวเราะในลำคอกลบเกลื่อนความเขินอาย

เด็กหนุ่มนึกขึ้นมาได้แล้วว่ามันคงเป็นข้อมูลที่ขันทีชราจางเชียนเชียนเดินทางมาแจ้งให้พวกเขารับทราบในจวนซางจั้วหยวนเมื่อเดือนก่อนนั่นเอง

“ข้าจะลืมได้อย่างไร”

หลินเป่ยเฉินพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ข้าเพียงอยากทดสอบเจ้าต่างหาก”

เฉียนเจินผู้ยืนอยู่ทางฝั่งขวามือพลันกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานว่า “ดูจากความเปลี่ยนแปลงของท้องฟ้าในขณะนี้แล้ว อีกประมาณครึ่งชั่วยาม ท้องฟ้าก็จะเปลี่ยนเป็นสีแดงทั้งหมดเจ้าค่ะ”

ครั้งนี้ หลินเป่ยเฉินไม่ได้แปลกใจ

เพราะเขาทราบดีว่าเฉียนเจินมีนิสัยรอบคอบรัดกุม ภายนอกอ่อนหวานภายในหนักแน่น นางคือขั้วตรงข้ามของเฉียนเหมย แม้ฝีมือในการสู้รบอาจจะไม่ดีเท่า แต่เฉียนเจินก็ได้เปรียบในเรื่องของวิสัยทัศน์ รวมไปถึงความเป็นคนช่างสังเกตอย่างมีเหตุและมีผล

กล่าวได้ว่าความสามารถของสองสาวรับใช้ในขณะนี้ ทำให้หลินเป่ยเฉินรู้สึกว่าตนเองช่างไร้ประโยชน์เหลือเกิน

เด็กหนุ่มใช้ความคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะกวักมือเรียกเซียวปิง “ข้าหิวแล้ว ทำอะไรให้กินหน่อย”

“ได้เลยขอรับ”

เซียวปิงรับคำสั่งด้วยความกระตือรือร้น

เด็กหนุ่มร่างอ้วนรีบเก็บน่องไก่ย่างที่กำลังจะรับประทาน ก่อนนำข้าวของเครื่องใช้สำหรับการปรุงอาหารออกมาจากวัตถุเก็บของวิเศษ ไม่ว่าจะเป็นเตาไฟ ก้อนถ่าน เนื้อสัตว์ทะเลและเนื้อสัตว์ป่า ผงเครื่องปรุง น้ำผึ้ง สุรา ฯลฯ เพียงไม่นาน เตาย่างเนื้อก็ถูกตั้งขึ้นมาด้วยความชำนาญจัดเจน

เพียงพริบตาเดียว กลิ่นหอมของเนื้อย่างก็โชยไปทั่วกำแพงเมือง

สีของท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงทีละเล็กทีละน้อย

ดวงดาวบนฟากฟ้าก็เริ่มหายลับไปแล้วเช่นกัน

ในอากาศเริ่มเจือปนด้วยกลิ่นคาวเลือด…

กลิ่นคาวเลือดที่มีแต่ทหารผู้เคยผ่านสมรภูมิรบมาแล้วเท่านั้นถึงจะสัมผัสได้

ครืน!

กำแพงเมืองเกิดความสั่นไหวเล็กน้อย และม่านพลังโบราณสีเหลืองอ่อนก็ปรากฏขึ้นมาราวกับเป็นระลอกคลื่นเพื่อคุ้มกันกำแพงเมืองทันที

นี่คือค่ายอาคมพื้นฐานสำหรับการปกป้องกำแพงเมือง ซึ่งกองทัพเป่ยไห่เพิ่งซ่อมแซมให้ใช้งานได้เมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อน

ตึง! ตึง! ตึง!

เสียงย่ำกลองรบดังขึ้น

ผืนธงบนกำแพงเมืองเริ่มโบกสะบัดตาม ๆ กัน

เสียงฝีเท้าก้าวเข้ามา

องค์จักรพรรดิและกลุ่มราชองครักษ์ปรากฏตัวขึ้นที่กำแพงเมือง

หลินเป่ยเฉินยังคงรู้สึกซาบซึ้งใจอยู่ไม่เสื่อมคลายที่พบว่าองค์จักรพรรดิทรงมาดูแลการรบครั้งนี้ด้วยตนเอง ทั้ง ๆ ที่พระองค์จะทรงรอฟังข่าวอยู่ในวังหลวงก็ย่อมได้

ยิ่งไปกว่านั้น การทำสงครามชิงอาณาจักรคือเรื่องราวที่อันตรายอย่างยิ่ง

เพียงสองชั่วยาม เมืองโบราณแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยทหารกล้า บนกำแพงเมืองติดตั้งปืนใหญ่วิเศษที่สามารถยิงกระสุนลูกเหล็กออกไปด้วยความเร็วแสง มันเป็นวัตถุที่ผ่านการเล่นแร่แปรธาตุซึ่งหลินเป่ยเฉินไม่เคยได้พบเห็นมาก่อน และแสงสะท้อนจากปืนใหญ่เหล่านี้กับท้องฟ้าสีแดงเลือดด้านบนก็ทำให้ผู้คนรู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

อัครเสนาบดีจั่วเซียงก็ปรากฏตัวขึ้นข้างกายองค์จักรพรรดิเช่นกัน

ชายชรามาที่นี่เพื่อต่อสู้!

เพราะอัครเสนาบดีจั่วเซียงก็เป็นผู้มีพลังระดับเซียนคนหนึ่ง

แต่แน่นอนว่าผู้ที่มีพลังขั้นเซียนระดับหนึ่งอย่างอัครเสนาบดีจั่วเซียงหาได้มีค่าในสายตาหลินเป่ยเฉินไม่

ที่น่าสนใจก็คือกองทัพผู้ติดตามจั่วเซียงล้วนแต่เป็นยอดฝีมือระดับสูง ทุกคนแต่งกายด้วยชุดเกราะเหล็ก ยามพบเห็นหลินเป่ยเฉินก็มักจะก้มศีรษะให้เขาด้วยความเคารพเทิดทูน ราวกับว่าความเกลียดชังและดูถูกดูแคลนที่พวกเขามีต่อหลินเป่ยเฉินเมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ คือสิ่งที่ไม่มีเคยเกิดขึ้นมาก่อน

แต่เมื่อพวกเขาขึ้นมาเห็นว่าเซียวปิงกำลังตั้งเตาย่างเนื้อบนกำแพงเมือง ทุกคนก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก

หากไม่ใช่ว่าเด็กหนุ่มร่างอ้วนผู้นี้คือน้องชายร่วมสาบานของหลินเป่ยเฉิน เจ้าหนุ่มอ้วนก็คงถูกสั่งกุดหัวไปแล้วด้วยโทษฐาน ‘ละเมิดกฎกองทัพ’

“มาแล้ว”

พลัน เฉียนเหมยร้องอุทานออกมาด้วยความดีใจ

หลังจากนั้น ทุกคนก็มองเห็นกองทัพสิ่งมีชีวิตรูปร่างคล้ายมนุษย์ปรากฏตัวขึ้นทางแนวเทือกเขาที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบลี้

เป็นกองทัพขนาดใหญ่

มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด

ดวงตาสีแดงก่ำของฝ่ายศัตรูจ้องมองมาที่กำแพงเมืองของกองทัพเป่ยไห่

พื้นดินสั่นสะเทือน

นี่คือแรงสะเทือนที่เกิดขึ้นจากการเคลื่อนไหวของกองทัพไพร่พลจำนวนมหาศาล

ลมหายใจต่อมา ทุกคนก็เห็นกองทัพสัตว์ประหลาดนับหมื่นตัวปรากฏออกมาจากใจกลางหุบเขา

สัตว์ประหลาดเหล่านี้มีร่างกายท่อนบนเป็นมนุษย์และมีร่างกายท่อนล่างเป็นม้า

ครึ่งมนุษย์ครึ่งม้า?

หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่อ

นี่หรือคือกองทัพศัตรูในสงครามชิงอาณาจักร?