ตอนที่ 965 ข้าจะให้โอกาสกับเจ้า
หลินเป่ยเฉินนึกถึงคำสอนหนึ่งขึ้นมาทันที
หากเจอทหารม้า ให้ฆ่าม้ามาก่อน แล้วค่อยฆ่าทหารทีหลัง หากจะด่าใครสักคน ให้ด่ามารดาของคนผู้นั้นก่อน แล้วค่อยด่าคนผู้นั้นทีหลัง
แต่ตอนนี้คำถามสำคัญก็คือ
สิ่งที่เขากำลังเผชิญหน้าเป็นกองทัพครึ่งมนุษย์ครึ่งม้า แล้วหลินเป่ยเฉินควรฆ่าอะไรก่อน?
เด็กหนุ่มผู้มีความชำนาญด้านการขี่ม้าและยิงธนูอดรู้สึกไม่ได้ว่าสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้ามันน่าเหลือเชื่อมากเกินไป
“พวกมันเป็นปีศาจในอาณาเขตสนธยา”
โหลวซานกวนส่งเสียงร้องตะโกนก้อง มวลอากาศรอบกายปั่นป่วน “พวกเราเตรียมตัว”
ที่นี่คืออาณาเขตสนธยา
เพราะฉะนั้น สิ่งมีชีวิตอื่นใดนอกจากกองทัพเป่ยไห่ ก็ต้องเป็นปีศาจที่ดำรงชีวิตอยู่ในดินแดนนี้ทั้งสิ้น
ฟึบ!
ปืนใหญ่บนกำแพงเมืองหันปลายกระบอกเล็งไปยังทิศทางของกองทัพครึ่งมนุษย์ครึ่งม้าด้วยความเร็วไว
เหล่าทหารกล้าที่ติดตามองค์จักรพรรดิเข้าร่วมสงครามในครั้งนี้ ล้วนแต่เคยผ่านสมรภูมิรบมาแล้วอย่างโชกโชน
บัดนี้ สีหน้าของพวกเขาปรากฏความเคร่งเครียดชัดเจน
เพราะว่าศัตรูที่พวกเขากำลังเผชิญหน้าอยู่ในขณะนี้แตกต่างจากในอดีตอย่างสิ้นเชิง
โหลวซานกวนสังเกตความเร็วของกองทัพครึ่งมนุษย์ครึ่งม้าอย่างใกล้ชิด
นายทหารหนุ่มพบว่าเมื่อกองทัพอสูรกายเหล่านี้เร่งความเร็วสูงสุด พวกมันก็มีความรวดเร็วว่องไวมากกว่ากองทหารม้าของมนุษย์หลายเท่า ดังนั้น โหลวซานกวนจึงออกคำสั่งโจมตี ก่อนที่พวกมันจะเข้าสู่ระยะสังหารของฝั่งกำแพงเมืองด้วยซ้ำ
ฟ้าว!
ลูกธนูจำนวนหลายพันดอกพุ่งทะลวงผ่านอากาศด้วยความรวดเร็วเต็มอัตรา เสียงการระเบิดตัวของอากาศฟังดูน่าขนลุกเป็นอย่างยิ่ง
แต่ในลมหายใจต่อมานั้นเอง สิ่งที่ไม่น่าเชื่อกลับบังเกิดขึ้น
ร่างกายของอสูรครึ่งมนุษย์ครึ่งม้าพลันมีเปลวไฟสีแดงลุกโชนขึ้นมาครอบคลุมตั้งแต่หัวจรดเท้ากลายเป็นเกราะกำบังการโจมตี ลูกธนูของฝ่ายมนุษย์กระเด็นกระดอนกลับออกมา ไม่สามารถทำอะไรพวกมันได้เลย
“เป็นไปได้อย่างไร?”
สีหน้าของโหลวซานกวนแสดงออกถึงความตกตะลึงสุดขีด
เมื่อรับทราบว่าต้องมาทำสงครามชิงอาณาจักรในอาณาเขตสนธยา บรรดาแม่ทัพใหญ่ก็ศึกษาหาข้อมูลมาเป็นอย่างดี
โหลวซานกวนจึงรู้ว่าในการทำสงครามชิงอาณาจักรระดับสาม กองทัพของศัตรูนั้นมีพลังต่ำต้อยเกินกว่าที่จะต้านทานการทำลายล้างของลูกศรเจาะเกราะของพวกเขาได้ แล้วเหตุไฉนครึ่งมนุษย์ครึ่งม้าเหล่านี้ถึงสร้างเกราะกำบังขึ้นมาได้ล่ะ?
นี่คือการประเมินที่มีความยากระดับสามไม่ใช่หรือ?
หรือว่าเป็นระดับที่สูงกว่านั้น?
โชคดีที่โหลวซานกวนมีประสบการณ์บัญชาการรบมาอย่างยาวนาน ปฏิกิริยาตอบสนองของเขาจึงรวดเร็วยิ่ง
ชายหนุ่มรีบสลัดความตกตะลึงออกจากใจและออกคำสั่งให้โจมตีต่อไป
ปืนใหญ่อาคมเริ่มระเบิดเสียงคำราม
ลูกกระสุนพุ่งทะลวงออกไปจากกำแพง เป้าหมายการทำลายล้างอยู่ที่กองทัพครึ่งมนุษย์ครึ่งม้าเหล่านั้น
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
อานุภาพการทำลายล้างของลูกกระสุนปืนใหญ่ย่อมมีความรุนแรงมากกว่าลูกธนูหลายเท่า
ในที่สุด ก็เริ่มมีอสูรครึ่งมนุษย์ครึ่งม้าส่วนหนึ่งล้มลงไปนอนส่งเสียงร้องโหยหวนบ้างแล้ว
แต่ความตายของเพื่อนร่วมสายพันธุ์ก็ทำให้ครึ่งมนุษย์ครึ่งม้าเหล่านี้มีความโกรธแค้นมากกว่าเดิม พวกมันมีดวงตาแดงก่ำ หอบหายใจหนักหน่วง เร่งความเร็วฝีเท้า ระเบิดพลังลมปราณออกมาจากร่างกายเต็มอัตรา
“นี่ไม่ใช่การประเมินระดับสาม”
จั่วเซียงผู้ยืนอยู่บนกำแพงเมืองกล่าวออกมาช้า ๆ
แต่นั่นกลับเป็นคำพูดที่ทำให้หัวใจของแม่ทัพใหญ่หลายนายเย็นวาบ
องค์จักรพรรดิ์ทรงยิ้มออกมาเล็กน้อย
พระองค์ท่านพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “ไม่ใช่การประเมินระดับสามแล้วจะอย่างไร? ไหน ๆ พวกเราก็มาอยู่ที่นี่แล้ว คงมีแต่ต้องทำภารกิจให้สำเร็จเท่านั้น พวกเจ้าทุกคนล้วนเป็นสุดยอดนายทหารชั้นนำของจักรวรรดิเป่ยไห่เรา ยังมีอะไรต้องกลัวอีกหรือ? มาเถิด มาร่วมมือกับข้าปกป้องอาณาจักรแห่งนี้ให้ได้”
นับเป็นคำพูดที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมา
แต่กลับช่วยขจัดความวิตกกังวลในจิตใจของกลุ่มแม่ทัพใหญ่ได้เป็นอย่างดี
เช้ง!
องค์จักรพรรดิทรงชักกระบี่สายลมน้ำแข็งที่เหน็บอยู่ข้างเอวออกมาจากฝัก
ท่านก้าวเดินออกมาข้างหน้าและตวัดฟันกระบี่ออกไปแนวขวาง
ครืน!
รังสีกระบี่พุ่งออกไปข้างหน้า
ตอนแรก มันเป็นรังสีกระบี่ที่มีความยาวไม่กี่วาเท่านั้น แต่ภายหลังกลับขยายตัวครอบคลุมพื้นที่หลายร้อยวา รังสีกระบี่พุ่งตกลงไปใจกลางกลุ่มกองทัพครึ่งมนุษย์ครึ่งม้า หลังจากนั้น รังสีกระบี่ก็แผ่รัศมีไปรอบบริเวณ อานุภาพการทำลายล้างของมันไม่ต่างจากคมเคียวยมทูต
บรรดาอสูรครึ่งมนุษย์ครึ่งม้าหลายตัวแม้ช่วงล่างจะวิ่งมาข้างหน้าต่อไป แต่ช่วงบนลำตัวได้ขาดครึ่งตกลงกระแทกพื้นดิน โลหิตสีแดงสดไหลเป็นทางยาวหลายสิบวา ก่อนที่กายท่อนล่างของพวกมันจะล้มลงตามลงไป
เพียงกระบี่เดียว เพียงกระบวนท่าเดียว ครึ่งมนุษย์ครึ่งม้าก็ตกตายหลายพันตัว
เมื่อเห็นเช่นนี้ หลินเป่ยเฉินก็ต้องเบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่อ
นี่ย่อมเป็นการโจมตีของผู้มีพลังระดับเซียน
คิดไม่ถึงเลยว่าองค์จักรพรรดิจะมีพลังแข็งแกร่งถึงเพียงนี้
แต่เมื่อลองคิดดูดี ๆ เด็กหนุ่มก็พบว่านี่คือเรื่องราวที่สมเหตุสมผลดีแล้ว
ต้องไม่ลืมว่าองค์จักรพรรดิเป็นประมุขแห่งแผ่นดินที่อุดมไปด้วยมือกระบี่ฝีมือฉกาจฉกรรจ์มากมาย หากพระองค์ท่านมีระดับพลังต่ำต้อย แล้วจะสามารถควบคุมคนหมู่มากได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้น องค์จักรพรรดิทรงถือกำเนิดเกิดมาพร้อมกับความสมบูรณ์พร้อมในทุก ๆ ด้านไม่ใช่หรือ?
นอกจากมีสุดยอดอาจารย์คอยให้คำชี้แนะ มีคัมภีร์เคล็ดวิชาลับมากมายให้ฝึกฝน มีทรัพยากรมากมายให้ดูดซับพลังไม่รู้หมด แม้แต่หมูสักตัวหากได้รับการอำนวยความสะดวกเช่นนี้ ก็คงเลื่อนระดับขึ้นมาเป็นหมูอสูรระดับเซียนได้ไม่ยาก
“ขอพระองค์ทรงอายุยืนหมื่นปีหมื่นหมื่นปี!”
“ขอพระองค์ทรงอายุยืนหมื่นปีหมื่นหมื่นปี!”
“ขอพระองค์ทรงอายุยืนหมื่นปีหมื่นหมื่นปี!”
“ขอพระองค์ทรงอายุยืนหมื่นปีหมื่นหมื่นปี!”
นายทหารจำนวนมากประสานเสียงกึกก้องกำแพงเมือง
สำหรับมนุษย์นั้น จิตใจคือสิ่งที่สำคัญที่สุด
การโจมตีด้วยกระบี่นี้ขององค์จักรพรรดิช่วยปลุกเร้าขวัญกำลังใจให้แก่นายทหารกองทัพเป่ยไห่กลับมามีความฮึกเหิมอีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินยืนกะพริบตาปริบ ๆ คิดว่าวิธีการปลุกใจขององค์จักรพรรดิน่าสนใจมาก เขาควรเฝ้าดูและเรียนรู้เป็นตัวอย่างเพื่อไว้ใช้งานในภายหลัง
ปืนใหญ่อาคมยังคงยิงลูกกระสุนออกไปอย่างต่อเนื่อง
หลังจากนั้น เหล่านายทหารระดับยอดปรมาจารย์ของกองทัพ เช่นเดียวกับผู้มีพลังขั้นเซียนอีกคนที่หลินเป่ยเฉินไม่รู้จักชื่อก็กระโดดลงสู่สนามรบ เพื่อสกัดขัดขวางไม่ให้กองทัพครึ่งมนุษย์ครึ่งม้าเหล่านั้นบุกมาประชิดกำแพงเมืองได้สำเร็จ
แต่สถานการณ์เลวร้ายกว่าที่คิด
เนื่องเพราะกองทัพอสูรมีกำลังเสริมระลอกที่สองกับระลอกที่สามบุกโจมตีตามมาไม่หยุดยั้ง
และกำลังเสริมของพวกมันนอกจากมีร่างกายใหญ่โตมากขึ้นแล้ว ก็ยังมีความเร็วมากขึ้น และมีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอีกด้วย
หลินเป่ยเฉินเฝ้าดูสถานการณ์อย่างระมัดระวัง
อสูรครึ่งมนุษย์ครึ่งม้าเหล่านี้ดูจะไม่ค่อยมีสติปัญญาสักเท่าไหร่ พวกมันสวมใส่ชุดเกราะโครงกระดูก บางตัวสวมใส่ชุดเกราะที่ไม่สมบูรณ์ด้วยซ้ำ อาวุธในมือส่วนใหญ่ก็ทำขึ้นมาจากกระดูกขัดเงา ผมเผ้ายุ่งเหยิง ลักษณะราวกับพวกคนเถื่อนไร้อารยธรรม
มีอสูรครึ่งมนุษย์ครึ่งม้าส่วนน้อยเท่านั้นที่จะใช้อาวุธเหล็กกล้า และผมเผ้าก็รวบรัดอย่างสะอาดสะอ้าน แน่นอนว่าพวกมันเหล่านั้นต้องเป็นกลุ่มผู้นำระดับสูง และมีร่างกายสูงใหญ่มากกว่าครึ่งมนุษย์ครึ่งม้าทั่วไปอีกหนึ่งเท่าตัว!
กล่าวได้ว่าระดับสติปัญญาของอสูรครึ่งมนุษย์ครึ่งม้าเหล่านี้ น่าจะไม่ได้ฉลาดมากไปกว่าฝูงลิงชิมแปนซีบนโลกมนุษย์ แต่พวกมันก็มีความอันตรายมากพอที่จะทำให้องค์จักรพรรดิทรงปวดหัว
เนื่องจากเมื่อองค์จักรพรรดิตวัดกระบี่สายลมน้ำแข็งออกไปอีกครั้ง อานุภาพในการทำลายล้างกลับลดลงอย่างน่าใจหาย เมื่อเผชิญหน้ากำลังเสริมของกองทัพอสูรระรอกที่สี่ ก็มีพวกมันเพียงไม่กี่ร้อยตัวเท่านั้นล้มลงนอนตายบนพื้นดิน ส่วนอีกหลายพันตัวที่เหลืออยู่ ยังคงวิ่งตะบึงมาข้างหน้าได้อย่างไม่มีปัญหา
โครม! โครม! โครม!
กองทัพอสูรครึ่งมนุษย์ครึ่งม้าโจมตีใส่ม่านพลังของกำแพงเมืองอย่างต่อเนื่อง
พื้นดินสั่นสะเทือน
ประเมินได้ว่าหากพวกมันสามารถทะลวงกำแพงเมืองเข้ามาได้สำเร็จ ผู้ที่มีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์คงไม่สามารถต้านทานอสูรเหล่านี้ได้ด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับนายทหารที่มีพลังอยู่ในขั้นปรมาจารย์ทั่วไป
“ฝ่าบาททรงรับสั่งให้ทหารถอยทัพกลับมาพักก่อนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
หลินเป่ยเฉินพูดออกมาอย่างแช่มช้า
น้ำเสียงราบเรียบ
เสแสร้งแกล้งทำตัวเคารพนอบน้อม
นั่นเป็นเพราะบัดนี้หลินเป่ยเฉินรู้สึกว่ายามที่ตนเองอยู่ต่อหน้าองค์จักรพรรดิ เขาต้องระมัดระวังเรื่องกิริยามารยาทเป็นพิเศษ
องค์จักรพรรดิขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเบิกตาโตคล้ายเข้าใจอะไรบางอย่าง “ย่อมได้”
ครั้งนี้ พระองค์ท่านอยากจะรับชมฝีมือของหลินเป่ยเฉินบ้าง
แต่ที่ไหนได้ เด็กหนุ่มกลับไม่ได้ลงสู่สนามรบด้วยตัวเอง
หลินเป่ยเฉินหันขวับกลับไปใช้สองมือบีบแก้มสาวรับใช้ข้างกายผู้สวมใส่ชุดเกราะทหารหญิงจนนางปากจู๋ หลังจากนั้น เขาก็ลูบศีรษะของนาง พร้อมกับกล่าวยิ้มๆ ว่า “จากนี้ไป เจ้าจะบ่นว่าข้าไม่ให้โอกาสเจ้าไม่ได้แล้วนะ ข้าจะให้โอกาสเจ้าใช้เวลาหนึ่งก้านธูป กำจัดกองทัพอสูรพวกนี้ไปให้หมด เข้าใจหรือไม่?”
นี่หลินเป่ยเฉินเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร?
เขาจะส่งเด็กสาวผู้น่าทะนุถนอมนางนี้ออกไปรับมือกับกองทัพอสูรอย่างนั้นหรือ?
นั่นเท่ากับส่งนางออกไปตายเลยนะ?
แม่ทัพใหญ่หลายท่านได้แต่คิดอยู่ในใจ
พวกเขาจ้องมองไปที่เฉียนเหมยด้วยความสงสารเวทนา
แต่ใครเลยจะคิดว่าเด็กสาวกลับมีดวงตาเป็นประกายวาววับด้วยความตื่นเต้น ก่อนที่นางจะรับคำสั่งเสียงดังกังวานว่า “ไม่ต้องถึงหนึ่งก้านธูปหรอกเจ้าค่ะ แค่ต้มน้ำเดือดก็พอแล้ว…”
พูดจบ เด็กสาวก็ดีดตัวออกไปนอกกำแพงเมือง
เมื่อเหล่าแม่ทัพใหญ่เห็นภาพนี้ หัวใจของพวกเขาก็ตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม
เด็กสาวผู้สวยงดงามเฉิดฉาย ร่างกายบอบบางอรชรควรค่าแก่การทะนุถนอม นางไม่รู้หรืออย่างไรว่าตนเองกำลังถูกส่งออกไปตาย?
แต่เพียงลมหายใจต่อมาเท่านั้น นายทหารทุกคนก็ต้องปากอ้าตาค้างด้วยความตกตะลึง