บทที่ 44 การท้าดวลเดี่ยว (1)
“เจ้า? เจ้าจะล้มเทพอสูรด้วยตัวเองหรือ?”
เมื่อซูเฉินบอกว่าเขาจะสู้กับเทพอสูรเอง ทุกคนต่างก็ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
เขากำลังพูดถึงเทพอสูรนะ! พวกมันอยู่คนละระดับกับจักรพรรดิอสูรกายหรือราชันจักรพรรดิอสูรเลยด้วยซ้ำ
หากจักรพรรดิอสูรกายเทียบเท่ากับปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 10 เทพอสูรก็เทียบเท่ากับปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 15 และเทพอสูรบรรพกาลก็เทียบเท่ากับปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 20 ช่องว่างระหว่างแต่ละระดับนั้นมากถึง 5 ระดับเลยทีเดียว!
นั่นคือช่องว่างเดียวกันกับระหว่างผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารและผู้เชี่ยวชาญด่านมหาราชัน
หากว่าต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารที่ประสานงานกันและได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี 1,000 คนเพื่อเอาชนะผู้เชี่ยวชาญด่านมหาราชันหนึ่งคน ก็แปลว่าจะต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญด่านมหาราชันที่ประสานงานกันและได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี 1,000 คนเพื่อเอาชนะเทพอสูรหนึ่งตัว
นี่คือเหตุผลที่มนุษย์สวมใส่เสื้อผ้าหรูหราทุกครั้งที่ต่อสู้กับเทพอสูร พวกเขาขาดผู้เชี่ยวชาญด่านมหาราชันจำนวนมากซึ่งเป็นเหตุให้ต้องนำผู้ฝึกตนระดับต่ำกว่าค่ายกลสะเก็ดดาวและเทียนไขชีวิตเพื่อชดเชยส่วนที่ขาดไป
แต่ถึงอย่างนั้น พลังของทั้งหมดประสานกันก็ยังด้อยกว่าความทรงพลังของผู้เชี่ยวชาญด่านมหาราชัน 1,000 คนอยู่ดี ดังนั้นแล้ว ทุกการต่อสู้กับเทพอสูรจึงเกิดการนองเลือดอย่างไม่มีข้อยกเว้น ชัยชนะมักจะมาด้วยค่าใช้จ่ายมหาศาลเสมอ
การมาของนิกายไร้ขอบเขตได้ผลักดันเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้ข้ามผ่านกำแพงผู้เชี่ยวชาญด่านมหาราชัน 1,000 คนไปได้แล้วในที่สุด ซึ่งก็คือเหตุผลที่พวกเขาสามารถเอาชนะเทพอสูรมาได้โดยไม่ต้องสูญเสียมากเกินไปก่อนหน้านี้
ในที่สุดความแข็งแกร่งของพวกเขาเพียงพอแล้ว
แต่ตอนนี้ ซูเฉินกำลังป่าวประกาศว่าเขาสามารถพิชิตเทพอสูรได้ด้วยตนเอง…
ใช่แล้ว เขาได้สังหารจักรพรรดิอสูรกายมาแล้วมากกว่า 10 ตัวด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถสังหารเทพอสูรด้วยตัวคนเดียวได้!
แต่ซูเฉินก็พยักหน้าด้วยความมั่นใจเต็มอกอีกครั้ง “ใช่ ให้ข้าจัดการเอง”
กู่ฮุยหมิงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ซูเฉิน พวกเรารู้ว่าเจ้าคือมนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดที่มีชีวิตอยู่ในตอนนี้ แต่การท้าทายเทพอสูรตัวคนเดียวนั้นเป็นการฆ่าตัวตายชัด ๆ!”
บรรพชนของตระกูลกู่นั้นครอบครองตำแหน่งที่สูงส่งยิ่งนัก กระทั่งผู้นำแห่งนิกายไร้ขอบเขต มนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในปัจจุบัน ก็ไม่อาจเหนือไปกว่าการตำหนิของเขา
ซูเฉินไม่โกรธเคืองแต่อย่างใด ชายหนุ่มหัวเราะพร้อมตอบกลับไป “ข้าไม่ได้วางแผนที่จะฆ่าตัวเองเสียหน่อย ข้าแค่จะไปชะลอมันไว้”
“ด้วยอะไรล่ะ?” กู่ฮุยหมิงถามด้วยท่าทีเรียบเฉย
ซูเฉินมองออกไปไกลแล้วจึงตอบอย่างใจเย็น “ข้าเพิ่งจะได้ของเล่นใหม่มานิดหน่อย… ไม่ต้องห่วง แม้ว่าข้าจะเอาชนะมันไม่ได้ ข้าก็ยังหลบหนีได้”
หลังจากพูดจบ เขาก็ออกบินและหายวับไปแทบจะในทันที กว่าทุกคนจะรู้ตัวเขาก็ปรากฏตัวขึ้นข้าง ๆ อิ๋นซาเสียแล้ว คนอื่น ๆ ไม่มีทางเลือกนอกจากเชื่อมั่นว่าซูเฉินจะไม่ฝืนตัวเองเกินไปเพียงเพื่อไม่ให้เสียหน้า
ทันทีที่ซูเฉินปรากฏตัวขึ้น อิ๋นซาก็ตอบสนองด้วยการขยายร่างกลุ่มควันของมันออกและปล่อยคลื่นหมอกควันมายังเขาทันที
ซูเฉินไม่กล้าปล่อยให้หมอกนั้นเข้าปกคลุมและถอยกลับออกมาอย่างรวดเร็วที่สุด ในเวลาเดียวกัน เขาก็ชักดาบออกจากฝักและปล่อยคลื่นพลังปราณดาบออกมา ปราณดาบนั้นทะลุผ่านกลุ่มหมอกไปโดยไม่ถูกต้านทาน ทำให้มันไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย
แต่ซูเฉินก็ไม่ฉุนเฉียวสักนิด เขากลับขยับมืออย่างเรียบง่ายแล้ววิชาจิตมังกรเพลิงก็สำแดงตนขึ้นเบื้องหน้าเขา
เปลวเพลิงอันลุกโชนพุ่งไปยังกลุ่มหมอก ซูเฉินสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเปลวเพลิงเหล่านั้นกำลังไล่หมอกที่แพร่กระจายออกมาให้ถอยหลังกลับไป
การควบคุมกฎแห่งพลังเพลิงของซูเฉินได้มาถึงระดับที่แข็งแกร่งพอจะสลายหมอกของอิ๋นซาได้แล้ว
แต่ในขณะที่พลังงานของมังกรเพลิงมีอยู่จำกัด กลุ่มหมอกดูจะไม่เป็นเช่นนั้น
หมอกปริมาณมากกว่าเดิมแผ่ออกมาตอบโต้มังกรเพลิงของซูเฉินและกลืนกินมันเข้าไปทั้งตัวราวกับทะเลที่โถมเข้าหาลูกไฟเล็ก ๆ
“นี่…” กระทั่งซูเฉินก็พูดไม่ออกเมื่อเห็นดังนั้น
แน่นอนว่าช่องว่างระหว่างความแข็งแกร่งของทั้งสองนั้นไม่อาจเทียบกันได้เลยในการปะทะกันซึ่งหน้า
พริบตาต่อมา ซูเฉินก็อ้าปากกว้าง ปล่อยเสียงล่องหนออกมา
การทิ่มแทงจิต
การโจมตีประเภทนี้คือการที่พลังจิตถูกควบแน่นให้เป็นรูปร่างที่แหลมคมเพื่อเจาะทะลวงจิตใจของศัตรู
ซูเฉินกำลังทดสอบน้ำเพื่อดูประสิทธิภาพของการโจมตีพลังจิตต่อมัน
อิ๋นซาดูจะสัมผัสได้ถึงการโจมตีพลังจิต แล้วหมอกก็กลับกลายเป็นใบหน้าขนาดยักษ์ ใบหน้าอากาศนี้อ้าปากออกและคายหมอกรูปมือจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกไปหาซูเฉิน
“ตอบกลับมายิ่งใหญ่ทีเดียวเชียว” ซูเฉินขำคิกคักกับตัวเองขณะที่ยังคงบินถอยหลังต่อไป
การทิ่มแทงจิตนั้นอ่อนแอกว่าวิชาจิตมังกรเพลิงมากในเชิงของพลังดิบ ๆ แต่มันดูจะมีประสิทธิภาพกว่ามากต่ออิ๋นซา พูดอีกอย่างคือดูเหมือนว่าการใช้พลังจิตโจมตีจะเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุดอย่างแน่นอน
แต่นั่นไม่จำเป็นต้องหมายความว่าซูเฉินจะทำเช่นนั้น
เขามีปริมาณของพลังจิตอยู่จำกัด แม้จะสำรองไว้อีก 10 เท่า เขาก็คงสังหารเทพอสูรด้วยการโจมตีพลังจิตเพียงอย่างเดียวได้สำเร็จอยู่ดี
ดังนั้นแล้ว เขาจึงมองหาวิธีการโจมตีอิ๋นซาต่อไป
ในขณะเดียวกัน เขาก็หลบหลีกมือหมอกทั้งหลายพันที่มุ่งหน้าเข้ามาหาอย่างต่อเนื่อง อิ๋นซาถูกจัดว่าเป็นนักลอบสังหาร แต่วิธีการที่มันกำลังต่อสู้นั้นทำให้ดูเหมือนนักรบเสียมากกว่า
มือหมอกแต่ละมือฟาดผ่านผืนฟ้าราวกับแส้อันชั่วร้ายและหมุนวนอากาศรอบ ๆ พวกมัน ความโกลาหลนั้นยิ่งใหญ่จนแทบจะดูราวกับว่าซูเฉินกำลังถูกห้อมล้อมไปด้วยก้อนเมฆแสนดุร้ายกลุ่มใหญ่
ซูเฉินพยายามใช้ดาบของเขาตัดผ่านมือหมอกเหล่านั้น ดาบไร้แสงเฉือนผ่านพวกมันไปข้างหนึ่งโดยทำร้ายมันจากร่างหลักของมันเอง
ด้วยการโจมตีนี้ ซูเฉินก็นึกขึ้นได้ว่าแม้ว่าอิ๋นซาจะมีความต้านทานแต่กำเนิดต่อการโจมตีทางกายภาพ หลักการนั้นจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อมันอยู่ในสถานะลวงตาเท่านั้น เมื่อมันโจมตี มันก็ไม่ได้อยู่ในสถานะลวงตาอีกต่อไป ซึ่งหมายความว่ามันจะเปราะบางต่อการโจมตีทางกายภาพเมื่อมันโจมตีนั่นเอง
แต่น่าตกใจที่อิ๋นซายังสามารถรักษาสภาพบางส่วนไว้ได้ในเวลาเดียวกัน
ร่างกายของมันยังคงไร้ตัวตนในขณะที่มือของมันยังมีตัวตนอยู่
พูดอีกอย่างคือมีเพียงส่วนของร่างกายที่กำลังโจมตีซูเฉินเท่านั้นที่มีเนื้อหนัง ในขณะที่ส่วนที่เหลือจะอยู่ในสภาวะไร้ตัวตน
สัตว์อสูรตัวนี้ช่างร้ายกาจจริง ๆ!
ซูเฉินได้แต่ถอนหายใจด้วยความอัศจรรย์ใจยิ่งนัก มนุษย์ทั้งหลายจะต้องจัดการสิ่งมีชีวิตนี้ได้ยากกว่าเหยี่ยวสีทองมหาศาลอย่างแน่นอน
มือหมอกทั้งหลายยังคงฟาดแมลงวันที่ชื่อว่าซูเฉินไปมา
แม้เขาจะสามารถฟันพวกมันทิ้งได้ ซูเฉินก็ไม่มีตัวเลือกนอกจากถอยหนีครั้งแล้วครั้งเล่าเมื่อเผชิญหน้ากับคลื่นมือหมอกที่ถาโถมเข้ามามากมาย
โดยไร้ซึ่งการสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญคนอื่น ๆ หรือค่ายกลที่ทรงพลังแล้ว ซูเฉินก็รู้สึกเหมือนกับคนธรรมดาที่จมดิ่งลงไปในมหาสมุทรพายุคลั่งโดยไม่มีผู้ช่วยชีวิตอยู่ในสายตา
แต่ถึงอย่างนั้น ยิ่งพายุโหมกระหน่ำขึ้นเท่าไร ซูเฉินก็ต้องการที่จะฝ่าฟันมันไปให้ได้มากขึ้นเท่านั้น
ผู้ที่กล้าหาญอย่างแท้จริงจะไม่เกรงกลัวต่อภยันตราย
ซูเฉินมองดูเทพอสูรร่างยักษ์โจมตีเขาต่อไปขณะที่มือหมอกนับไม่ถ้วนเลื้อยมาหาเขาตามกระแสลม เขากำลังเต้นรำอยู่บนคมดาบจริง ๆ
“ซูเฉิน!” กู่ชิงลั่วกำหมัดแน่นขณะที่นางเฝ้ามองสงครามที่เกิดขึ้นห่างออกไปอย่างเป็นกังวล
“เจ้าต้องเชื่อในตัวเขา!” หลี่ฉงซานบีบไหล่ของกู่ชิงลั่วไว้แน่น เขารู้ดีว่านางกำลังคิดสิ่งใดจึงพูดขึ้น “ถึงเจ้าไปตอนนี้เจ้าก็ไม่อาจช่วยเขาได้ แย่ที่สุดคือเจ้ามีแต่จะไปถ่วงรั้งเขาเท่านั้น”
กู่ชิงลั่วก็รู้ดีเช่นกัน การปรากฏตัวขึ้นของนางมีแนวโน้มที่จะรบกวนอีกฝ่ายมากกว่าช่วยเหลือ นางจึงได้แต่ขบฟันแน่นและตอบกลับ “ข้ารู้น่า พวกเรากำลังรออะไรกันอยู่? กำจัดอีก 2 ตัวซะ แล้วเราจะได้ไปช่วยเจ้านิกาย!”
ชั่วขณะนี้ สิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้คือการสังหารเทพอสูรอีก 2 ตัวเพื่อช่วยบรรเทาแรงกดดันตรงซูเฉินลง
หวังว่าซูเฉินจะสามารถอดทนได้จนถึงตอนนั้น!
ณ จุดนี้ ทหารเผ่ามนุษย์ทุกคนต่างคิดไปในทางเดียวกัน
“ฟ่อ!”
เสียงขู่ฟ่อน่าขนลุกขนพองดังออกมาจากกลุ่มหมอกในทันใด
จังหวะเดียวกันนั้นเอง ซูเฉินรู้สึกได้ถึงคลื่นความเจ็บปวดที่ปกคลุมไปทั่วทั้งร่างกาย เขาตัวแข็งทื่ออยู่กลางอากาศขณะที่เลือดกระฉูดออกมาจากจมูก
ไม่ได้การแล้ว!
ซูเฉินรู้ว่าเขาได้ตกเป็นเหยื่อให้การโจมตีพลังจิตของอิ๋นซาเสียแล้ว
แม้ว่าอิ๋นซาควรจะถูกจัดเป็นนักลอบสังหาร ความเชี่ยวชาญในวิชาพลังจิตของมันก็น่าอัศจรรย์ไม่แพ้กัน ที่จริงแล้ว คุณสมบัติที่น่าประทับใจมากที่สุด 3 อย่างของมันคือความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ ความสามารถในการข้ามผ่านการโจมตีกายภาพ และการโจมตีพลังจิตที่แข็งแกร่ง
แต่ต่างไปจากภาพลวงตาของเซิ่นโหลว ภาพลวงตาของอิ๋นซาเหมาะกับการลอบสังหารยิ่งกว่ามาก
โชคยังดีที่จิตของซูเฉินนั้นทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง ผู้เชี่ยวชาญด่านมหาราชันคนอื่นจะต้องได้บาดเจ็บสาหัสอย่างแน่นอนหากไม่ได้ถูกสังหารลงในทันใด
ทันทีที่ซูเฉินได้รับผลกระทบจากวิชาพลังจิต มือหมอกทั้งหมดก็เริ่มเลื้อยเข้าไปหาเขาอย่างรวดเร็ว
ในตอนที่พวกมันกำลังจะบีบรัดร่างกายของเขานั่นเอง แสงจาง ๆ ก็พลันส่องประกายออกมาจากร่างของซูเฉิน เหล่ามือหมอกโจมตีไม่โดนสิ่งใดนอกจากอากาศอันว่างเปล่า ในชั่วพริบตานั้นเอง ซูเฉินได้หลบหนีออกมาจากการควบคุมของอสูรร้าย
ตามปกติแล้ว เขาทำเช่นนั้นด้วยการใช้พลังอมตะของตน
นี่ยังเป็นเหตุผลที่ซูเฉินมั่นใจว่าจะสามารถท้าทายเทพอสูรด้วยตนเองได้อีกด้วย
แต่ต่างไปจากครั้งที่เขาเผชิญหน้ากับขบวนจักรพรรดิอสูรกายขนาดยักษ์ ซูเฉินได้สะสมพลังอมตะไว้มากกว่าครั้งก่อนมหาศาล ซึ่งเพิ่มพูนความสามารถในการฟื้นฟูของเขาด้วยเช่นกัน
แม้การเพิ่มขึ้นของพลังอมตะจะไม่ได้หมายถึงชัยชนะเหนือเทพอสูรด้วยตัวเขาเพียงคนเดียว ซูเฉินก็ยังสามารถยื้อเวลาออกไปได้
และช่วงเวลานี้ก็ยิ่งกว่าเพียงพอให้ซูเฉินทำสิ่งต่าง ๆ ได้มากมาย
กลุ่มหมอกพุ่งตรงเข้ายังทิศทางของเขาอีกครั้ง และในครานี้ มันแผ่รัศมีกัดกร่อนออกมาทำให้อากาศโดยรอบเดือดพล่านอย่างน่าหวาดกลัว
ซูเฉินยังคงถอยหนีต่อไปจนกระทั่งหลังชนกับภูเขา ทันใดนั้นเอง เขาก็หันหลังกลับและโจมตีภูเขาด้วยฝ่ามือ
ภูเขาทั้งลูกสั่นไหวอย่างรุนแรงขณะที่ชิ้นส่วนหินมากมายเริ่มร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า ขณะเดียวกัน พวกมันก็เปลี่ยนรูปร่างเป็นหู ตา ปาก และจมูก ซึ่งรวมตัวกันเป็นใบหน้ามนุษย์ขนาดมหึมาในภายหลัง ขณะที่หินอีกจำนวนมากยังคงหล่นลงมา ส่วนของร่างกายที่เหลือและขาก็ปรากฏขึ้นด้วยเช่นกันและรวมร่างเป็นรูปปั้นขนาดเท่าภูเขา
ซูเฉินโจมตีไปยังรูปปั้นด้วยฝ่ามืออีกครั้้ง รูปปั้นนั้นลืมตาขึ้นก่อนที่จะปล่อยหมัดออก มันทำลายมือหมอกหลายพันมือที่ดิ้นยั้วเยี้ยอยู่บนท้องฟ้า มือทั้งหลายเริ่มระเบิดออกมือแล้วมือเล่า
นี่คือกฎแห่งพลังผนึกเซียนของซูเฉินที่ทำให้เขาสามารถโยกย้ายพลังจิตให้แก่สิ่งไม่มีชีวิตได้
แม้ว่าชายหนุ่มจะยังไม่สามารถทำรูปปั้นให้เป็นพระเจ้าได้ แต่เขาก็ยิ่งกว่าสามารถมอบจิตใจให้แก่มันได้เสียอีก
ยักษ์ภูเขานี้อาจไม่แข็งแกร่งกว่าผู้เชี่ยวชาญด่านมหาราชัน แต่พละกำลังของมันนั้นเหนือธรรมดานัก ทำให้มันเป็นโล่ป้องกันที่สมบูรณ์แบบทีเดียว มันสามารถหยุดการโจมตีแสนดุดันของอิ๋นซาลงกลางทางได้
แต่ดูเหมือนว่ามือหมอกเหล่านี้จะไม่มีที่สิ้นสุด หลังจากที่หมัดของยักษ์ภูเขาทำลายมือกลุ่มหนึ่งไป มือจำนวนมากยิ่งกว่าเดิมก็จะเข้ามาแทนที่ ทำให้กำปั้นของยักษ์ภูเขาทะลวงผ่านชั้นมือไปได้เพียงไม่กี่ชั้นก่อนที่จะหมดเรี่ยวแรง ไม่นานต่อมา แรงเหวี่ยงจากหมัดของมันทั้งหมดก็ถูกกลืนกินหายไป
ยักษ์ภูเขาคำรามด้วยความเกรี้ยวกราด แต่มันก็ไม่อาจสะบัดแขนออกมาจากกำมือของอิ๋นซาได้ มือทั้งหลายของอิ๋นซาจับแขนของยักษ์ภูเขาไว้อย่างแน่นหนา แล้วมันก็เริ่มละลายขณะที่หมอกกัดกร่อนเริ่มแผลงฤทธิ์
อิ๋นซาไม่ได้วางแผนที่จะรอให้แขนของยักษ์ภูเขาละลายหายไปจนหมด หลังจากผ่านไปไม่กี่อึดใจ เหล่ามือหมอกก็เริ่มกระตุกไปมาและบิดแขนของยักษ์ภูเขาให้หลุดออกมาและส่งมันลอยออกไปไกลในอากาศ
ยักษ์ภูเขาผู้น่าสงสารฉวยโอกาสอิสระชั่วขณะนั้นเพื่อปล่อยหมัดออกไปด้วยกำปั้นซ้ายแทน
แต่ผลก็ออกมาอย่างเดิม
ปัง!
แขนอีกข้างของมันพังทลายลงเช่นกัน
ยักษ์ภูเขาขู่คำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวเมื่อมันอ้าปากออกกว้างเพื่อกัดอิ๋นซา โชคไม่ดีนักที่เหล่ามือหมอกเข้าไปพันรอบคอของมันและค่อย ๆ รัดแน่นขึ้นช้า ๆ
ด้วยเสียงดังสนั่น หัวของยักษ์ภูเขาก็พลัดตกลงมาด้วยเช่นกัน
นี่ทำให้ร่างของยักษ์ภูเขานิ่งสนิทและกลับไปเป็นยอดภูเขาที่ดูเหมือนรูปปั้นไร้แขนและศีรษะในที่สุด
“โฮ่ ๆ” ซูเฉินไม่ได้ดูประหลาดใจเป็นพิเศษกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาหัวเราะออกมา “เทพอสูรสามารถเคลื่อนย้ายภูเขาและเติมเต็มมหาสมุทรได้จริง ๆ ด้วย แต่ข้าก็อยากรู้ว่าเจ้าจะเคลื่อนภูเขาและเติมเต็มมหาสมุทรได้สักกี่แห่งกัน!”
ขณะที่พูด ชายหนุ่มก็ยังคงถอยหลังต่อไปโดยวางฝ่ามือไว้บนภูเขาใกล้เคียงอีกลูกหนึ่ง
ที่จริงแล้ว ตำแหน่งที่เมืองล่องนภาหยุดลงก็พิเศษทีเดียว มันถูกห้อมล้อมไปด้วยภูเขาสูงมากมายและบางยอดเขากระทั่งสูงจนทะลุก้อนเมฆ เพราะเขตแดนเสริมนี้ไม่เคยถูกสำรวจโดยเผ่าพันธุ์อัจฉริยะมาก่อน มันจึงไม่มีชื่อเสียงเรียงนาม แต่ถึงอย่างนั้น มันก็มีขนาดใหญ่พอ ๆ กับทั้งอาณาจักรอย่างแน่นอน ยอดเขาที่สูงที่สุดนั้นมีความสูงถึงแสนฉื่อ และภูเขาเหล่านั้นก็มีความยิ่งใหญ่เป็นของตัวเอง
ซูเฉินไม่อาจมอบพลังจิตให้แก่ภูเขาเหล่านั้นได้ แต่เขาสามารถเคลื่อนไหวภูเขาที่สูงเพียงไม่กี่พันฉื่อได้
ด้วยการโจมตีฝ่ามือหลายครั้งอย่างรวดเร็ว ภูเขาทั้งสามลูกก็ได้รับชีวิตและเริ่มขยับเข้าไปหาอิ๋นซา
อิ๋นซาส่งมือหมอกของมันออกมาอีกครั้งหนึ่งอย่างไม่แยแส
แม้ว่ายักษ์ภูเขาทั้งสามจะแข็งแกร่งไม่น้อย พวกมันก็เป็นเพียงหน่วยพลีชีพต่ออิ๋นซาเท่านั้น
ความดูถูกเหยียดหยามที่อิ๋นซามีต่อยักษ์ภูเขาเหล่านี้นั้นชัดเจนอย่างถึงที่สุด
ความภาคภูมิใจของมันในการอยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารได้เผยแพร่ออกมาอย่างชัดเจนแม้ว่ามันจะพูดไม่ได้
ซูเฉินหัวเราะร่วน “ข้ารู้ว่าเจ้า 3 ตัวนี้ไม่พอที่จะล้มเจ้าหรอก แต่ข้าไม่ได้คาดหวังให้พวกมันสร้าวความเสียหายตั้งแต่แรกอยู่แล้ว พวกมันเป็นแค่โล่เท่านั้น ส่วนข้าคือหอก!”
ทันใดนั้นเอง ร่างของซูเฉินก็กะพริบไปข้างหน้า ขณะที่เขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งเหนือกลุ่มหมอกควันโดยเงื้อดาบไร้แสงสูงขึ้นไปบนฟ้า
เมื่อดาบไร้แสงฟาดฟันลงมา แสงเรืองรองสีขาวก็อาบไปทั่วทั้งดาบ การโจมตีนี้ถูกเสริมด้วยพลังอมตะนั่นเอง
“เจ้าไม่โดนการโจมตีกายภาพหรอ งั้นเจอนี่หน่อยเป็นไง”
ฉึก!
คมดาบเจาะทะลวงอิ๋นซาเข้าไปราวกับมีดร้อน ๆ บนก้อนเนย
“ฟ่อ!”
อิ๋นซาส่งเสียงร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดเป็นครั้งแรกตั้งแต่เริ่มการต่อสู้มา