ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 45 การท้าดวลเดี่ยว (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 45 การท้าดวลเดี่ยว (2)

อิ๋นซาได้รับบาดเจ็บแสนสาหัส

มันไม่เคยรู้สึกเจ็บปวดขนาดนี้มากว่าหลายพันปีแล้ว

พลังอมตะที่อาบการโจมตีดาบนั้นก้าวข้ามร่างที่ไร้ตัวตนและเจาะทะลวงเข้าไปยังจิตใจของมันแทน ก่อให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวงแก่ร่างกายที่อ่อนแอเป็นทุนเดิมอยู่แล้วของมัน

หลังจากที่ปล่อยเสียงขู่ฟ่อออกมาด้วยความเจ็บปวดตามสัญชาตญาณ พลังกัดกร่อนในหมอกของอิ๋นซาก็เพิ่มขึ้นหลายเท่าขณะที่มันพุ่งไปข้างหน้าด้วยมุ่งมั่นครั้งใหม่

แต่ซูเฉินก็ไม่ได้อยู่รอดูดอกไม้ไฟ ทันทีที่เขารู้สึกว่าการโจมตีแตะโดนศัตรูแล้ว เขาก็หันหลังหนีอีกครั้ง ในตอนนี้เขาได้เคลื่อนกายออกมาไกลกว่าหลายหมื่นฉื่อแล้ว ทำให้ซูเฉินหลบอยู่เบื้องหลังแนวกำแพงยักษ์ภูเขาอย่างปลอดภัย

ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!

อิ๋นซากลายร่างเป็นฝ่ามือภาพลวงตามากมายที่พยายามจะขยี้ซูเฉินให้กลายเป็นเนื้อบด

แล้วอิ๋นซาก็พุ่งตรงออกไปข้างหน้าด้วยร่างกายหลักของมัน

ขณะเดียวกันนั้น หมอกรอบร่างกายของมันก็ควบแน่นขึ้นทำให้อิ๋นซาหดตัวเล็กลงมหาศาลซึ่งเพิ่มความคล่องแคล่วว่องไวของมันขึ้นมากมาย

“ในที่สุดข้าก็เรียกความสนใจเจ้าได้แล้วหรือ?” ซูเฉินพูดพร้อมหัวเราะขณะที่ถอยหนีต่อไปด้วยความเร็วสูงสุด

แต่แม้ว่าเขาจะรวดเร็ว อิ๋นซานั้นเร็วยิ่งกว่า

อย่างไรแล้วนักลอบสังหารก็ไม่ได้เชื่องช้า

และอิ๋นซาก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

มันมี 2 วิธีหลักในการเคลื่อนย้ายร่างกาย วิธีแรกคือมันสามารถเคลื่อนกายไปที่ใดก็ได้ภายในกลุ่มหมอกรอบกายมัน

เมื่อหมอกแผ่ขจายออกไป ร่างหลักของอิ๋นซาก็จะสามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างอิสระภายในหมอกควันนั้น ทำให้มันถูกระบุตัวได้ยากจนน่าเหลือเชื่อ

ความปราดเปรียวของมันเรียกได้ว่าไร้เทียมทานเลยทีเดียว

หากมันต้องการที่จะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วภายนอกระยะของกลุ่มหมอก มันก็จะใช้อีกวิธีการหนึ่ง

มันหอน!

ร่างกายหลักอ้าปากออกกว้างขณะที่มันปลดปล่อยคลื่นเสียงไร้รูปร่างออกมาข้างหน้า

คลื่นเสียงเหล่านี้ไม่สร้างความเสียหาย แต่พวกมันสามารถเคลื่อนย้ายไปได้ไกลอย่างถึงที่สุด

และไม่ว่าคลื่นเสียงนั้นจะเดินทางไปที่ใด อิ๋นซาก็สามารถเคลื่อนกายไปยังตำแหน่งนั้นได้เช่นกัน

“อ๊า!”

เสียงกรีดร้องน่าสยดสยองของอิ๋นซาไล่ตามซูเฉินมาในไม่ช้า ชั่วพริบตาต่อมาอิ๋นซาก็ปรากฏตัวขึ้นข้างบนซูเฉินได้อย่างเหมาะเจาะก่อนจะพ่นกลุ่มหมอกควันกัดกร่อนคลุมตัวชายหนุ่ม

“เฮงซวย!” ซูเฉินก่นด่าขณะที่รีบเคลื่อนกายออกไปจากหมอกร้าย

แต่ในเวลาเดียวกันนั้นเอง อิ๋นซาก็กรีดร้องอีกครั้ง แล้วคลื่นเสียงก็พวยพุ่งออกมาอีกครั้งหนึ่ง ตามมาด้วยกลุ่มหมอกยักษ์อย่างใกล้ชิด

ไม่มีสิ่งใดที่ซูเฉินทำได้นอกจากหลบหนีต่อไป แม้ว่าอิ๋นซาจะปฏิเสธหัวแข็งที่จะยอมละทิ้งเหยื่อของมันไป

เหตุการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้น ก้อนเมฆที่ดูเหมือนจะเล่นแมวไล่จับหนูอยู่กับมนุษย์ แวบไปแวบมาพร้อมเสียงที่เห่าหอนไม่คุ้นหู

ไม่นานต่อมา ซูเฉินก็ไม่มีเวลาให้สร้างยักษ์ภูเขาเพิ่มอีกต่อไป ทั้งหมดที่เขาทำได้คือหลบหนี เช่นเดียวกันกับเขา อิ๋นซาไม่มีเวลาปล่อยการโจมตีอีกต่อไปหลังจากที่เคลื่อนกายไปหาซูเฉิน ดังนั้นแล้ว พวกเขาไม่ได้ทำสิ่งใดไปมากกว่าวิ่งหนีและไล่จับ

ทั้งสองฝ่ายต่างก็พยายามอย่างสุดฝีมือ จึงไม่มีฝ่ายใดมีข้อได้เปรียบสำคัญแม้แต่น้อย

อิ๋นซาแข็งแกร่งกว่าซูเฉินอย่างเห็นได้ชัด

แต่ในเชิงของความคล่องแคล่วล้วน ๆ แล้ว กระทั่งอิ๋นซาผู้สามารถเดินทางได้ด้วยความเร็วเหนือเมฆก็ไม่อาจตามซูเฉินได้ทัน

พวกเขาวนรอบเทือกเขาอยู่หลายครั้ง ซึ่งล้วนแล้วแต่ทำให้ทั้งสองต้องสูญเสียพลังงานสำรองไปเป็นอันมาก ดูเหมือนว่าทางตันนี้จะไม่พังทลายลงจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะหมดแรงไป

“เจ้ามันน่ารำคาญจริง ๆ!” ซูเฉินพึมพำขณะที่รู้สึกได้ถึงอาการปวดหัวที่ผุดขึ้นมา “โชคยังดีที่ข้าเตรียมพร้อมมาแล้ว”

ซูเฉินดึงเอากล่องสื่อสารออกมาและแผดเสียงลั่น “ชิงลั่ว เจ้าไปค้นหาว่าอสูรกายพวกนั้นซ่อนตัวอยู่ที่ใดได้ไหม? ข้าจำเป็นต้องรู้ตำแหน่งของพวกมันโดยเร็วที่สุด”

“เข้าใจแล้ว!” กู่ชิงลั่วตอบกลับขณะที่นางรีบถอนตัวออกจากสนามรบทันที

ในเวลาเดียวกัน ร่างของซูเฉินก็กะพริบและหายวับไปอีกครั้ง

แต่คราวนี้ เขาหายไปจากทัศนวิสัยของอิ๋นซาโดยสมบูรณ์

อิ๋นซามองไปรอบ ๆ ด้วยความประหลาดใจ แต่มันก็พบว่าซูเฉินหายไปจากสายตาของมันจริง ๆ

ที่เมืองล่องนภา

ศึกสงครามระหว่างมนุษย์และเทพอสูรยังคงดำเนินต่อไป

แต่กังเหยียนก็ไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้นี้ เขากลับนั่งอยู่บนกำแพงเมืองและมองดูการปะทะที่เกิดขึ้นอย่างเงียบเชียบ

ข้างกายเขาคือโลงศพผลึกใสแจ๋วที่มีซูเฉินนอนอยู่ข้างใน

อันที่จริงแล้วนี่คือหนึ่งในร่างแยกโลหิตของซูเฉิน

หลังจากที่ร่างแยกของซูเฉินถูกสังหารในจังหวะวิกฤตระหว่างการเดินทางเข้าไปในหุบเหวนรก ซูเฉินก็ได้สร้างโลงศพผลึกป้องกันนี้เพื่อเก็บรักษาร่างแยกโลหิตไว้ มีเพียงกังเหยียนเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เฝ้าอารักขามัน จึงไม่มีผู้ใดแม้แต่จะมีโอกาสให้ลอบโจมตีเสียด้วยซ้ำ

ซูเฉินภายในโลงศพนั้นลืมตาขึ้นและก้าวออกมาจากโลงในทันใด

กังเหยียนเอ่ยทักทาย “ยินดีต้อนรับกลับมา นายท่าน”

“อืม” เมื่อซูเฉินก้าวออกมาจากโลงศพ เขาก็สะบัดหยดเลือดลงไปบนพื้นเล็กน้อยให้เกิดขึ้นเป็นร่างแยกใหม่อีกจำนวนหนึ่ง หนึ่งในพวกมันเดินกลับเข้าไปในโลงศพขณะที่ตัวอื่น ๆ มุ่งหน้าไปยังวังแสงตะวันชั่วกาลโดยกระจายตัวออกไปในทิศทางที่แตกต่างกัน

ซูเฉินเองก็รีบมุ่งหน้าไปยังสถานที่ทำงานวิจัยของตนอย่างรวดเร็ว “ข้าเล่นไล่จับกับอิ๋นซาสนุกสนานทีเดียว แต่มันก็รวดเร็วจนน่าเหลือเชื่อ ข้าคิดว่ามันจะกลับมาในอีกไม่ช้า มาช่วยข้าหน่อยสิ เรามีเวลาไม่มากแล้ว”

ขณะที่พูด ซูเฉินก็เริ่มจัดเตรียมโต๊ะทำงานตรงหน้า

“เรากำลังสกัดอะไรหรือ?” กังเหยียนสอบถามขณะที่เดินเข้าไปใกล้

“ยาฟื้นฟูจิต”

กังเหยียนตะลึงงัน “พวกมันเป็นผลผลิตที่ล้มเหลวไม่ใช่หรือ?”

“ข้าต้องการให้มันล้มเหลว เร็วเข้า เราจะต้องใช้มากกว่า 1 หรือ 2 ชุดเพื่อให้ส่งผลต่ออสูรตัวใหญ่ขนาดนั้น เราจะสกัดมัน 10 ชุด นำหญ้ามอมเมาใจมาให้ข้าด้วย”

“เข้าใจแล้ว!” กังเหยียนวิ่งออกมาไปตามหาวัสดุที่จำเป็นทันที

อิ๋นซาขู่คำรามด้วยความเกรี้ยวกราดเมื่อมันระบุตำแหน่งซูเฉินล้มเหลว มันจึงเริ่มมุ่งหน้ากลับไปยังเมืองล่องนภา

แน่นอนว่ามันไม่ได้ใช้วิธีการเคลื่อนกายด้วยคลื่นเสียง

แม้ว่าเวลาจะสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ซูเฉินก็สกัดสมุนไพรเบื้องหน้าเขาอย่างใจเย็นและมั่นคง

ท่าทางใจเย็นและจริงจังบนใบหน้าของชายหนุ่มส่องประกายไปด้วยเปลวไฟเต้นรำที่ให้ความร้อนแก่หม้อต้มยา

แล้วเขาก็สร้างผนึกขึ้นด้วยมือทั้งสองและใส่พวกมันลงในหม้อ ทำให้เกิดเสียงดังราวกับข้าวโพดระเบิด

กังเหยียนเอียงตัวเข้าไปและตั้งใจฟังก่อนที่จะเอ่ยขึ้น “พวกมันเสร็จสมบูรณ์แล้ว”

ซูเฉินเปิดฝาหม้อ เผยให้เห็นยาหลายร้อยเม็ดเรียงรายอยู่ข้างใน

ในตอนนั้นเอง ร่างแยกของซูเฉินที่ยืนอยู่ข้างนอกวังก็พบร่างของอิ๋นซาอยู่ที่ขอบฟ้าไกลออกไป

ซูเฉินหยิบยาเหล่านั้นและกำลังจะจากไปเมื่อเสียงหนึ่งดังออกมาจากกล่องสื่อสารของตัวเอง “ซูเฉิน!”

กู่ชิงลั่วนั่นเอง

“ชิงลั่ว?”

“ข้าพบสถานที่ที่อสูรกายเหล่านั้นซ่อนตัวอยู่แล้ว”

เมื่อได้ยินข่าวดีนี้ ดวงตาของซูเฉินก็เปล่งประกาย “ที่ไหนหรือ?”

“หุบเขาที่อยู่ห่างไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ 600 ลี้จากที่นี่”

“เข้าใจแล้ว”

ร่างของซูเฉินกะพริบอีกครั้งก่อนที่เขาจะหายไปพร้อมกับยา

เขาแทบจะเคลื่อนกายด้วยร่างแยกไม่สำเร็จเพราะอิ๋นซาที่เดินทางมาถึงยังตำแหน่งนี้พอดี

“ข้าคิดถึงเจ้านิดหน่อยนะ ทำไมเราไม่มาเล่นเกมก่อนหน้านี้กันต่อล่ะ?” ซูเฉินกลับหลังหันแล้วมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือทันที

“ฟ่อ!”

อิ๋นซาส่งเสียงขู่ออกมาอย่างดุร้ายและออกไล่ตามอีกครั้ง

เกมแมวไล่จับหนูเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง

คราวนี้ ซูเฉินไม่เพียงวิ่งไปรอบ ๆ เป็นวงกลม เขากลับมุ่งหน้าไปยังตำแหน่งที่กู่ชิงลั่วชี้แจงมาโดยตรง

อสูรกายกลุ่มใหญ่รอคอยอยู่ที่นั่น

พวกมันกำลังรอโอกาสในการโจมตีที่ดีที่สุด โดยเฉพาะเมื่อเทพอสูรทั้งสามทำลายเมืองล่องนภาสำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว

ไม่แม้กระทั่งในความฝันที่ประหลาดที่สุด พวกมันไม่คาดคิดเลยว่าซูเฉินจะปรากฏตัวขึ้นก่อนที่พวกมันจะมีโอกาสได้โจมตีเสียอีก

ทันทีที่เขามาถึง ซูเฉินก็พบอสัตว์อสูรมากมายมหาศาลอยู่เบื้องล่างในตำแหน่งที่กู่ชิงลั่วบอกอย่างแม่นยำ

เขาหัวเราะร่วนและพุ่งตัวเข้าไปในหุบเขา

“นั่นใครกัน?” อสูรกายบางตัวที่สายตาดีกว่าพบเห็นร่างคล้ายมนุษย์ขนาดจิ๋วที่พุ่งเข้ามาในทิศทางของพวกตน และตามหลังของมันมาก็คือกลุ่มหมอกขนาดใหญ่

“นั่น…” เหล่าอสูรกายยังคงพยายามครุ่นคิดว่าพวกมันกำลังดูสิ่งใด แต่ขู่ฉาก็ตื่นตระหนกในทันทีเมื่อเขาสังเกตเห็นทั้งสอง “ท่าไม่ดีแล้ว!”

แต่ซูเฉินก็มาถึงตัวพวกเขาแล้ว

ในชั่วพริบตานั้นเอง คลื่นเสียงจากเสียงขู่ของอิ๋นซาก็มาถึงในบริเวณหุบเขาด้วยเช่นกัน

คลื่นเสียงนั้นหนาแน่นจนอสูรกายทั้งหมดรอบข้างซูเฉินต่างก็กระเด็นออกไปราวกับว่าพวกมันถูกกระแทกเข้าด้วยการโจมตีที่ส่งผลเป็นพื้นที่โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ซูเฉิน

แน่นอนว่าความน่ากลัวที่แท้จริงยังไม่ปรากฏให้เห็นเสียด้วยซ้ำ

ทันทีที่อิ๋นซาปรากฏกายขึ้น หมอกหนาแน่นก็เข้าปกคลุมหุบเขาแห่งนั้น

หมอกกัดกร่อนทำให้อสูรกายทั้งหลายส่งเสียงคำรามและเห่าหอนด้วยความเจ็บปวดในทันที

โชคยังดีที่ซูเฉินจากหุบเขานั้นมาได้ทันเวลา แต่ก็ยังถูกอิ๋นซาตามติดขึ้นมาอยู่ดี กลุ่มหมอกหนาสลายหายไปจากหุบเขาอย่างรวดเร็ว

เพราะหมอกนั้นล่องลอยอยู่ที่นั่นไม่นานนัก อสูรกายส่วนมากจึงได้รับบาดเจ็บจากฤทธิ์กัดกร่อนของมันเพียงเล็กน้อย บางตัวที่อ่อนแอกว่าได้รับบาดแผลบ้างแต่ก็ไม่สาหัส

เหล่าสัตว์อสูรต่างถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แต่แล้วพวกมันก็สังเกตเห็นว่าซูเฉินกลับหลังหันและมุ่งหน้ากลับมายังหุบเขาอีกครั้ง

ด้วยคลื่นเสียงที่ตามหลังมาติด ๆ

เหตุการณ์ก่อนหน้านี้เกิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง ซูเฉินปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางเหล่าสัตว์อสูรโดยมีอิ๋นซาติดตามมาอย่างรวดเร็ว หมอกกัดกร่อนอาบไปทั่วทั้งพื้นที่และเหล่าอสูรอีกครั้ง กัดเซาะเลือดเนื้อของพวกมันก่อนที่จะเริ่มเคลื่อนที่อีกครั้ง

ไม่กี่อึดใจต่อมา เหตุการณ์นี้ก็เกิดขึ้นอีก

ซูเฉินกระโดดเข้าและออกหุบเขาราวกับเด็กน้อยวิ่งเล่น พริบตาหนึ่งเขาอยู่ข้างใน พริบตาต่อมาเขาอยู่ข้างนอก พริบตาต่อไปเขาอยู่ข้างใน และก็เป็นเช่นนั้นต่อไปเรื่อย ๆ

สิ่งเดียวกันเกิดขึ้นกับอิ๋นซาและหมอกกัดกร่อนที่ห้อมล้อมร่างของมัน

สัตว์อสูรทั้งหลายรู้ตัวแล้วว่าพวกมันกำลังเผชิญกับปัญหา

พลังกัดกร่อนในหมอกของอิ๋นซานั้นทรงพลังเป็นอย่างมาก และเมื่อมันเข้ากัดกินภายในที่หลบซ่อนของเหล่าอสูรครั้งแล้วครั้งเล่า พวกมันก็ต้องทุกข์ทนกับความเจ็บปวดและทรมานเหลือทน

พวกมันต่างเริ่มวิ่งหนีออกจากหุบเขาด้วยความสิ้นหวังเพราะไม่สามารถอดทนต่อความเจ็บปวดได้อีกต่อไป

โชคร้ายสำหรับพวกมันที่ซูเฉินยังไล่ตามไปทุกหนแห่ง อสูรกายที่อ่อนแอกว่าจำนวนมากได้ตายไปเช่นนี้ก่อนที่จะมีโอกาสได้ต่อสู้กับมนุษย์เสียอีก

“ผู้อาวุโส ได้โปรดยับยั้งหมอกของท่านสักหน่อยเถิด!” ขู่ฉาร้องออกมาด้วยความขวัญผวา

มีเพียงเสียงของเขาเท่านั้นที่สามารถเรียกคำตอบกลับมาจากอิ๋นซาได้

อิ๋นซาส่งเสียงร้องยินยอม แล้วรัศมีของหมอกกัดกร่อนก็ลดลงอย่างมหาศาล ท่าทีโกรธเกรี้ยวและแค้นเคืองของมันยังมองเห็นจาง ๆ ผ่านกลุ่มหมอก

เมื่อซูเฉินเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ เขาก็กระจายหยดเลือดออกไปอีกเล็กน้อยซึ่งกลายเป็นร่างแยกโลหิตจำนวนหนึ่ง

ร่างแยกเหล่านี้มีหน้าที่เพียงแค่นำยาฟื้นฟูจิตส่วนหนึ่งไปและใส่พวกมันลงไปในลำคอ

ยา 10 ชุดหมายความว่ามีพวกมันอยู่ไม่น้อยทีเดียว ทำให้ร่างแยกเหล่านี้สามารถกลืนเข้าไปได้จำนวนมาก

ร่างแยกในตอนนี้ที่อัดแน่นไปด้วยยาฟื้นฟูจิตต่างพุ่งตรงเข้าไปหาอิ๋นซา

ความเกลียดชังของอิ๋นซาต่อซูเฉินได้ดำเนินมาจนถึงจุดที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุด แม้จะเป็นเพียงร่างแยก อิ๋นซาก็ยังฟาดพวกมันด้วยมือหมอกของตนอย่างรุนแรง แต่ตอนที่มันกำลังจะทำลายหนึ่งในร่างแยกนั่นเอง ซูเฉินก็อาบมันด้วยการโจมตีพลังอมตะเพื่อป้องกันไม่ให้อิ๋นซาบีบมันจนถึงแก่ความตาย

อิ๋นซาเปิดปากออกกว้างและงับเอาร่างแยกร่างหนึ่งเข้าไปเป็นการตอบโต้

“ต้องอย่างนี้สิ” ซูเฉินส่งเสียงหัวเราะด้วยความรื่นเริงใจออกมา

ขู่ฉาดูจะสัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งผิดแปลกไปและตะโกนออกมาทันที “รีบคายพวกมันออกมา! อย่ากินเข้าไปนะท่าน!”

แต่คราวนี้ อิ๋นซาไม่สนใจเขา

ใบหน้าบิดเบี้ยวของมันเริ่มเรืองแสงสีแดงสด และหมอกที่อิ๋นซายับยั้งไว้ก่อนหน้านี้ก็พวยพุ่งออกมาอีกครั้ง ครั้งนี้มันแผ่ขยายอาณาเขตออกไปอีกมากกว่า 10 เท่า และพื้นที่ส่งผลของมันก็ครอบคลุมขู่ฉา ซูเฉิน และอสูรตัวอื่น ๆ โดยสมบูรณ์

ซูเฉินไม่ได้พยายามที่จะเคลื่อนกายหนีไปในคราวนี้ เขากลับปล่อยเกราะป้องกันออกมาและตรวจสอบการกระทำต่อของอิ๋นซาอย่างใจเย็น

ใบหน้าบิดเบี้ยวเริ่มปล่อยรัศมีที่ทรงพลังจนน่าตกใจออกมาขณะที่มันคำรามลั่นและหวดฟาดไม่หยุดหย่อน ความกระหายเลือดของมันกำลังพลุ่งพล่าน

ยาฟื้นฟูจิตเหล่านี้ถูกพัฒนาขึ้นโดยซูเฉินที่พยายามจะพัฒนาจิตใจของผู้ฝึกตนให้แข็งแกร่งขึ้น แม้ว่าโอสถปลุกวิญญาณจะสมารถให้ผลลัพธ์เช่นนั้นได้อยู่แล้ว พวกมันก็ราคาสูงเกินกว่าจะผลิตได้ หนึ่งในเป้าหมายย่อยของซูเฉินคือการพัฒนายาเสริมพลังจิตที่ถูกลงมาเสมอ ซึ่งจะทำให้มนุษย์ทุกคนเพิ่มพูนความแข็งแกร่งของจิตใจได้ในราคาที่สมเหตุสมผล มันยังจะทำให้ผู้คนจำนวนมากขึ้นสามารถใช้เครื่องมือเปลี่ยนแปลงจิตเพื่อก้าวไปสู่ด่านมหาราชันได้อีกด้วย

พูดอีกอย่างคือ ยาฟื้นฟูจิตสามารถกลายเป็นส่วนประกอบสำคัญในเรื่องของวิชาบ่มเพาะไร้สายเลือดได้นั่นเอง

โชคไม่ดีนักที่แม้ว่าซูเฉินจะสามาถพัฒนาตัวยาได้ มันก็มีผลข้างเคียงที่อันตรายร้ายแรง ผู้ใช้ยาจะสูญเสียหลักเหตุผล และแนวคิดของพวกเขาจะโกลาหลอย่างถึงที่สุด

ยาฟื้นฟูจิตอาจไม่ส่งผลมากนักในเทพอสูรตัวอื่น ๆ แต่ซูเฉินก็สามารถระบุได้ว่าการป้องกันจิตของอิ๋นซานั้นอ่อนแอเหลือเชื่อในการแลกเปลี่ยนหมัดกันก่อนหน้านี้ นี่คือเหตุผลที่เขามั่นใจยิ่งนักว่ายาเหล่านี้จะส่งผลต่อมัน แต่ถึงอย่างนั้น ซูเฉินก็ยังต้องทำให้มั่นใจว่าจะสกัดยานี้ขึ้นมา 10 ชุด

ยาฟื้นฟูจิต 10 ชุดนั้นยิ่งกว่าเพียงพอที่ส่งให้เทพอสูรตัวนี้บ้าคลั่งอย่างไม่อาจควบคุมได้

ณ จุดนี้ มันไม่อาจแยกแยะระหว่างมิตรและศัตรูได้อีกต่อไป ความกระหายเลือดของมันถูกปลดปล่อยออกมาจนหมดสิ้น และสิ่งเดียวที่มันคิดได้คือการฆ่าฟันเท่านั้น

แต่ซูเฉินก็คล่องแคล่วและรวดเร็วเกินกว่าที่มันจะจับและสังหารได้

แต่อสูรกายรอบตัวนั้นไม่เร็วเท่า พวกมันคือเป้าหมายที่สมบูรณ์แบบในการเป็นที่ระบายความกระหายเลือดของมัน

การสังหารอันนองเลือดบังเกิดขึ้นในทันใด