ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 46 การท้าดวลเดี่ยว (3)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 46 การท้าดวลเดี่ยว (3)

เมื่ออิ๋นซาเสียสติปัญญาไป มันก็เริ่มโจมตีสัตว์อสูรรอบข้างอย่างไร้สติ

หมอกกัดกร่อนยังขยายออกไปไม่หยุด กลืนกินอสูรกายไปเรื่อย แม้พวกมันจะร่วงลงไปทีละตัว แต่ร่างจริงของอิ๋นซายังเคลื่อนกายไปเรื่อย ตามล่าฆ่าให้สาแก่ใจ

ที่สูงขึ้นเห็นจะมีแต่อัตราการตายของพวกสัตว์อสูร

อสูรกายคงถึงคราวเคราะห์โดยแท้ การลอบโจมตีที่พวกมันวางแผนมาอย่างดีถูกโต้กลับ ตอนนี้กลับถูกผู้อาวุโสฝั่งตนเองฆ่าสังหาร อีกทั้งซูเฉินยังใช้พวกมันเป็นเครื่องล่อใจอิ๋นซาด้วย

ซูเฉินยังไม่แกร่งพอจะสู้กับเทพอสูรตัวคนเดียวได้

แต่หากมีทหารเดนตายใช้ไม่หมดเช่นนี้ ซูเฉินก็จะมีจังหวะหายใจหายคอ คอยโจมตีได้ตามใจอยาก

พลังอมตะที่เขามีสำรองสูงกว่าเมื่อก่อนมากเช่นกัน ทำให้ผสานพลังอมตะลงในการโจมตีเพื่อใช้ในการต่อสู้ที่กินเวลานานได้ แม้ซูเฉินจะไม่รู้ว่ามันจะพอจัดการอิ๋นซาได้หรือไม่ แต่ก็มั่นใจว่าสามารถทำให้มันบาดเจ็บได้ไม่น้อยเช่นกัน

หากสู้ตัวต่อตัว ซูเฉินคงต้องหาโอกาสสักร้อยหนในการจัดการอิ๋นซา

การหาและใช้ทหารเดนตายจึงเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้เขาพลิกสถานการณ์ได้

เริ่มแรกซูเฉินใช้กฎแห่งพลังผนึกเซียนสร้างขุนเขายักษ์เป็นทหารเดนตาย และตอนนี้เขากำลังใช้พวกอสูรกาย

ระหว่างที่อิ๋นซากำลังวุ่นอยู่กับอสูรกาย ซูเฉินก็กระโจนเข้าออกเขตหมอกกัดกร่อนไม่หยุด

ซูเฉินเองก็ไม่โลภ ทุกครั้งที่เข้ามาก็จะโจมตีเพียงแค่ครั้งเดียวก่อนจะหันหลังกลับ ลักษณ์เจ็ดสายเลือดสามารถปกป้องเขาจากหมอกกรดนี่ในระยะเวลาสั้น ๆ ได้

หลังกระโจนเข้าหมอกคราวหนึ่ง เขาก็จะคอยรออยู่รอบนอก เติมเต็มพลังสูญ ก่อนจะกระโจนเข้าไปอีก โดยมีจังหวะอยู่ในการเคลื่อนไหว ช่วยทำให้เพิ่มระยะเวลาในการต่อสู้ให้ได้สูงสุด

หรือก็คือซูเฉินเป็นวัวตัวผู้ที่ออกแรงไถอย่างขันแข็ง สุดท้ายผืนดินหรือก็คืออิ๋นซาก็จะถูกไถพรวนร่วนจนหมด

เจ้าไถหลังข้าเป็นรอยไม่รู้กี่ครั้ง แต่ข้ากลับแตะเจ้าไม่ได้สักหนเลยหรือ?

รูปแบบการต่อสู้เช่นนี้ดูยียวนไม่ใช่เล่น

แน่ว่าอิ๋นซาเองกำลังอยู่ในระยะคลั่ง สังหารทุกอย่างตรงหน้า แม้จะคร่าไปแล้วหลายชีวิต แต่แรงสังหารต่อซูเฉินก็ยังมิเลือนสักนิด

หรือให้ถูกก็คือแรงกระหายสังหารคร่าทุกสิ่งอย่างยังคงแรงกล้าอยู่

“ฟ่อออ!!!”

แต่เสียงกรีดร้องโหยหวนอีกหนึ่งก็ดังทั่วท้องฟ้า

เงามายาก้าวเท้าออกจากหมอกราวกับเป็นผีร้ายตนหนึ่ง ในมือคือดาบมืดที่สร้างขึ้นจากหมอกกลั่นรวมกัน ฉับพลันพุ่งใส่ซูเฉินก่อนเขาได้ยินเสียงเสียอีก

ฟ้าว!

มีดดำง้างเข้ามา

ซูเฉินเงื้อมีดไร้แสงเพื่อปัดการโจมตี ทว่าริ้วหมอกทมิฬกลับหลบมันได้และซัดเข้าซูเฉินโดยตรง เช่นเดียวกับอิ๋นซา มีดเล่มนี้เหมือนสามารถเปลี่ยนเป็นไร้ตัวตนและมีตัวตนได้ตามใจชอบ

ซูเฉินรีบถอย ไม่คิดเสียพลังสูญอันล้ำค่าเพื่อปัดป้องการโจมตีที่ตัวเขาไม่เข้าใจเต็มที่ ทว่าการตอบสนองช้าไปนิด ริ้วจึงกรีดผ่านอกเขาไป

ซู่!

หมอกขาวพุ่งออกจากแผล เกิดเสียงฉ่าดังขึ้นดูรุนแรง

ซูเฉินก้มหน้าลงมอง จากนั้นออกความเห็นอย่างสบาย ๆ “ทรงพลังไม่เบา”

บาดแผลเมื่อครู่ไม่ใช่ว่าเล็กน้อย ชายหนุ่มตกใจเมื่อพบว่าแค่โคจรพลังในร่างไม่สามารถฟื้นฟูบาดแผลได้ ต้องใช้พลังอมตะถึงจะเริ่มฟื้นคืน

เจ้า ‘ภูต’ กระโจนเข้ามาอีก ครั้งนี้ซูเฉินไม่คิดใช้มีดไร้แสงตอกกลับ แต่ซัดเพลิงออกไปปะทะร่างคล้ายวิญญาณนั่นแทน

เปลวเพลิงกลืนทุกสิ่งอย่าง แต่น่าแปลกที่ไม่สามารถทำอะไรผีตนนั้นได้ มันพุ่งผ่านทะเลเพลิงมาโดยง่ายก่อนจะซัดการโจมตีใส่ซูเฉินต่อ

จังหวะที่ซูเฉินกำลังจะเข้าสกัด เขาก็เสียวสันหลังวาบ เคลื่อนกายจากไปในทันใด

มีดเล่มหนึ่งจ้วงเข้ามายังจุดที่เขาเคยอยู่เมื่อครู่ ผีอีกตนปรากฏขึ้นด้านหลังโดยที่เขาไม่ทันรู้ตัว

ทันใดนั้นซูเฉินก็รู้ว่าพวกผีมันล้อมเขาไว้ แต่ละตัวปล่อยแรงสังหารหนาแน่นต่อเขาออกมา

มีตัวหนึ่งที่เป็นตัวหัวหน้า มันสวมชุดเกราะรบดูคร่ำครึ นั่งอยู่บนม้าผี เปลวเพลิงสีน้ำเงินสองดวงแผดเผาอยู่ในเบ้าตา และธงศึกรูปสามเหลี่ยมขาดรุ่งริ่งที่มันถืออยู่ข้างหลังก็ปล่อยกลิ่นอายน่าสยดสยองและมืดมน แผ่กระจายออกไปหลายพันลี้

ในขณะที่ธงอันน่าขนลุกไหวตามสายลมพัด พวกวิญญาณก็รุดเข้ามาพร้อมกัน แต่ละตัวเร็วดั่งสายฟ้า พริบตาเดียวก็อยู่ตรงหน้าซูเฉินแล้ว

ชายหนุ่มไม่รีรอกระแทกหมัดใส่หน้าผากวิญญาณตัวหนึ่งจนหัวมันกระเด็นหลุด มันเพียงร่างสลายหายไปเป็นหมอก ก่อนจะเปลี่ยนรูปใหม่แล้วกัดมือเขาไว้อย่างทันท่วงที

มือเขาเปล่งแสงสีขาวออกมา เกิดสายฟ้าฟาดโค้งผ่านฟากฟ้า ก่อนจะซัดเปรี้ยงลงมาใส่พวกวิญญาณรอบกาย ทันทีที่แตะถูกตัววิญญาณ พวกมันก็ระเบิดกลายเป็นหมอก

“ใช้สายฟ้ายังดีที่สุดสินะ” ซูเฉินพึมพำ

ฟ้าว ๆๆ!

ขณะที่ธงที่น่าขนลุกยังคงกวัดแกว่งอยู่บนฟ้า วิญญาณจำนวนมากยังคงรุดหน้าเข้าใส่เขาไม่หยุด

“คุกสายฟ้า!” ซูเฉินกำหมัดแน่น เกิดเป็นวงแหวนสายอสนีระเบิดออก ก่อนจะกลายเป็นใยสายฟ้าผสานตัวขึ้นตรงหน้าดั่งเครื่องป้องกัน

วิชาอาร์คาน่าขั้น 9 นามคุกสายฟ้า แท้จริงแล้วมีพลังเทียบวิชาอาร์คาน่าระดับตำนานเนื่องจากซูเฉินเชี่ยวชาญกฎแห่งพลังสายฟ้า แม้วิชาอาร์คาน่าระดับตำนานจะโค่นเทพอสูร แต่ก็ได้ผลกับพวกวิญญาณที่อิ๋นซาเรียกมาไม่น้อย

วิญญาณทั้งหลายที่ถาโถมใส่ซูเฉินถูกใยสายฟ้าระเบิดจนกลายเป็นผุยผง

วิญญาณชั่วร้ายเหล่านี้ยังไม่ใช่อุบายที่ทรงพลังที่สุด แต่ก็เป็นประโยชน์ไม่น้อยยามต้องการจับกระต่ายเจ้าเล่ห์เช่นซูเฉิน

กระนั้นพวกวิญญาณก็หมดประโยชน์เมื่อกระต่ายพลันแปลงเป็นเม่น

อิ๋นซาจึงหยุดเรียกพวกวิญญาณเมื่อเห็นการเคลื่อนไหวอีกฝ่าย แล้วแหงนหน้ากรีดเสียงร้องยาวออกมาแทน

“มันทำอะไรอีก?” ซูเฉินสงสัยอยู่บ้าง

เทพอสูรส่วนมากใช้พละกำลังอันแข็งแกร่งเหนือใครสู้เป็นหลัก แต่อิ๋นซาเป็นข้อยกเว้น มันมีกำลังจำกัด แต่แปลงกายได้ตามใจปรารถนา เร็วดั่งเสียง เรียกผีออกมาก็ยังได้ และตอนนี้เหมือนมันกำลังจะเผยอีกความสามารถออกมาแล้ว

สิ้นเสียงกรีดร้อง แสงเส้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า

แสงประหลาดนี้ดูเหมือนรอยแยกขนาดยักษ์ที่ตัดผ่านฟ้าทีเดียว

จากนั้นรอยแยกก็ค่อย ๆ ขยายออก ทำให้ดูเหมือนกับฟ้ากำลังจะถล่มลงมา

แต่เบื้องหลังรอยแยกกลับไม่เห็นอะไร ทว่าไม่รู้ว่าทำไมซูเฉินจึงรู้สึกว่าตนกำลังตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง

มีบางอย่างผิดปกติ!

ในตอนที่สัญชาตญาณกำลังส่งเสียงร้องลั่น เขาจึงรีบเคลื่อนกายออกมา

จุดที่เขายืนอยู่เมื่อครู่พลันถูกโจมตีด้วยรอยแยกพลังสูญนับครั้งไม่ถ้วน

คมดาบฝ่ามิติ!

อิ๋นซารู้วิชาคมดาบฝ่ามิติด้วยหรือ!?

ไม่ ไม่ใช่อิ๋นซา เป็นสิ่งอื่นต่างหาก!

ซูเฉินเปิดใช้เนตรมองโลกจุลภาค

จากนั้นถึงได้สังเกตเห็นว่าบนฟ้ามีร่างเงาหลายร่างล่องลอยอยู่ แม้จะมีเนตรมองโลกจุลภาคแต่ก็ยังแทบมองไม่เห็นพวกมันด้วยซ้ำ

มันคือร่างที่ไม่อาจมองเห็น

ความสามารถในการล่องหนของมันนับว่ามีถึงขั้นสุด สูงส่งเทียบเท่าระดับกฎแห่งพลังทีเดียว

หากไม่ได้มีเนตรนี้ ซูเฉินก็คงไม่รู้ว่ามีมันอยู่

อีกทั้งคมดาบฝ่ามิติของพวกมันยังแทบไม่ปล่อยพลังออกมาให้สัมผัสได้ล่วงหน้าด้วยซ้ำ

ดังนั้นซูเฉินจึงพลันนึกถึงบางอย่างขึ้นมา “มือสังหารทมิฬ”

มือสังหารทมิฬเป็นสิ่งมีชีวิตคล้ายภูตผีที่มาจากต่างแดน แน่นอนว่ามีร่างกายล่องหน ทำให้สามารถล่องลอยไปทั่วแดนได้ จับตัวได้ยาก สื่อสารได้ยากกว่า หมายความว่ามันจะยอมจำนนต่อเพียงผู้มีพลังสูงส่งเท่านั้น ซูเฉินเคยคิดว่ามันมีแต่ในตำนาน เพราะตอนที่มีตัวหนึ่งปรากฏขึ้นบนทวีปต้นกำเนิดก็ผ่านมาหลายพันปีแล้ว

เช่นนั้นอิ๋นซาก็อัญเชิญพวกนี้มาได้งั้นหรือ?

แต่ก็มีเหตุผลดีที่สิ่งมีชีวิตโบราณสามารถเรียกสิ่งมีชีวิตโบราณด้วยกันได้

ด้านที่น่ากลัวที่สุดของมือสังหารทมิฬคือการที่มันล่องหนได้ ดังนั้นทันทีที่สามารถเห็นพวกมัน อันตรายจึงลดลงมากทีเดียว

คมดาบฝ่ามิติสาดนับไม่ถ้วน ซัดเข้ายังจุดที่เขาปรากฏกายขึ้นใหม่อีกครา

ร่างซูเฉินกะพริบ ก่อนจะเคลื่อนกายหลบอย่างรวดเร็วพลางใช้ภูตลั่นแสงเพื่อเข้าประชิดตัวมือสังหารทมิฬตนหนึ่ง เพลิงเงาพุ่งออกจากฝ่ามือ ซัดเข้าหามือสังหารทมิฬทันที

แต่ขัดกับชื่อของมัน มือสังหารทมิฬกลับสร้างขึ้นด้วยแสง สามารถคุมการสะท้อนแสงได้ในระดับสูง ทำให้สามารถดูดซับแสงรอบกายทั้งหมดได้ ดังนั้นมันจึงล่องหนได้ ในเมื่อมันสร้างขึ้นจากแสง จึงไม่แปลกที่มันจะกลัวสสารต้นกำเนิดเงามากที่สุด

ทำให้เพลิงเงาของเขานับเป็นศัตรูตัวฉกาจของพวกมัน ทันทีที่เพลิงเงาพุ่งออกไป แสงทรงพลังก็เปล่งออกจากภายในร่างมือสังหารทมิฬ

ปรากฏการณ์นี้จะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในช่วงชีวิตของพวกมันเท่านั้น นั่นคือตอนกำลังจะตายนั่นเอง

ก่อนมันจะตาย แสงทั้งหลายที่มันดูดซับมาตลอดชีวิตจะระเบิดออกมากลายเป็นแสงสว่างจ้าบาดตา

พริบตาต่อมา ซูเฉินจึงถูกแสงจ้าโอบล้อมไว้ ราวกับมีตะวันอีกดวงปรากฏอย่างไรอย่างนั้น

ซูเฉินยังคงซัดการโจมตีใส่ศัตรูอย่างสงบ ใช้เพลิงเงาแผดเผามือสังหารทมิฬอีก 3 ตัวที่เหลือจนสิ้น

“ฟ่ออออ!”

เสียงขู่ครั้งที่สามดังลั่นขึ้น

ซูเฉินรู้ว่าอิ๋นซาลงมืออีกคราแล้ว

ร่างหลักของมันยังล่าสังหารอสูรกายไปเรื่อย แต่พร้อมกันนั้นมันก็พยายามใช้วิชาสังหารซูเฉินไปด้วยเช่นเดียวกัน

รอยแยกบนฟ้ายังไม่จาง แต่กลับขยายใหญ่ขึ้นจนจุดดำเริ่มปรากฏอยู่ที่ขอบ

จุดเหล่านี้มีขนาดเล็กและพร่ามัวหากมองจากระยะไกล กระนั้นก็ไม่อาจหลุดรอดสายตาซูเฉินไปได้

สามจุดนี้แท้จริงแล้วเป็นแมลงตัวเล็กกระจิริดนัก แต่ความดุร้ายกลับไม่น้อยเท่าขนาดตัว มันมีงวงยาวที่งอกออกจากหัว ทำให้ดูคล้ายกับยุง

ซูเฉินเห็นแล้วก็หัวเราะ “เจ้าเหมือนนักอัญเชิญมากกว่านักฆ่าเสียอีกนะ”

อิ๋นซาใช้วิชาอัญเชิญสามวิชาติดต่อกัน ซึ่งทำซูเฉินแปลกใจอยู่บ้าง

ดูเหมือนว่าการประเมินก่อนหน้านี้ของพวกเขาจะคลาดเคลื่อนไปเล็กน้อย อิ๋นซาดูน่าจะเป็นนักอัญเชิญเสียมากกว่า ทั้งยังอัญเชิญพวกสิ่งมีชีวิตโบราณมาทั้งนั้น

ซูเฉินไม่รู้ว่ามันเป็นแมลงอะไร แต่คงจะเป็นแมลงโบราณแน่ แค่เขารู้จักมือสังหารทมิฬก็นับว่าเก่งมากแล้ว

แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาไร้หนทางต่อกรกับพวกแมลงเช่นกัน

“แมลงหรือ? ข้าก็มีเหมือนกัน” เขาสะบัดมือนิ่ง กล่องล่องหนพลันปรากฏบนฝ่ามือ เมื่อเปิดออกก็มีบางอย่างพุ่งออกมา คือแมลงวิบัตินั่นเอง

มันเป็นแมลงวิบัติรุ่นที่ 4 แล้ว เขาเก็บพวกมันอยู่ในสถานะหยุดเติบโต เพราะหากตื่นขึ้นมาแล้วไม่นานก็จะตาย โดยมีแม่พันธุ์ที่อาศัยอยู่ในกีฏมารดาคอยเพิ่มจำนวนพวกมัน ซึ่งเข้าคู่กันพอดีในความคิดของเขา

ทว่าซูเฉินกลับไม่ค่อยใช้มันในการต่อสู้ ดังนั้นพวกมันส่วนมากจึงมีชีวิตอยู่ในสถานะหยุดนิ่งเป็นส่วนใหญ่

ในเมื่ออิ๋นซาเรียกแมลงเป็นฝูงออก ซูเฉินจึงกระทำการเช่นเดียวกัน

แมลงสองฝั่งพุ่งเข้าหาอีกฝ่าย ก่อนจะโจมตีกลืนกินกันอย่างดุเดือด

แต่ละฝ่ายไม่ใช่แมลงธรรมดา ไม่มีฝั่งใดเกรงกลัวความตาย ดังนั้นไม่นานศพพวกแมลงจึงโปรยลงจากฟ้าราวกับห่าฝน

พริบตาเดียวแมลงที่อิ๋นซาเรียกมาก็ถูกกำจัด แมลงวิบัติส่วนมากก็ถูกสังหารไปเช่นเดียวกัน

ทว่าซูเฉินกลับดูไม่คิดมาก แมลงวิบัติมีชีวิตได้ไม่นานอยู่แล้ว สิ่งสำคัญคือทำหน้าที่สำเร็จก็เพียงพอ

หลังกำจัดฝูงแมลงไปได้ ซูเฉินก็หันมามองอิ๋นซา “ยังมีอุบายอื่นใดอีกหรือ? ใช้มาเลย”

“ฟ่อออ!”

อิ๋นซาถูกซูเฉินยั่วจนโกรธเกรี้ยว