ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 47 สมบูรณ์

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 47 สมบูรณ์

อิ๋นซาแค้นใจนักเมื่อเห็นว่าการโจมตีของมันทำอะไรซูเฉินไม่ได้

มันร้องเสียงโหยหวน หมอกหนาขยายตัวออกพลันหดกลับ

หมอกหนาจึงพุ่งเข้าใส่ใบหน้าบิดเบี้ยว มอบร่างให้เจ้ายักษ์ ร่างใหม่ที่อิ๋นซาใช้มีขนาดใหญ่โตเทียบเท่ากับขุนเขายักษ์ของซูเฉิน

เมื่ออยู่ในร่างนี้ อิ๋นซาจึงไม่สามารถเลือกให้ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายล่องหนชั่วขณะได้อีก

นั่นเป็นเพราะร่างของหมอกยักษ์ตัวนี้หลั่งไหลไปมาราวกับน้ำในมหาสมุทร

ใบหน้ามันยังคงความดุร้ายบิดเบี้ยวอยู่ดังเดิม แต่ตอนนี้ร่างหมอกที่เกิดขึ้นใหม่กลับปลดปล่อยกลิ่นอายชั่วร้ายออกมาด้วย

พลังต้นกำเนิดรอบกายร่างอิ๋นซาหนั่นแน่นมาก พริบตาเดียวซูเฉินก็รู้สึกราวกับสูญเสียการควบคุมพลังในร่างกายตนเอง

“นี่น่ะหรือไพ่ตายใบสำคัญที่สุดของเจ้า?” ซูเฉินพึมพำ

พลังยียวนกวนประสาทเทพอสูรของเขามิอาจดูถูกได้ ซูเฉินเตรียมใจรับแรงโจมตีหลังจากนั้นทันที

ระลอกพลังระเบิดออกจากร่างอิ๋นซา กระทั่งมันยังไม่ทันออกท่าโจมตี แต่ก็ชัดเจนแล้วว่าพลังชีวิตของเทพอสูรตัวนี้สูงส่ง พละกำลังล้นเหลือ จากนั้นเปลวไฟสีเงินพลันลุกโชติช่วงปกคลุมร่างมันเป็นม่านเพลิง ในมือพลันมีดาบเพลิงเงินเล่มบางปรากฏ

ดาบเพลิงเงินตวัดวาด อัคคีคลั่งวาดโค้งกรีดฟ้าพุ่งออกไป

ซูเฉินสะบัดมีดไร้แสงเบา ๆ ในมือขวาโต้ตอบ ประดับการโจมตีตอบโต้นี้ด้วยแสงสีขาวจาง ๆ คือพลังอมตะ

ครั้งนี้เขาประจันหน้ากับอิ๋นซาอย่างเต็มกำลัง

ซูเฉินอยากรู้ว่าการโจมตีที่ผสมพลังอมตะลงไปจะสามารถหักล้างการโจมตีของเทพอสูรได้หรือไม่

ไม่เกิดแรงระเบิดสะเทือนโลกาขึ้นแต่อย่างใด จะมีก็เพียงแสงสว่างจ้าแผ่ออกรอบทิศยามการโจมตีทั้งสองปะทะกัน เกิดสีสันสว่างเจิดจ้าละลานตา พริบตาหลังจากนั้น มีดไร้แสงก็ผ่าเพลิงโค้งขาด ทะลวงเข้าร่างอิ๋นซา

แต่พร้อมกันนั้น เพลิงสีเงินที่ถูกผ่าครึ่งก็ยังพุ่งเข้าหาซูเฉิน

ร่างของทั้งอิ๋นซาและซูเฉินจึงถูกแยกเป็นสองส่วน

ทั้งสองฝ่ายสามารถโจมตีให้ศัตรูบาดเจ็บได้

ซูเฉินส่งเสียงร้องเมื่อร่างกายส่วนบนถูกแยกจากส่วนล่าง ในตอนที่ขาทั้งสองข้างกำลังล้มถอยหลังไป ร่างครึ่งบนของเขาก็เอื้อมมือคว้ามันไว้พอดี เชื่อมทั้งสองส่วนเข้าด้วยกัน ผลจากพลังอมตะบังเกิดในตอนนั้น มันขับพลังงานที่ตกค้างจากการโจมตีของอิ๋นซาออก ทำให้ร่างกายสามารถฟื้นคืนได้

อิ๋นซาก็เช่นกัน พลังต้นกำเนิดในร่างกายโคจรอย่างบ้าคลั่ง ขับไล่พลังอมตะไปได้อย่างง่ายดาย แม้มันจะเป็นสิ่งที่ทรงพลังมาก แต่ก็ถูกพลังต้นกำเนิดที่มีอยู่อย่างท่วมท้นขับมันออกไปราวกับเป็นต้นไม้ไร้ราก

ผ่านพ้นการโจมตีเมื่อครู่ไป ทั้งซูเฉินและอิ๋นซาต่างเข้าใจความสามารถของอีกฝ่ายได้ดียิ่งขึ้น

แม้พลังอมตะจะทรงพลังกว่าพลังต้นกำเนิดธรรมดา พลังต้นกำเนิดของอิ๋นซาก็มีมากกว่าพลังอมตะอันน้อยนิดของซูเฉิน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จำนวนมากกว่าย่อมเอาชนะอำนาจที่มากกว่าไปได้โดยปริยาย

ซูเฉินยังต้องพัฒนาหาทางเพิ่มพลังอมตะขึ้นอีก!

และข้อแตกต่างที่สำคัญที่สุดคือความต่างของพื้นฐานพลังนั่นเอง!

แลกกระบวนท่ากันครั้งหนึ่งทำให้ซูเฉินค่อย ๆ คิดบทสรุปออกมาได้

เขาไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังสร้างยาเม็ดทองคำขึ้นได้ แต่เขาเริ่มเข้าใจสิ่งที่จำเป็นจะต้องเกิดก่อนหน้านั้นได้แล้ว

ในฐานะบุคคลแรกในทวีปต้นกำเนิดที่ย่างเหยียบในหนทางอมตะ เขาได้สร้างยาเม็ดทองคำขึ้นมาได้แล้ว เขาไม่มีคนคอยนำทาง หนทางเดียวที่จะก้าวต่อคือการมองย้อนกลับไปเพื่อปรับพื้นฐานของตนเสียก่อน

และซูเฉินได้เริ่มเข้าใจความซับซ้อนของระบบการบ่มเพาะพลังใหม่นี้แล้ว

ขณะที่ร่างกายกำลังฟื้นคืนจากบาดแผล ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยขึ้นภายในร่าง

มันเป็นความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้ แต่ซูเฉินรู้ได้ว่าหนทางที่เคยถูกปิดกั้นในอดีต ตอนนี้ค่อย ๆ เผยเส้นทางออกมาตรงหน้าแล้ว รากฐานใหม่กำลังถูกก่อสร้างอยู่ตรงหน้า

“มันเป็นเช่นนี้เองหรือ? ยาเม็ดทองคำในอดีตของข้าเป็นเพียงของปลอม เพราะสร้างขึ้นจากพลังที่มาจากภายนอก คุณสมบัติในการซึมซับและฟื้นคืนพลังจึงน้อยกว่าของแท้ แต่ตอนนี้… รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไป” ซูเฉินพึมพำขณะตกอยู่ในภวังค์ และแลบลิ้นเลียริมฝีปากตนเอง

เขารู้สึกได้ว่าร่างกายของเขาทรงพลังขึ้นเรื่อย ๆ

มันเป็นความรู้สึกที่คล้ายคลึงกับตอนกำลังจะขึ้นสู่การเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด แต่ก็เป็นความรู้สึกที่แตกต่าง

มีเพียงพลังอมตะที่ก้าวหน้าขึ้น และมันเป็นพลังที่แยกออกจากระบบการบ่มเพาะพลังเดิมของเขาอย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่พลังที่ได้มาจากการเปลี่ยนพลังศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นการปรับปรุงภายในตัวเขาเองมากกว่า

เป็นพลังที่เป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว

“ยังไม่มากพอ” ซูเฉินพึมพำ

เขารู้สึกได้ว่าในขณะที่กำลังหยั่งรากฐาน มันยังไม่สมบูรณ์ พลังของยาเม็ดทองคำยังอ่อนแอเกินกว่าจะทำสิ่งที่เขาต้องการให้สำเร็จได้ เพิ่งจะวางรากฐานชั้นต่ำที่สุดมาได้เพียงเก้าในสิบส่วนเท่านั้น

แม้เหลืออีกเพียงส่วนเดียว แต่ก็เป็นส่วนที่ทำให้เขาไม่อาจขึ้นสู่การสำเร็จขั้นสูงได้

“แสดงว่านี่คือขั้นก่อร่างงั้นหรือ? แล้วยังมีขั้นที่อยู่ก่อนก่อร่างอีก… แต่มันคืออะไรกัน? เอาเถอะ เรื่องนี้ยังไม่สำคัญ คงจะเหมือนกับด่านก่อเกิดลมปราณที่ไร้กระบวนการแปลงพลังกระมัง”

ยามซูเฉินเอ่ยคำ เขาก็สร้างผนึกมือขึ้นหลายผนึก เกิดก้อนควันขาวลอยพุ่งออกจากร่าง

อิ๋นซาไม่รู้ว่าซูเฉินกำลังทำอะไร มันเพิ่งสลัดพลังอมตะของซูเฉินออกร่างได้ หันไปก็เห็นซูเฉินยืนพูดอยู่คนเดียวดูพิลึก มันปล่อยเสียงร้องดุดัน ก่อนจะใช้เพลิงเงินจ้วงใส่ซูเฉินอีกครั้ง

มีเพียงเทพอสูรเท่านั้นที่จะสามารถกลั่นพลังต้นกำเนิดในดาบได้แน่นเช่นนี้

กระนั้นซูเฉินก็ทำเพียงเหลือบตามองการโจมตีที่กำลังพุ่งเข้ามาแล้วใส่หน้า “อย่ารีบร้อนนักสิ”

ร่างกายเขากะพริบ และปรากฏขึ้นใหม่ห่างออกไปนับพันจั้ง ควันขาวยังลอยออกจากร่าง ใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงจัด

ในตอนนี้ซูเฉินกำลังทำการย้อนพลัง พลิกกลับการบ่มเพาะพลังเพื่อวางรากฐานให้หนักแน่นขึ้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายดายเช่นกัน เป็นกระบวนการที่ทั้งลึกลับและซับซ้อนไปในคราวเดียวกัน

อิ๋นซาย่อมไม่เข้าใจกระบวนการนี้ มันไล่ตามซูเฉินต่อ แต่ไม่นานก็พบว่าวิชาหลบหนีของศัตรูเริ่มถูกใช้เป็นกลยุทธ์มากขึ้นในพลัน

ก่อนหน้านี้ซูเฉินจะต้องทิ้งช่วงพักระหว่างการเคลื่อนกายอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นแล้ว เขากระโจนร่างไปมาติดต่อกันไม่หยุดดูง่ายดายนัก อีกทั้งยังไม่มองอิ๋นซาด้วยซ้ำ เหมือนเป็นลิงซุกซนที่กำลังกระโจนไปมาโดยไม่คิดอะไรอยู่เท่านั้นเอง

อิ๋นซาผู้เกรี้ยวกราดตวัดดาบเพลิงในมืออย่างบ้าคลั่ง ร่างที่จับต้องได้ในตอนนี้ทรงพลังอย่างเหลือเชื่อ การโจมตีครั้งแรกของมันถูกพลังอมตะของซูเฉินส่วนหนึ่งสกัดไว้ได้ ในเชิงทฤษฎีแล้ว พลังอมตะของซูเฉินควรจะมีอยู่ต่ำ แต่จังหวะนั้นเองที่ซูเฉินเริ่มออกวิ่ง แม้อิ๋นซาจะไล่ทัน แต่ก็จับจังหวะโจมตีไม่ถูก ทำให้กลายเป็นการไล่ล่าที่น่าหงุดหงิดมาก

เมื่ออิ๋นซาเห็นว่าซูเฉินเอาแต่หนี มันก็คำรามลั่น เพลิงในมือหลอมละลายกลายเป็นลูกไฟเงินสองก้อนครอบมือสองข้าง จากนั้นกระหน่ำหมัดใส่ไปทางซูเฉินจนทั่วฟ้าเต็มไปด้วยเพลิงสีเงิน

การโจมตีระห่ำเช่นนี้กลับไม่ทำให้ซูเฉินตกใจกลัวแต่อย่างใด แต่ก็ทำให้ประหลาดใจได้อยู่บ้าง

เพราะจากมุมมองของเขา การกระทำของอิ๋นซานับว่าโง่เขลามาก

พลังของแต่ละคนไม่ได้ถูกกำหนดโดยความดุร้ายหรือความโหดเหี้ยมเสมอไป การที่สามารถควบคุมพลังของตนเองได้ ทำให้ได้ผลสูงสุดก็นับเป็นหนทางสู่จุดสูงสุดเช่นกัน กระทั่งเทพอสูรที่มีพลังต้นกำเนิดไร้จำกัดยังต้องคอยระวัง การดำรงอยู่ของพวกมันขัดต่อใต้หล้า ทุกจังหวะชีวิตที่เสียไปนับว่าใกล้ความตายไปทุกก้าว

แต่ไม่นานซูเฉินก็เข้าใจสาเหตุที่มันทำเช่นนั้น

เป็นผลจากยาเม็ดคืนจิตนั่นเอง

ยาเม็ดคืนจิตได้เปลี่ยนอิ๋นซาให้บ้าคลั่ง สิ้นสติไป มองทุกสิ่งอย่างเป็นศัตรู ความกระหายเลือดยับยั้งเหตุผลทุกอย่าง ดังนั้นจึงสังหารสหายอสูรกายฝั่งเดียวกัน แต่อย่างน้อยมันก็ยังจำได้ว่าซูเฉินคือศัตรูตัวร้ายที่สุด ดังนั้นจึงไล่ล่าเขาไม่หยุดหย่อน

แต่เมื่อซูเฉินยัง ‘แหย่’ มันไม่เลิก ความชังความโกรธในใจก็ยิ่งสูง เมื่ออารมณ์อยู่เหนือเหตุผล อิ๋นซาจึงเริ่มเสียการคุมพลังต้นกำเนิดไปด้วย

ตอนนี้อาจกล่าวได้ว่าอิ๋นซากำลังระบายความโกรธมากกว่าจะเป็นการต่อสู้

ยิ่งโกรธก็ยิ่งคลั่ง

“เช่นนี้เอง” ซูเฉินพึมพำเสียงเรียบเรื่อย “อย่างนั้นแล้ว ก็เติมเชื้อไฟให้อีกสักหน่อย”

ประกายลึกลับเต้นระริกในนัยน์ตา เหมือนล่ออิ๋นซาให้หันมาจ้องตาเขา

เขาใช้วิชาสรรพสิ่งลวงตาแล้ว

แม้วิชาสรรพสิ่งลวงตาจะเป็นวิชาจิตที่ทรงพลังที่สุดของชายหนุ่ม แต่ปกติแล้วจะไร้ผลต่อเทพอสูร

แต่ตอนนี้อิ๋นซาอยู่ในสภาวะกึ่งไร้สติ วิชาสรรพสิ่งลวงตาจึงสามารถส่งแรงกระตุ้นน้อย ๆ ผลักมันจนหลุดขอบไปได้

อิ๋นซาพลันแหงนหน้าเปล่งเสียงคำรามลั่นออกมา

จากนั้นก็เลิกล่าซูเฉินแล้วพุ่งขึ้นฟ้าไป

เพลิงสีเงินดุดันระเบิดทั่วฟ้า อิ๋นซาโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับเกิดห่าดาวตกขึ้นจากที่ใดก็ไม่ปาน

แต่ห่าฝนนี้กลับพุ่งขึ้นฟ้าแทนที่จะตกสู่พื้นดิน

“ดาวตก” สีเงินสรรค์สร้างภาพตระการตา เกิดเป็นธารแสงเงินส่องไปทั่วนภา กระทั่งเมืองล่องนภาที่อยู่ห่างออกไปยังสามารถมองเห็นมันได้

นับเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงครั้งหนึ่งในชั่วชีวิต

“นี่มัน… การโจมตีของเทพอสูรหรือ?” กู่ชิงลั่วร่างสั่นสะท้านเมื่อเห็นเงาร่างโอฬารนี้

นางรู้ว่าซูเฉินไร้วิชาเช่นนี้ มันทรงพลังเกินไป ใจนางเริ่มเป็นกังวลหนักหน่วง

โชคดีที่ร่างแยกซูเฉินอยู่ข้างกายนาง เอ่ยเสียงพร้อมยกยิ้มบางขึ้น “ใช่ แต่อย่ากังวลไป ไม่อันตรายหรอก”

ไม่อันตรายหรอก

คนอื่น ๆ ได้ยินก็เกือบเป็นลมกันหมด

ซูเฉินกล้าพูดว่าภาพตระการตาเช่นนั้นที่กำลังเกิดอยู่ต่อหน้าพวกเขาว่าไม่อันตรายได้อย่างไร?

กระนั้นซูเฉินก็ไม่ใช่ว่าพูดไปอย่างนั้น ในตอนนั้นอิ๋นซาไร้อันตรายต่อเขาจริง ๆ

กลับมายังที่ใกล้หุบเขา ซูเฉินยังคงสังเกตอิ๋นซาต่อ

ตอนนี้อิ๋นซาคลั่งไปแล้ว การโจมตีนี้นับว่าทรงพลังที่สุด แต่เมื่อไร้สติคอยชี้เป้าจึงนับว่าเสียไปโดยเปล่า ไม่ถูกเป้าสักครา

จึงนับว่าไม่เป็นภัยแม้แต่น้อย

กระทั่งซูเฉินยังไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ได้ เขาวางแผนไว้ว่าจะถ่วงเวลาให้นานที่สุดเพื่อให้ใช้ร่างแยกเลือดหนีไปให้ไกลจนเฮือกสุดท้ายเท่านั้น

แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาจะท้าสู้เทพอสูรด้วยตัวคนเดียวได้แล้ว ทั้งยังชนะเสียด้วย

แม้จะนับว่าเป็นความโชคดีอย่างมาก แต่ก็นับว่าเป็นความสำเร็จที่ได้มาด้วยปาฏิหาริย์จริง ๆ

แต่ยังเหลืออยู่อีกคำถามหนึ่งก็คือ แล้วมันยังเหลือพลังงานอยู่อีกเท่าไหร่กันแน่ จะบ้าคลั่งโจมตีเช่นนี้ไปถึงเมื่อไหร่กว่าจะสิ้นใจ?

คิดดังนั้นแล้ว ซูเฉินจึงยืนรอดู พร้อมกันนั้นก็เปลี่ยนพลังในร่างไปด้วย ทําส่วนสุดท้ายในการวางรากฐานให้สิ้นสุด

พลังต้นกำเนิดโดยรอบทั้งหมดถูกอิ๋นซาดูดไปใช้ระหว่างโจมตีบ้าคลั่งนี้จนไม่เหลือ ทว่าตอนนี้ซูเฉินไม่จำเป็นต้องใช้พลังต้นกำเนิดจากภายนอกแล้ว

เมื่อไร้พลัง ซูเฉินจึงค้นพบพลังงานใหม่จากพลังชีวิตของเขาเอง

เมื่อเขาปรับพลังเสร็จสิ้น ซูเฉินก็รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก

ผืนฟ้าและผสุธาคือหนึ่งใต้หล้า ร่างกายเสมือนอีกหนึ่งใต้หล้าเช่นกัน

จังหวะนั้นเองที่เขาพลันเกิดความรู้สึกหนึ่ง

ตัวเขาในตอนนี้นับว่าได้กลายเป็นมนุษย์อย่างแท้จริงแล้ว!!