เย่หยวนได้แต่ต้องขมวดคิ้วแน่น ได้แต่คิดว่าสิ่งที่เขารอในที่สุดมันก็มาถึงเสียที
เขานั้นย่อมไม่ได้ทำเรื่องทั้งหลายนี้แค่เพื่อจะสร้างชื่ออวดอ้างความเก่งกาจใด ๆ สิ่งที่เขาต้องการจริง ๆ ก็คือการจะได้พบเจอกับเหล่าเทพสวรรค์ทั้งหลายนี้
ชุมเก้าสายนั้นมีเทพสวรรค์อยู่ทั้งหมดเก้าคน เย่หยวนนั้นที่เป็นแค่คนนอกหากจะไปถามหาคนทั้งหลายอย่างไม่มีขี่มีขลุ่ยมันคงไม่ต่างจากการเดินเข้าไปกลางดงเสือร้าย
แล้วอะไรกันเล่าที่จะช่วยให้เขาได้พบเจอกับเหล่าเทพสวรรค์ทั้งหลายนี้?
แน่นอนว่ามันย่อมต้องเป็นโอสถ!
ในเมื่อเหล่าเทพสวรรค์ทั้งหลายนั้นต่างชื่นชมและต้องการโอสถกันอย่างมากมาย หากเขาแสดงฝีมือวิชาโอสถของตนออกมาแล้วเหล่าเทพสวรรค์ทั้งหลายนั้นจะยังห้ามใจไม่ให้มาหาเขาได้อีกหรือ?
นอกจากนั้นแล้วเย่หยวนยังได้นำเอาสุราสาดตะวันโอบออกมา เจ้าอาวุธสังหารปิดฉากนี้! แน่นอนว่ามันย่อมทำให้เหล่าเทพสวรรค์ทั้งหลายได้เห็นตัวอย่างในพลังของเขา
ส่วนเรื่องที่เทพสวรรค์กู้หงคิดกราบเขาเป็นอาจารย์นั้น มันเป็นเรื่องที่แม้แต่เย่หยวนเองก็ไม่อาจคิดคาดได้ถึง
ในนี้เมื่อมีเทพสวรรค์แปดคนมารวมตัวกันเช่นนี้มันย่อมจะทำให้ห้องโถงดูมีบรรยายกาศที่หนักอึ้งทันที
ซ่งเฉาและพวกศิษย์ทั้งหลายนั้นต่างได้แต่นั่งมองดูอย่างเงียบงัน เกร็งจนแทบไม่กล้าหายใจ
เย่หยวนนั้นนั่งในที่นั่งเจ้าบ้านอย่างสง่าท่าทางแสนสบาย
เหล่าเทพสวรรค์ทั้งแปดนั้นหันมามองเย่หยวนด้วยความสงสัย สายตาของพวกเขาทั้งหลายนั้นต่างแสดงความคิดออกมาอย่างชัดเจน
แน่นอนว่าพวกเขาทั้งหลายย่อมจะไม่คิดว่าอาจารย์ของเทพสวรรค์กู้หงจะเป็นเด็กหนุ่มขนาดนี้
“อาจารย์ ศิษย์ขอแนะนำให้ท่านได้รู้จัก นี่คือเทพสวรรค์ซูเจียนแห่งศาลาดาบดารา” เทพสวรรค์กู้หงบอกพร้อมยกมือผายไปยังเทพสวรรค์ซูเจียน
“อาจารย์จี้!” เทพสวรรค์ซูเจียนยกมือขึ้นคารวะ
เย่หยวนหันไปมองหน้าอีกฝ่ายพร้อมพยักหน้ารับออกมา นับว่าเป็นการรับคารวะของเทพสวรรค์ซูเจียนเรียบร้อย
แต่นั่นมันกลับทำให้เทพสวรรค์ซูเจียนต้องขมวดคิ้วแน่น คิดว่าเจ้าเด็กคนนี้มันช่างโอหังเสียเหลือเกิน
ทางเทพสวรรค์กู้หงเองก็ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ออกมา แต่เขารู้ดีว่าอาจารย์ของตนนั้นเก่งกาจมากพอที่จะวางท่าเช่นนี้ได้ เพราะฉะนั้นเขาจึงเริ่มหันไปแนะนำเหล่าเทพสวรรค์ที่เหลือทั้งหลาย
“นี่คือเจ้าหอเมฆาน้ำแข็ง เทพสวรรค์ปิงหยุน นางนั้นมีควบคุมแนวคิดแห่งน้ำแข็งได้เก่งกาจจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบทำให้เป็นหนึ่งในยอดคนมากฝีมือ”
แต่เทพสวรรค์คนที่สี่ที่เทพสวรรค์กู้หงแนะนำนั้นมันกลับเป็นหญิงวัยกลางคนที่เริ่มจะหมดความสวยลงไปบ้างแล้วแต่เค้าโครงความงามเมื่อยังสาวก็ยังคงพอมีให้เห็นอยู่
แท้จริงตั้งแต่วินาทีแรกที่เย่หยวนได้เห็นนางนี้ เขาก็สนใจตัวนางผู้นี้อย่างมาก
ในหมู่เทพสวรรค์ของชุมเก้าสายนั้น เทพสวรรค์ปิงหยุนนี้เป็นเทพสวรรค์หญิงเพียงผู้เดียว แล้วมันจะเป็นใครไปได้อีกนอกจากนาง?
“อืม” เย่หยวนยังคงตอบรับกลับมาสั้น ๆ
แต่ทางเทพสวรรค์ปิงหยุนนั้นกลับร้องขึ้น “เจ้าก็จะวางตัวโอหังเกินไปหน่อยหรือไม่? ไม่ว่าจะอย่างไรพวกเรานั้นก็คือเจ้าคนนายคนแห่งชุมเก้าสาย เราอุตส่าห์ถ่อมาหาเจ้า แต่เจ้ากลับวางท่าเช่นนี้?”
เมื่อเทพสวรรค์กู้หงได้แต่เขาก็รู้ทันทีว่าเรื่องราวมันคงไม่ดีแล้ว เพราะไม่ว่าคนอื่นจะมองอย่างไร แต่นี่มันมิใช่อาจารย์ของเขาวางตัวเย่อหยิ่งใด ๆ เขาเพียงแค่ยืนอยู่ในตำแหน่งที่ตนควรอยู่เท่านั้น
มีหรือที่เทพสวรรค์ทั่ว ๆ ไปทั้งหลายนี้จะทำให้ตัวเขาคิดสนใจใดได้?
เพียงแค่ว่าสำหรับเทพสวรรค์ปิงหยุนแล้วนางเป็นคนที่อารมณ์ร้อนไม่อดทนยอมรับความโอหังใด ๆ มีหรือที่นางจะยังใจเย็นได้หลังเห็นท่าทางของเย่หยวน?
แน่นอนว่าเหล่าเทพสวรรค์คนอื่น ๆ นั้นเลือกจะนั่งทน แต่เมื่อมาถึงนางแล้วนางย่อมจะไม่ทน
ดูท่าเหล่าเทพสวรรค์ทั้งหลายเองก็คงรู้จักนิสัยของเทพสวรรค์ปิงหยุนนี้ดีจึงได้นั่งรอให้นางเป็นคนบ่นออกมาแทนตนเอง
ทุกผู้คนนั้นไม่ได้โง่เง่า การที่เทพสวรรค์กู้หงจะกราบเด็กหนุ่มเช่นนี้เป็นอาจารย์มันย่อมจะหมายความว่าเด็กหนุ่มคนนี้มีวิชาที่เหนือล้ำผู้คนจนไม่อาจเทียบเคียง
แม้ว่าพวกเขาทั้งหลายจะไม่เชื่อถือมันมากมายนัก แต่จะให้ไปลบหลู่ยอดคนเพียงเพราะไม่เชื่อว่าเขาเก่ง มันก็คงไม่ฉลาดสักเท่าไหร่
เพราะไม่ว่าอย่างไรวันนี้พวกเขาก็มาเพื่อร้องขอโอสถ ไม่ได้มาหาเรื่องคน
หากไปลบหลู่อาจารย์ท่านนี้แล้ว มีหรือที่โอสถใด ๆ จะยังตกถึงมือของพวกเขาได้?
และแน่นอนเมื่อเย่หยวนได้ยินเขาก็เบิกตาออกกว้าง “หากเทพสวรรค์ปิงหยุนคิดว่าจี้ผู้นี้มีท่าทางโอหังเย่อหยิ่งก็เชิญกลับไปได้ก่อนเลย พวกเจ้าทั้งหลายมาเพื่อร้องขอโอสถ ในเมื่อคิดมาขอร้องจี้ผู้นี้ก็ย่อมจะต้องทนให้ได้ไม่ว่าจี้ผู้นี้จะมีท่าทางเช่นไรก็ตามมิใช่หรือ?”
เมื่อเหล่าเทพสวรรค์ได้ยินก็ต่างต้องผงะไปตาม ๆ กัน ได้แต่คิดว่าเจ้าเด็กคนนี้มันช่างเฉียบคมทั้งความคิดและปากคอ!
เทพสวรรค์ปิงหยุนนั้นยิ่งใหญ่ปานใดในชุมเก้าสายนี้? มีหรือที่นางจะเคยทนรับความอับอายเช่นนี้มาก่อน?
นางจึงได้แต่หัวเราะขึ้น “หึ ๆ! ช่างเป็นอาจารย์จี้ผู้โอหังจนลืมตนจริง ๆ! ข้าอยากรู้เหลือเกินว่าฝีมือของเจ้านั้นมันจะเก่งได้เท่าปากไหม!”
เย่หยวนได้แต่หันไปมองอย่างเย็นเยือก “ฝีมือของข้านั้นเป็นสิ่งที่พวกเจ้าวัดได้? ข้าก็บอกไปแล้ว ไม่เชื่อก็กลับไป”
“เจ้า!” เทพสวรรค์ปิงหยุนลุกขึ้นพรวดด้วยความโกรธเคือง
เมื่อนางนั้นแสดงความโกรธเคืองออกมาแน่นอนว่ามันย่อมจะมีแรงกดดันมหาศาลของเทพสวรรค์พุ่งเข้าใส่ตัวเย่หยวน และดูท่านางจะไม่คิดหยุดเท่านั้นด้วย
เมื่อเห็นเช่นนั้นใบหน้าของเทพสวรรค์กู้หงก็แดงก่ำขึ้นมาเช่นกัน “ปิงหยุน ที่ข้าให้พวกเจ้าได้เข้ามาวันนี้ก็เพราะเห็นแก่หน้าพวกเจ้า แต่หากเจ้าไม่คิดไว้หน้าข้าเช่นนี้แล้ว! ที่นี่ก็ไม่ต้อนรับเจ้าอีกต่อไป! ไปเสีย! และวันหน้าอย่าได้มาขอร้องโอสถใด ๆ ให้แก่หอเมฆาน้ำแข็งจากข้าผู้นี้อีก!”
เทพสวรรค์กู้หงนั้นชื่นชมเคารพเย่หยวนอย่างสุดตัวหัวใจ
แม้ว่าตัวเขาจะเป็นเทพสวรรค์ แต่เขาก็ไม่เคยจะยึดถือว่าตนเป็นเทพสวรรค์ใด ๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าเย่หยวน
ใครจะไปคิดว่านางปิงหยุนนี้กลับไม่คิดไว้หน้าเขาแม้แต่น้อยกลับตั้งคำถามแก่อาจารย์ของเขาต่อหน้าตัวเขา ทั้งยังคิดถึงขั้นจะลงมือโจมตี? เรื่องเช่นนี้ใครจะไปยอมทนได้?
ทางเทพสวรรค์ปิงหยุนที่ได้ยินก็ได้แต่กัดฟันแน่น การกระทำของเทพสวรรค์กู้หงนี้มันดุร้ายจนเกินทน!
ในทุ่งราบสุดอุดรนี้เทพสวรรค์เจ็ดดาวมันมีสิทธิพอที่จะวางตัวโอหังเช่นนี้ได้
ไม่มีใครกล้าไปลบหลู่จอมเทพโอสถเจ็ดดาว เพราะหากไปทำเข้าแล้วการบ่มเพาะใด ๆ ของพวกเขาทั้งหลายก็คงได้แต่ต้องพึ่งดวงโชคลาภเท่านั้น!
เทพสวรรค์ปิงหยุนได้แต่ทำหน้าเหยเกออกมา ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นอย่างไม่รู้จะเถียงว่าอย่างไร
คนทั้งหลายเองที่ได้ยินก็ต้องสั่นสะท้านไปทั้งกาย ไม่นึกไม่ฝันว่าความเคารพที่เทพสวรรค์กู้หงมีต่อเย่หยวนมันจะหนักแน่นถึงปานนี้
เทพสวรรค์ซูเจียนที่ได้เห็นจึงรีบลุกขึ้นมาขวางขัดคนทั้งสองไว้ด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าทั้งสองอย่าเพิ่งเดือดดาลกันไป ในเมื่ออาจารย์จี้นั้นเป็นอาจารย์ของเทพสวรรค์กู้หง แน่นอนว่าเขาจะต้องเป็นยอดคนมากฝีมือ น้องปิงหยุน เจ้าเองก็แก้นิสัยเลือดร้อนของตนนั้นเสียทีเถอะ”
เทพสวรรค์ปิงหยุนนั้นได้แต่หัวเราะขึ้นอย่างไม่คิดสนใจ แต่นางก็ยังมีใบหน้าเย่อหยิ่งไม่คิดยอมก้มหัวเช่นกัน
เย่หยวนที่ได้เห็นจึงหัวเราะขึ้นมา “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าทั้งหลายคงไม่เชื่อกันสนิทใจหรอก แต่สิ่งที่ข้าทำได้นั้นพวกเจ้าย่อมจะไม่อาจคาดเดาได้! ตราบเท่าที่พวกเจ้าหาสมุนไพรมาให้ข้าได้พอ จี้ผู้นี้ก็จะสร้างเทพสวรรค์ออกมาให้เจ้าดู เรื่องราวเช่นนั้นมันจะยากเย็นอย่างไร?”
เมื่อคำพูดนี้ถูกกล่าวคนทั้งหลายก็แสดงสีหน้าไม่คิดอยากเชื่อถือขึ้นมาพร้อม ๆ กัน
พวกเขาทั้งหลายนี้ต่างเป็นเทพสวรรค์ขึ้นมาได้พร้อมเฉียดความตายมาอย่างยาวนาน ต่อสู้เอาชีวิตรอดในแดนสุดอุดรอันดุร้ายป่าเถื่อนนี้
มีหรือที่เทพสวรรค์มันจะเป็นอะไรที่ง่ายดายอย่างที่เจ้าว่า?
เทพสวรรค์ปิงหยุนนั้นย่อมจะเบะปากออกมาอย่างไม่คิดเชื่อแม้แต่น้อย
แต่ครั้งนี้นางย่อมจะเริ่มได้สติขึ้นจึงไม่ได้พูดขัดใด ๆ ออกมา
“หึ พวกเจ้าอย่าได้ทำหน้าตาเช่นนั้น ในวันที่ข้าได้ทำการประลองกับอาจารย์ท่านนั้นข้าไม่สามารถจะเปิดเตาหลอมได้ด้วยซ้ำ แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าโอสถประทับใต้พิภพที่อาจารย์จี้หลอมขึ้นมานั้นมันเป็นขั้นใด?” เทพสวรรค์กู้หงถามขึ้น
ทางเทพสวรรค์ซูเจียนจึงถามขึ้นตามในทันที “ขั้นใดเล่า? หรือว่า…ขั้นสูง?”
เทพสวรรค์อีกคนกล่าวขึ้นตาม “ขั้นสวรรค์?”
“หึ ๆ พวกเจ้าดูเอาเองเถอะ!”
เทพสวรรค์กู้หงหัวเราะออกมาก่อนจะโยนขวดโอสถลงกลางวงคนทั้งหลาย
เทพสวรรค์ซูเจียนไม่รอช้ารีบหยิบขวดโอสถนั้นขึ้นมา ปล่อยให้คนอื่นได้แต่ต้องจ้องมองดูด้วยความสงสัย
เห็นหน้าตาเช่นนั้นของเทพสวรรค์กู้หง หรือว่ามันจะเป็นถึงขั้นสวรรค์?
เว้นเสียแต่ว่าพวกเขานั้นย่อมจะสลัดความคิดนั้นทิ้งไป มันจะเป็นไปได้อย่างไร?
โอสถประทับใต้พิภพนั้นเป็นโอสถความยากเก้า พวกเขารู้ดีว่าต่อให้เป็นตัวเทพสวรรค์กู้หงเองก็หลอมได้ถึงแค่ขั้นสูง
ไม่ว่าเย่หยวนคนนี้จะเก่งกาจสักเท่าใด สุดท้ายเขาก็ยังเป็นแค่จอมเทพโอสถหกดาว อย่างมากก็คงเป็นแค่ขั้นสูงสุดเท่านั้น
เทพสวรรค์ซูเจียนได้ส่งจิตของตนลงไปมองดูภายในจนทำให้ใบหน้าเปลี่ยนสี หันไปมองดูเย่หยวนอย่างหวาดกลัวราวกับได้เจอผี
“พี่ซูเจียน ขั้นใด?”
ทุกผู้คนที่ได้เห็นสีหน้านั้นต่างถามขึ้นแทบจะพร้อม ๆ กัน
หรือมันจะเป็นขั้นเทวะจริง?
เทพสวรรค์ซูเจียนได้แต่มอบขวดโอสถไปให้แก่เทพสวรรค์อีกคนด้วยรอยยิ้ม “พี่ฮุ่ยหมิง เจ้าลองดูเองเถอะ!”
…………………..