ดังนั้นเพื่อนของเขากู้ช่าน
จึงมีเพียงคนเดียวมาโดยตลอด
เมื่อก่อนเป็นเช่นนี้ วันหน้าก็ยังคงเป็นเช่นนี้ และทั้งชีวิตจนถึงวันตายก็ยังคงเป็นเช่นนี้
แต่ชั่วชีวิตนี้เขากู้ช่านไม่มีทางเป็นคนแบบคนผู้นั้นได้
เขากู้ช่านก็คือกู้ช่าน
ใต้หล้านี้มีกู้ช่านแค่คนเดียว
แต่เขายินดีที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
อีกทั้งเขายังเรียนรู้ได้อย่างดีเยี่ยม เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว
เพราะก่อนที่คนผู้นั้นจะจากไปได้เอ่ยประโยคหนึ่งว่า
ต้นไม้ถือกำเนิดในไพร กับไม้เด่นที่กลับคืนสู่ไพร คือหลักการสองอย่าง
สุดท้ายหลิวจื้อเม่าเอ่ยว่า “กู้ช่าน รู้หรือไม่ว่าอะไรที่เรียกว่าทรัพย์สินอันเป็นรากฐานของตระกูล?”
กู้ช่านยิ้มกล่าว “ขออาจารย์โปรดชี้แนะ”
หลิวจื้อเม่าเอ่ยว่า “ไม่ใช่มีเงินหมื่นกว้านร้อยเอว มีผืนนาหมื่นไร่เหมือนเศรษฐีในหมู่ชาวบ้าน แล้วก็ไม่ได้เป็นแม่ทัพกันทั้งตระกูล พ่อลูกเข้าร่วมประชุมในท้องพระโรงร่วมกันเหมือนในวงการขุนนาง หรือถึงขั้นไม่ใช่มีเซียนมากมายดุจก้อนเมฆเหมือนบนภูเขา”
หลิวจื้อเม่าพูดแค่ครึ่งเดียว ยังคงไม่ได้ให้คำตอบอยู่เหมือนเดิม
กู้ช่านขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้าเอ่ยว่า “เข้าใจแล้ว ก็คือหลังจากที่คนครอบครัวหนึ่งทำความผิดมหันต์ไปแล้ว ยังสามารถชดเชยแก้ไขกลับคืนมาได้ ไม่ใช่ว่านึกจะสูญสิ้นก็สูญสิ้นไปแบบนั้น”
หลิวจื้อเม่ากล่าวด้วยน้ำเสียงเสียดาย “ข้าหลิวจื้อเม่าไม่อาจทำได้แล้ว หลังจากผ่านหายนะครั้งนี้ไป ก็ทำให้จางเย่สิ้นหวังอย่างสิ้นเชิงแล้ว ต่อให้โชคดีได้กลายเป็นขอบเขตหยกดิบก็ยังเป็นได้แค่หมาเฝ้าบ้านตัวหนึ่งของเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูล”
กู้ช่านยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เกาะชิงเสียยังมีข้ากู้ช่าน”
หลิวจื้อเม่าส่ายหน้า “ต้องเป็นทะเลสาบซูเจี่ยนของพวกเราที่ยังมีกู้ช่าน!”
ผู้ฝึกตนอิสระ แบ่งแยกบุญคุณความแค้นชัดเจน
ต่อให้จะเป็นระหว่างอาจารย์และศิษย์ ก็ยังเป็นเช่นนี้
ร่างของหลิวจื้อเม่าทะยานวูบหายวับไป ย้อนกลับไปยังเกาะกงหลิ่วอันเป็นที่ตั้งศาลบรรพจารย์ของสำนักเจินจิ้ง แล้วเริ่มปิดด่าน
กู้ช่านไม่ได้นอนหลับเลยตลอดทั้งคืน
เขาทำเพียงแค่สาวเท้าเดินเนิบช้าอยู่ในลานบ้านขนาดเล็ก
แม้ว่าหลิวจือเม่าจะปิดบังความเคลื่อนไหวและบทสนทนาในห้อง แต่ตอนที่ผู้เฒ่าเดินออกมาจากห้องกลับไม่ได้จงใจปิดบังอำพราง
ดังนั้นเจิงเย่และหม่าตู่อี๋ย่อมรู้ถึงการมาเยือนและจากไปของสกัดคงคาเจินจวินผู้นี้
หม่าตู่อี๋เปิดหน้าต่างออก หลังจากมองซ้ายมองขวาแล้วก็ใช้สายตาสอบถามกู้ช่านว่ามีปัญหาอะไรหรือไม่
กู้ช่านยิ้มพลางโบกมือ บอกเป็นนัยแก่นางว่าไม่ต้องเป็นกังวล
ส่วนเจิงเย่ผู้นั้นเดิมก็มีนิสัยซื่อๆ ขี้ขลาด ดังนั้นจึงหลบอยู่ในห้องตลอดเวลา ลอบกระสับกระส่ายอยู่กับตัวเอง
แต่ในเรื่องของการฝึกตนก็ประหลาดเช่นนี้ เจิงเย่มีฐานกระดูกในการฝึกตนที่ดี ทว่าคุณสมบัติในการฝึกตนกลับเป็นหม่าตู่อี๋ที่ดีกว่า ขณะเดียวกันเจิงเย่กลับมีโชควาสนาที่ดียิ่งกว่า ส่วนหม่าตู่อี๋กลับมีนิสัยหลังกำเนิดที่ยอดเยี่ยมมากกว่า
ถึงท้ายที่สุดกลับเป็นเจิงเย่ที่มีความหวังว่าจะเดินไปได้ยาวไกลมากกว่า
หม่าตู่อี๋ที่โชคดีเคยผ่านความตายมาหนึ่งครั้งไม่สนใจเรื่องพวกนี้เลยแม้แต่น้อย
ดังนั้นบางครั้งกู้ช่านก็รู้สึกอิจฉาความทึ่มทื่อไม่รู้ประสาของเจิงเย่ แล้วก็อิจฉาความไร้ทุกข์ไร้กังวลของหม่าตู่อี๋
เจิงเย่พลิกตัวกลับไปกลับมา สุดท้ายก็ม่อยหลับไป
กู้ช่านถอนหายใจ หากเจิงเย่ผู้นี้ฝึกตนอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนในอดีต ต่อให้จะมีตบะขอบเขตน้อยนิดอย่างเช่นตอนนี้ แต่ก็ยังจะต้องเป็นแกะที่พาตัวเข้าปากเสือ ไม่เหลือแม้แต่กระดูกอยู่ดี
อาศัยงานเลี้ยงน้อยใหญ่ที่จวนแม่ทัพ กู้ช่านค้นพบเบาะแสข้อหนึ่ง
การตั้งกฎเกณฑ์ของทะเลสาบซูเจี่ยน กวนอี้หรานแม่ทัพหนุ่มที่มีชาติกำเนิดมาจากตระกูลร่ำรวยผู้นั้นจะต้องได้รับสมุดบัญชีมาก่อนเล่มหนึ่ง เพราะกู้ช่านรู้สึกคุ้นเคยกับมันอย่างมาก
ดังนั้นจึงบอกได้ว่าทะเลสาบซูเจี่ยนในทุกวันนี้ ทุกหนทุกแห่งล้วนมีร่องรอยของนักบัญชีแห่งเกาะชิงเสียผู้นั้นอยู่
กู้ช่านเอาพัดที่ถืออยู่ในมือมาตีลงบนไหล่เบาๆ พูดพึมพำกับตัวเองว่า “เรื่องที่ต้องเรียนรู้ ยังมีอีกมาก”
พัดไม้ไผ่ที่ทำมาจากไม้ไผ่เสินเซียวในมือของเขาเล่มนี้
ด้านหน้าและด้านหลังล้วนมีตัวอักษรเขียนไว้
ลมเย็นจันทร์กระจ่าง ห้าอสนีก่อกำเนิด
น่าจะเป็นหลิวเสี้ยนหยางที่เขียนลงบนหน้าพัดด้วยตัวเอง คงกำลังโอ้อวดความรู้ที่ตัวเองไปร่ำเรียนมาจากสกุลเฉินผู้รอบรู้กับเขากู้ช่านกระมัง
แต่กู้ช่านรู้สึกมาโดยตลอดว่าหากหลิวเสี้ยนหยางไปเรียนที่โรงเรียนพร้อมกับคนผู้นั้น หลิวเสี้ยนหยางมีแต่จะต้องคอยกินฝุ่นอยู่ด้านหลัง
แต่เรื่องราวทางโลก กลับทำให้คนผู้นั้นไปท่องอยู่ในยุทธภพ ส่วนหลิวเสี้ยนหยางไปศึกษาเล่าเรียน
ดังนั้นกู้ช่านจึงไม่ค่อยชอบวิถีทางโลกที่เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด
ส่วนตำราลับตระกูลเซียนที่ซ่อนอยู่ในชายแขนเสื้อเล่มนั้น ตลอดคืนนี้กู้ช่านไม่ได้เปิดมันอ่านเลย
ข้ากู้ช่านฝึกตน ต้องรีบร้อนด้วยหรือ?
……
ยามฟ้าสาง กู้ช่านเปิดประตูออกมานั่งบนขั้นบันไดด้านนอก เทพทวารบาลและกลอนคู่ล้วนซื้อมาเมื่อปลายปีของปีก่อน
เคยมีเจ้าเด็กขี้มูกยืดคนหนึ่งป่าวประกาศว่าจะต้องแขวนกลอนคู่ที่เขาเขียนด้วยตัวเองไว้บนบ้านหลังหนึ่งในตรอกหนีผิงให้จงได้
เวลานั้นคนผู้นั้นน่าจะดีใจมาก ดังนั้นจึงขยี้หัวของเจ้าเด็กขี้มูกยืดแรงๆ บอกว่ากระดาษแดงที่ใช้เขียนกลอนคู่ของสองบ้านปีนี้ เขาจะเป็นคนควักเงินจ่ายเอง
นี่ไม่ใช่คำพูดที่เปลืองน้ำลายเปล่าหรอกหรือ?
นับตั้งแต่ที่เจ้าหมอนั่นไปเป็นลูกศิษย์ที่เตาเผามังกร ภาพเทพทวารบาลและกลอนคู่ของบ้านหลังเล็กที่อยู่สุดตรอกของตรอกหนีผิง มีครั้งใดบ้างที่ไม่ใช่เขาจ่ายเงินซื้อแล้วเอามาส่งให้ที่บ้าน? คนที่ยากจนยิ่งกว่า กลับกลายเป็นว่ายิ่งจ่ายเงินให้คนอื่นมากกว่า
น่าแปลกเสียจริง
เหตุใดใต้หล้าถึงมีคนแบบนี้ได้
กู้ช่านนั่งอยู่บนบันไดขั้นล่างสุด ข้อศอกค้ำยันอยู่บนขั้นบันไดที่สูงกว่า รอคอยให้บ้านฝั่งตรงข้ามเปิดประตู
เพราะที่นั่นมีเจ้าเด็กตัวเท่าก้นอยู่คนหนึ่ง และบนใบหน้าก็มักจะมีมังกรเขียวน้อยๆ เหนียวหนืดสองเส้นห้อยอยู่เป็นประจำ
ดังนั้นกู้ช่านถึงได้เลือกมาเช่าเรือนอยู่ที่นี่
ฝั่งตรงข้ามคือครอบครัวเล็กครอบครัวหนึ่ง พ่อแม่ยังอยู่ครบ ทำงานที่พอจะเลี้ยงปากท้องให้พออยู่รอดไปได้ เจ้าตัวน้อยที่เพิ่งเข้าโรงเรียนได้ไม่นานยังมีพี่สาวอีกหนึ่งคน หน้าตาไม่ค่อยน่ามองสักเท่าไร ชื่อก็ไม่ค่อยน่าฟัง เด็กสาวนุ่มนิ่มบอบบาง แถมยังหน้าบาง มักจะหน้าแดงได้ง่าย ทุกครั้งที่เจอเขาจะต้องก้มหน้าก้าวเดินเร็วๆ
แน่นอนว่ากู้ช่านไม่มีทางชอบเด็กสาวชาวบ้านเช่นนี้
ฝั่งตรงข้ามมีเด็กน้อยคนหนึ่งที่เตรียมจะไปเรียนที่โรงเรียนเดินอาดๆ ออกมา เขาสูดจมูกดังฟืด พอเห็นกู้ช่านก็ก้าวถอยหลังไปสองก้าว ไปยืนอยู่บนธรณีประตู “เจ้าคนแซ่กู้ เจ้ามองอะไรน่ะ พี่สาวข้าเป็นหญิงงามปานนั้น คนยากจนอย่างเจ้าคู่ควรจะมองนางด้วยหรือ? ข้าว่าเจ้าตัดใจเสียเถอะ เจ้าไม่คู่ควรกับพี่สาวข้า! ข้าไม่อยากเรียกเจ้าว่าพี่เขยหรอกนะ”
กู้ช่านนั่งตัวตรง ใช้พัดไม้ไผ่ตีลงบนเข่าเบาๆ
เจ้าหมอนั่นอดใจไม่ไหวเหลือบมองพัดไม้ไผ่ของเขาอยู่หลายครั้ง แล้วกระโดดลงจากธรณีประตู วิ่งปรู๊ดมานั่งอยู่ข้างกายกู้ช่าน ยื่นมือออกมาแล้วกล่าวว่า “ขอข้าเล่นบ้างสิ”
กู้ช่านยิ้มถาม “ยังไม่รีบไปศึกษาหาความรู้อีกรึ?”
เด็กน้อยกลอกตามองบน “ความรู้พวกนั้นไม่มีขาวิ่งหนีไปเองได้สักหน่อย ข้าจะไปสายหน่อย แล้วค่อยบอกกับอาจารย์ว่าปวดท้อง”
กู้ช่านเหล่ตามองมา “ถ้าอย่างนั้นระหว่างที่เจ้าเดินไปโรงเรียนก็ต้องเอาดินเหลืองมาป้ายกางเกงด้วย อาจารย์ที่โรงเรียนถึงจะเชื่อเจ้า”
เด็กน้อยครุ่นคิด แล้วจู่ๆ ก็สบถด่าเสียงดัง “เจ้าคนแซ่กู้ เจ้าโง่หรือไง? อาจารย์ไม่ได้จะตีข้าสักหน่อย แต่หากทำกางเกงเปื้อน กลับมาถึงบ้าน แม่ข้าจะไม่ตีข้าตายหรอกหรือ!”
หลังจากเด็กน้อยด่าจบก็ถามว่า “เจ้าคนแซ่กู้ เจ้าแต่งกลอนเป็น สอนข้าอีกสักสองประโยคสิ ข้าจะได้เอาไปโอ้อวดพวกเพื่อนในโรงเรียน”
กู้ช่านตอบอย่างขอไปทีว่า “ตาเฒ่าอยู่บ้านฝั่งตะวันออกป้องกันเสือทุกวัน แต่ไม่ทันระวังปล่อยให้เสือเข้าบ้านมากินเขา เด็กน้อยบ้านฝั่งตะวันตกไม่รู้จักเสือ จึงหยิบลำไม้ไผ่มาไล่เสือเหมือนไล่วัว”
เด็กน้อยพูดอย่างเดือดดาล “ตัวอักษรเยอะขนาดนี้เชียว? เอาน้อยๆ หน่อยสิ แล้วก็ให้มีอำนาจเต็มเปี่ยมด้วย!”
กู้ช่านร้องอ้อหนึ่งที แล้วก็พูดไปอย่างส่งเดชว่า “เด็กหนุ่มลับมีดยามค่ำคืน ป่าวประกาศว่าใครล่วงเกินข้า คนผู้นั้นยืนก็ตาย คุกเข่าก็ตาย”
เจ้าตัวน้อยขมวดคิ้ว “ปราณสังหารเข้มข้นเกินไปแล้ว ข้ากลัวว่าจะถูกคนตี แต่ก็ใช่ว่าจะพูดไม่ได้ คงได้แต่เอาไปพูดกับคนที่วิ่งตามข้าไม่ทันเท่านั้น”
กู้ช่านหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ตบหัวเด็กน้อยไปหนึ่งที “เจ้านี่ฉลาดเหมือนข้าตอนเด็กๆ เลย”
กู้ช่านหยุดเสียงหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “คำพูดระยำเช่นนี้ ฟังไปแล้วก็ลืมมันไปเถอะ ข้าจะสอนเจ้าอีกประโยคหนึ่ง ฟังแล้วดูมีความกล้าหาญมากกว่า”
เด็กน้อยพยักหน้ารับอย่างแรง “รีบพูดมาเลย!”
กู้ช่านพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “บนเตียงเย็นวาบทุกวัน”
เด็กน้อยกล่าวอย่างอับอายจนพานเป็นความโกรธ ยกมือตบลงบนไหล่ของคนผู้นั้น “เจ้าน่ะสิที่ฉี่รดที่นอน!”
กู้ช่านพลันเอ่ยอย่างสงสัย “ใช่แล้ว อาจารย์ไม่ตีเจ้าหรือ? เจ้าไม่ได้ร้องไห้ขี้มูกโป่งกลับบ้านมาทุกวันหรือไร? บอกว่าอาจารย์ผู้เฒ่าคนนั้นเป็นตะพาบเฒ่า ชอบหยิบไม้เรียวมาตีพวกเจ้ามากที่สุด?”
เด็กน้อยยักไหล่ ยิ้มหน้าเป็น “เจ้าคงไม่รู้ล่ะสิ ที่โรงเรียนเปลี่ยนอาจารย์คนใหม่มาสอนแล้ว อาจารย์คนเก่าน่าโมโหยิ่งนัก คนที่เรียนดี เขาไม่เคยด่าไม่เคยดี เอาแต่จับจ้องคนที่เรียนไม่เก่งอย่างพวกเราอยู่ตลอดเวลา แล้วก็ทั้งด่าทั้งตีอยู่นั่นแหละ ราวกับว่าพวกเราไปขโมยของในบ้านเขามาอย่างไรอย่างนั้น ข้าถึงขั้นนึกอยากโตกว่านี้ ไม่ต้องเป็นเด็กนักเรียน พอเริ่มมีเรี่ยวแรงบ้างแล้วจะแอบไปซ้อมเขาสักรอบ ส่วนอาจารย์คนปัจจุบันนี่ ดีมากเลยล่ะ ไม่เคยตีใคร แล้วก็ไม่เคยสนใจพวกเราด้วย ตอนนี้ชีวิตข้าช่างสุขสบายเสียจริง”
กู้ช่านหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ชอบอาจารย์คนปัจจุบันมากกว่าสินะ?”
เด็กน้อยอึ้งตะลึงไปพักหนึ่ง “เจ้าคนแซ่กู้ วันนี้ตอนออกมาจากบ้าน เจ้าถูกประตูหนีบหัวหรือไง? ทำไมถึงได้เอาแต่ถามคำถามโง่ๆ พวกนนี้? หากเปลี่ยนเป็นเจ้าที่ไปเรียนหนังสือในโรงเรียน จะไม่ชอบอาจารย์คนใหม่มากกว่าหรือ? ทุกวันนี้ต่อให้พวกเราเล่นสนุกกันแค่ไหน แต่ขอแค่ไม่ไปรบกวนการเรียนของเด็กดีพวกนั้นก็พอแล้ว อาจารย์คนใหม่ไม่เคยสนใจ อย่าว่าแต่ตีเลย แม้แต่ด่าสักคำก็ไม่เคย ดีจะตายไป!”
กู้ช่านเอนตัวไปด้านหลังเล็กน้อย ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อาจารย์ที่ดูแลแต่เด็กเรียนดี ก็ถือว่าเป็นอาจารย์ที่ดีหรือ? ถ้าอย่างนั้นใต้หล้านี้จะยังต้องการอาจารย์สอนหนังสือไปทำไม?”
เด็กน้อยทอดถอนใจ “เจ้าคนแซ่กู้ สมองเจ้าพังหมดแล้วจริงๆ อันที่จริงนะ เมื่อก่อนข้าก็ยังนึกอยากให้เจ้าได้คู่กับพี่สาวข้า แต่ตอนนี้อย่าดีกว่า ข้าเรียนหนังสือก็ไม่ได้ความแล้ว หากในอนาคตพี่เขยยังไม่เอาไหนอีก วันหน้าจะทำอย่างไร”
กู้ช่านยิ้มเอ่ย “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าตัวเองเรียนหนังสือไม่ได้ความ ข้าว่าเจ้าฉลาดไม่น้อย”
เด็กน้อยทำไหล่ลู่คอตก “ไม่เพียงแต่อาจารย์ใหม่ตอนนี้ แม้แต่อาจารย์คนก่อนก็ยังบอกว่าหากข้ายังเกเรซุกซุนเช่นนี้ ก็คงไม่มีทางได้ดิบได้ดีไปชั่วชีวิต ทุกครั้งที่อาจารย์ผู้เฒ่าด่าข้าหนึ่งครั้ง ไม้บรรทัดก็จะฟาดลงบนมือข้าหนึ่งที แล้วเวลาตีข้าน่ะ เขาใส่แรงมากที่สุดเลย ข้าล่ะเกลียดเขาจะตายอยู่แล้ว”
กู้ช่านลูบศีรษะของเด็กน้อย “เมื่อเติบใหญ่แล้ว หากพบเจอกับอาจารย์ทั้งสองในตรอกหรือบนถนน อาจารย์คนใหม่ เจ้าจะไม่สนใจเขาก็ได้ เพราะถึงอย่างไรเขาก็แค่รับเงินแล้วทำงานไปตามหน้าที่เท่านั้น ไม่ถือว่าเป็นอาจารย์สอนหนังสือที่แท้จริง แต่หากเจอกับอาจารย์คนเก่าผู้นั้น เจ้าจะต้องเรียกเขาคำหนึ่งว่าท่านอาจารย์”
เด็กน้อยพลันเงยหน้าขึ้น พูดอย่างเดือดดาลว่า “อาศัยอะไร! ข้าไม่ทำ!”
กู้ช่านแหงนหน้ามองท้องฟ้า “ก็อาศัยข้อที่ว่า อาจารย์ท่านนี้ยังคงมีความหวังต่อตัวเจ้า”
เด็กน้อยฟังด้วยความสับสนไม่เข้าใจ อดกลั้นอยู่นาน สุดท้ายก็ถามหยั่งเชิงว่า “เจ้าเองก็เคยถูกอาจารย์ที่นิสัยแย่ตีแรงๆ มาก่อนหรือ?”
กู้ช่านพยักหน้ารับ เอ่ยเสียงเบาว่า “แต่ว่าเขานิสัยดีมาก”
เด็กน้อยจุ๊ปากพูด “น่าสงสาร น่าสงสารจริงๆ ไม่ได้ดีไปกว่าข้าสักเท่าไรเลย หึ แต่ข้ายังดีกว่าเจ้าหน่อย อาจารย์คนเก่าไม่อยู่แล้ว อาจารย์คนใหม่ก็ไม่ตีใคร”
เด็กน้อยลุกขึ้นยืน เช็ดใบหน้าลวกๆ แล้วแอบป้ายไปบนไหล่ของกู้ช่าน ก่อนจะวิ่งตะบึงหนีไป
กู้ช่านหันหน้าไปมอง ล้วนมีแต่คราบน้ำมูกของเจ้าลูกกระต่ายผู้นั้น
กู้ช่านสะบัดอาภรณ์อย่างเงียบเชียบ สลายร่องรอยเหล่านั้นทิ้งไป
เขาลุกขึ้นยืน เดินกลับเข้าไปในเรือน พอปิดประตูลงแล้วก็เอาพัดไม้ไผ่เหน็บไว้ตรงเอว
คนหลายคนล้วนสมควรตาย อีกทั้งวันหน้าจำนวนคนเหล่านี้ก็มีแต่จะมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก่อนที่จะทำเช่นนั้นได้กู้ช่านต้องมีชีวิตอยู่ก่อน วันหน้าจะใช้การทำความดีมาสะสมกองกำลัง เสริมด้วยวิธีการควบคุมใจคนหลากหลายรูปแบบ แล้วค่อยใช้กฎเกณฑ์มาฆ่าคน แม้ว่าจะไม่ค่อยสะใจเท่าไร แต่เขาจะยังพูดอะไรได้อีกเล่า? เรื่องดีข้าก็ทำ คนเลวข้าก็สังหาร อีกอย่างยังฆ่าอย่างที่เจ้าเฉินผิงอันไม่อาจหาข้อตำหนิใดๆ ได้อีกด้วย!
กู้ช่านเอนหลังพิงประตูห้อง
เขาก็แค่รู้สึกเสียใจเล็กน้อย
เพราะที่แท้เจ้าเด็กขี้มูกยืดในตรอกหนีผิงคนนั้นก็ตายไปแล้วจริงๆ
ในใจของเฉินผิงอัน ในใจของกู้ช่าน ล้วนตายไปแล้ว
แต่ความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้กู้ช่านเสียใจมากที่สุด
นั่นคือตนไม่เคยเปลี่ยนไปเลย
แต่เฉินผิงอันกลับไม่ใช่เด็กหนุ่มรองเท้าสานของตรอกหนีผิงผู้นั้นอีกแล้ว เป็นเขาเฉินผิงอันที่เปลี่ยนไปจากเดิมมาก
ไม่ว่าจะอย่างไร ไม่ว่าใครกันแน่ที่เปลี่ยนไป
กู้ช่าน
ช่าน
หยกงามส่องประกาย (อักษรช่าน 璨 ในชื่อกู้ช่าน สามารถแยกตัวอักษรออกมาได้อีกสามคำ เป็นความหมายว่าหยกที่ส่องประกาย) ที่คนผู้นั้นคาดหวังอย่างถึงที่สุด
ไม่มีทางมีได้อีกตลอดกาล
เสียงเปิดประตูห้องดังขึ้น
กู้ช่านพลันปลดพัดพับลงมาแล้วคลี่ออก ใช้มันปกปิดใบหน้า
ครู่หนึ่งต่อมา กู้ช่านก็หุบพัดลง คลี่ยิ้มกว้างสดใส เอ่ยทักทายว่า “เจิงเย่”
เจิงเย่ยิ้มเกาหัว อืมรับหนึ่งที
แต่แท้จริงแล้วทั้งหน้าผากและฝ่ามือล้วนเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ
กู้ช่านเดินเข้าไปในห้องหลัก ไปอ่านหนังสือต่อ
—-