บทที่ 536.1 ว่าวบนท้องฟ้ามีความแตกต่าง

กระบี่จงมา! Sword of Coming

บนเกาะกงหลิ่ว เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง แต่กลับยังคงมีต้นหลิวต้นหยางเคียงคู่

เกาะแห่งนี้คือภูเขาอันเป็นที่ตั้งของสำนักเจินจิ้ง ซึ่งก็คือภูเขาที่สร้างศาลบรรพจารย์ขึ้นมา

ทั่วทั้งทะเลสาบซูเจี่ยน หรือแม้แต่เกาะกงหลิ่วเอง หนึ่งปีที่ผ่านมานี้มีงานก่อสร้าง ฝุ่นผงปลิวคลุ้งมืดฟ้ามัวดินอยู่ตลอดเวลา สำนักเจินจิ้งที่ใช้จ่ายเงินมือเติบจ้างอาจารย์กลไกของสำนักโม่ นักสำรวจภูมิศาสตร์หยินหยางจำนวนมากให้มาตรวจสอบที่ดิน ยืนยันโชคชะตาน้ำรากภูเขาของที่แห่งนี้ให้แน่ชัด และยังมีเซียนซือของหลายสำนักซึ่งรวมนักกสิกรรมเป็นหนึ่งในนั้น บวกกับช่างบนภูเขาอีกมากมายถูกจ้างให้มาทำงานที่นี่ หากใช้คำพูดของเจียงซ่างเจินก็คือ อย่าได้ประหยัดเงินเทพเซียนให้ข้าเด็ดขาด ก้อนอิฐทุกก้อน ฉลุหน้าต่างทุกบาน สวนดอกไม้ทุกแห่งของที่แห่งนี้ ล้วนต้องใช้ของที่ดีที่สุดของแจกันสมบัติทวีป

อีกทั้งผู้ฝึกตนที่เชี่ยวชาญด้านการสร้างจวนตระกูลเซียนเหล่านั้นยังมีจำนวนหลายร้อยคน ส่วนใหญ่ล้วนมาจากใบถงทวีป ลำพังแค่เรื่องให้คนที่จ้างมานั่งเรือข้ามฟากไปกลับข้ามทวีป รวมไปถึงค่าเข้าพักโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนที่สำนักเจินจิ้งออกค่าใช้จ่ายให้หมดตั้งแต่ต้นจนจบ เพียงแค่การใช้จ่ายเงินเทพเซียนในเรื่องนี้ก็มากพอจะทำให้เกาะมากมายในทะเลสาบซูเจี่ยนต้องควักทรัพย์สินทั้งหมดที่มีออกมาใช้ภายในค่ำคืนเดียวแล้ว

เป็นเหตุให้ตระกูลเซียนบนภูเขาของแจกันสมบัติทวีปทั้งหมดล้วนรับรู้เรื่องที่สอง นั่นคือสำนักเจินจิ้งมีเงินมากจนคนขนหัวชี้ชันด้วยความโกรธ

ส่วนเรื่องแรกนั้นก็แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องที่สำนักเจินจิ้งมีผู้ถวายงานห้าขอบเขตบนสามคนครึ่ง

คนหนึ่งคือเซียนกระบี่หญิงนามว่าลี่ไฉ่ที่มาจากอุตรกุรุทวีป ผู้เฒ่าสำนักกุยหยกที่เดิมทีมีความหวังว่าจะได้เป็นเจ้าสำนักเจินจิ้ง หลิวเหล่าเฉิงขอบเขตหยกดิบ และสกัดคงคาเจินจวินแห่งเกาะชิงเสียที่เป็นขอบเขตหยกดิบครึ่งตัว

ตอนนี้หลิวจื้อเม่าเริ่มปิดด่านแล้ว

ดังนั้นช่วงนี้เกาะโดยรอบเกาะกงหลิ่วทั้งหมดจึงปิดภูเขา

มีคนสองคนเดินเลียบริมฝั่งที่ต้นหลิวต้นหยางขึ้นเรียงรายไปช้าๆ เจ้าสำนักเจียงซ่างเจิน ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งหลิวเหล่าเฉิง

เจียงซ่างเจินหักกิ่งหลิวลงมาถักเป็นมงกุฎแล้วสวมครอบไว้บนศีรษะตัวเอง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หวนนึกถึงยามเข้าร่วมทัพในคราแรก ใช่มั้ย พี่ใหญ่หลิว” (มาจากประโยคหวนนึกถึงยามเข้าร่วมทัพในคราแรก ต้นหลิวต้นหยางพลิ้วไหวโชยอ่อนไปตามสายลม)

หลิวเหล่าเฉิงไม่ได้เอ่ยอะไร

เจียงซ่างเจินเป็นบุรุษที่ประหลาดอย่างมาก เขามีวิธีการที่อำมหิตนองเลือด เชี่ยวชาญการซ่อนมีดไว้ภายใต้รอยยิ้ม แต่ให้ความเคารพกฎเกณฑ์เป็นที่สุด ความรู้สึกเช่นนี้ไม่ได้มาจากคำพูดของเจียงซ่างเจินเอง แต่เป็นเพราะการกระทำทุกอย่างของเจียงซ่างเจินที่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนซึ่งถูกเลือกให้เป็นที่ตั้งของสำนักเบื้องล่างสำนักกุยหยกแห่งนี้ที่เป็นการอธิบายหลักการเหตุผลนี้แก่ผู้ฝึกตนในสำนักทุกคน แน่นอนว่ากฎเกณฑ์ที่เจียงซ่างเจินตั้งขึ้นมีจุดที่ไม่เห็นใจผู้อื่นอยู่มากมาย

ด้วยเรื่องนี้กวนอี้หรานแม่ทัพกองทัพม้าเหล็กต้าหลีที่มาปักหลักเคยได้สื่อสารพูดคุยกับสำนักเจินจิ้งอยู่หลายครั้ง หลี่ฝูฉวีผู้ถวายงานก่อกำเนิดมักจะไปทะเลาะกับจวนแม่ทัพเป็นประจำ ทั้งสองฝ่ายโต้เถียงกันหน้าดำหน้าแดง ทุบโต๊ะถลึงตา ยังดีที่ทะเลาะก็ส่วนทะเลาะ ไม่ได้ลงมือกันจริงจัง

ไม่ใช่ว่าหลี่ฝูฉวีนิสัยดีอะไร แต่เป็นเพราะเจียงซ่างเจินเคยเตือนสตรีผู้ถวายงานที่คล้ายกับเป็นหน้าเป็นตาภายนอกให้แก่สำนักเจินจิ้งผู้นี้ว่า ชีวิตของเจ้าหลี่ฝูฉวีไม่มีค่า หน้าตาของสำนักเจินจิ้ง…ก็ไม่มีค่า ใต้หล้านี้สิ่งที่มีค่าอย่างแท้จริง มีเพียงเงินเท่านั้น

ประโยค ‘หวนนึกถึงยามเข้าร่วมทัพในคราแรก’ ที่เจียงซ่างเจินเอ่ยออกมาจากความรู้สึกก่อนหน้านี้ อันที่จริงความหมายก็เรียบง่ายมาก ในเมื่อข้ายินดีพูดเรื่องนี้ต่อหน้าเจ้า ก็หมายความว่าถึงแม้ข้าเจียงซ่างเจินจะรู้เรื่องความรักความแค้นในอดีตของเจ้าหลิวเหล่าเฉิง แต่เจ้าหลิวเหล่าเฉิงสามารถวางใจได้เลย ข้าไม่มีทางใช้อุบายใดๆ ที่จะทำให้เจ้าคับแค้นสะอิดสะเอียนเด็ดขาด

หลิวเหล่าเฉิงเองก็ไม่เกรงใจ เขาวางใจได้จริงๆ

ส่วนหลิวจื้อเม่านั้น หากฝ่าทะลุขอบเขตได้สำเร็จ ผู้ถวายงานห้าขอบเขตบนของสำนักเจินจิ้งก็จะเปลี่ยนมาเป็นสามคน

เพราะยอดฝีมือสำนักกุยหยก หรือจะพูดให้ถูกก็คือผู้เฒ่าจากสำนักใบถงที่ป่าวประกาศแก่โลกภายนอกว่าปิดด่านผู้นั้น อันที่จริงได้ตายจนตายไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว

ตอนนั้นทำท่าว่าเป็นการล้อมสังหารของคนสี่คนที่ร่วมมือกัน แต่คนที่ลงมือจริงๆ กลับมีแค่สองคน

หลิวเหล่าเฉิงกับหลิวจื้อเม่าแค่รับหน้าที่คุมท้ายขบวน หรือควรจะพูดว่ารับหน้าที่คอยดูงิ้ว

เชือดไก่ให้ลิงดู

เกิดขึ้นที่เกาะกงหลิ่วแห่งนี้

ลี่ไฉ่และเจียงซ่างเจิน คนหนึ่งชักกระบี่ออกจากฝัก อีกคนหนึ่งเรียกใบหลิวออกมา ตาเฒ่าที่พกพาอาวุธหนักของสำนักใบถงหันมาสวามิภักดิ์ต่อสำนักกุยหยกผู้นั้น พอเห็นหน้าลี่ไฉ่ก็ไม่เหลือแม้แต่ความคิดจะให้เจ้าคนบ้าอย่างเจียงซ่างเจินพินาศวอดวายไปพร้อมกันอีกแล้ว น่าเสียดายที่เขาอยากหนีแต่หนีไม่สำเร็จ ดังนั้นจึงตายไป

สู้กันอย่างไม่มีความระทึกชวนตื่นเต้นเลยแม้แต่น้อย แม้แต่ผู้ฝึกตนหลายคนบนเกาะกงหลิ่วก็ยังสัมผัสได้เพียงภาพปรากฎการณ์แปลกประหลาดแค่วูบเดียว จากนั้นฟ้าดินก็เงียบสงัด ลมพัดโชยเอื่อย แสงจันทร์กระจ่างสว่าง

เจียงซ่างเจินพลันเอ่ยขึ้นว่า “วันหน้าหากเจอกับนักพรตของสำนักโองการเทพ บอกให้ลูกศิษย์ของสำนักเจินจิ้งข้า ให้ความเคารพพวกเขาสักหน่อย เจียมตัวกันเข้าไว้ ไม่ว่าถูกหรือผิด ขอแค่เกิดการปะทะกัน ถูกคนฆ่าตาย ไม่ว่าจะเป็นใคร สำนักเจินจิ้งจะทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น หากไม่ทันระวังไปฆ่าอีกฝ่ายให้ตาย ศาลบรรพจารย์สำนักเจินจิ้งก็จะตัดหัวของวีรบุรุษชายชาตรีผู้นั้นอย่างไม่มีข้อยกเว้น แล้วให้หลี่ฝูฉวีส่งไปยังสำนักโองการเทพเพื่อขอขมา”

หลิวเหล่าเฉิงพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว”

เจียงซ่างเจินยิ้ม “ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรใช่ไหม?”

หลิวเหล่าเฉิงส่ายหน้า

ไม่ยากที่จะเข้าใจ

ต้นไม้ใหญ่เรียกลม เป็นเป้าของฝูงชน

สำนักเจินจิ้งไม่มีความสัมพันธ์ควันธูปใดๆ ในแจกันสมบัติทวีป มองดูเหมือนมีหน้ามีตาอย่างถึงที่สุด แต่อันที่จริงล้วนมีศัตรูอยู่ทุกหนแห่ง ยกตัวอย่างเช่นกองทัพม้าเหล็กต้าหลี

แต่เข้าใจก็ส่วนเข้าใจ การที่เจ้าสำนักหนุ่มอย่างเจียงซ่างเจินยอมก้มหัวให้ถึงขั้นนี้ หลิวเหล่าเฉิงอดเลื่อมใสเขาไม่ได้

เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่ในมือได้ครอบครองพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาผู้นี้ใช้วิธีการที่ป่าเถื่อนไร้พันธนาการยิ่งกว่าผู้ฝึกตนอิสระเสียอีก

เจียงซ่างเจินถอนหายใจ “ตอนนี้สภาพการณ์ของข้า หรืออันที่จริงก็คือสภาพการณ์ของเจ้ากับหลิวจื้อเม่า ทั้งต้องทำตัวเองให้แข็งแกร่ง สะสมกองกำลังที่แท้จริง แล้วก็ทั้งต้องทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าสามารถควบคุมได้ด้วย ก็แค่ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วสกุลซ่งต้าหลีจะผลักใครออกมางัดข้อกับสำนักเจินจิ้งของพวกเรา แจกันสมบัติทวีปไม่ว่าอะไรก็ดีหมด มีแค่เรื่องนี้ที่ไม่ดี สกุลซ่งคือเจ้าของทั้งทวีป ราชวงศ์ในโลกมนุษย์แห่งหนึ่งกลับมีหวังว่าจะควบคุมบนภูเขาล่างภูเขาได้อย่างสิ้นเชิง หากเปลี่ยนมาเป็นใบถงทวีปของพวกเรา ฟ้าสูงฮ่องเต้เล็ก ผู้ฝึกตนบนภูเขาก็คือคนที่มีอิสระเสรีอย่างแท้จริง”

หลิวเหล่าเฉิงยิ้มเอ่ย “อันที่จริงเมื่อก่อนทะเลสาบซูเจี่ยนก็เป็นเช่นนี้ กษัตริย์ อ๋องและขุนนางของแคว้นทั้งหลายรอบด้าน ทุกคนต่างก็ตกอยู่ในอันตราย”

เจียงซ่างเจินส่ายหน้า “ไม่เหมือนกัน สถานที่ไร้กฎหมายอย่างทะเลสาบซูเจี่ยนนี้ ค่อนข้างคล้ายคลึงกับสถานที่เปลี่ยวร้างกันดารในยุคบรรพกาลอันห่างไกล ปีศาจนับหมื่นบนโลกสามารถทำตัวกำเริบเสิบสานแค่ไหนก็ได้ องค์เทพบนสวรรค์กินควันธูปในโลกมนุษย์เป็นอาหาร ส่วนเผ่าปีศาจบนพื้นดินก็กินคนเป็นอาหาร ดังนั้นถึงได้มีการแบ่งแยกฟ้าดินของอริยะผู้มีคุณธรรม ตัวอยู่ท่ามกลางโชคแต่ไม่รู้ว่ามีโชค ไม่ใช่ว่ามีเพียงคนโง่ถึงจะเป็นเช่นนี้ ในความเป็นจริงแล้วพวกเราทุกคนต่างก็แทบไม่ใช่ข้อยกเว้น”

เจียงซ่างเจินสาวเท้าเดินเนิบช้า “ตอนนี้ชาวบ้านในใต้หล้าไพศาลของพวกเรา พดถึงพวกสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำ ภูตต้นไม้ดอกไม้ ภูตตัวประหลาดทั้งหลาย ผีและวัตถุหยินว่าอะไร? บอกว่าพวกมันอยู่ในสถานที่มืดสลัวห่างไกลไปสุดขอบฟ้า อยู่ในทะเลสาบหนองบึงในผืนป่าที่ไร้เงาผู้คน ต่อให้จะมีพวกที่อยู่ใกล้กับโลกมนุษย์ พวกที่อยู่ร่วมกับพวกเรา แต่ก็ยังคงถูกกฎเกณฑ์ที่ยิบย่อยอย่างถึงที่สุดพันธนาการเอาไว้ ดังนั้นจึงมีคำกล่าวที่ว่าที่ใดมีปีศาจออกอาละวาด ก็คือสถานที่ที่เทียนซือออกกระบี่ ในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดล้วนมียันต์ไม้ท้อ ภาพเทพทวารบาล ศาลบรรพชนที่ควันธูปลอยกรุ่นอยู่ทุกหนทุกแห่ง สามารถไปวัดวาอารามเพื่อขอพร ขอให้พ้นจากทุกข์ภัย มีการขึ้นภูเขาไปพบปะเซียน มีโชควาสนาในแบบต่างๆ”

เจียงซ่างเจินหยุดเดิน กวาดตามองรอบด้าน แล้วจึงปลดมงกุฎกิ่งหลิวโยนทิ้งไปในทะเลสาบ “ถ้าอย่างนั้นหากมีวันหนึ่ง มนุษย์อย่างพวกเรา ไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดาหรือผู้ฝึกตน ล้วนจำต้องสลับสับเปลี่ยนตำแหน่งกับพวกมัน จะมีสภาพการณ์แบบไหน? เจ้ากลัวหรือไม่? แต่ข้าเจียงซ่างเจินกลับกลัวมาก”

หลิวเหล่าเฉิงเอ่ย “ข้าไม่มีทางคิดเรื่องพวกนี้”

เจียงซ่างเจินพยักหน้ารับ “ไม่เป็นไร เพราะมีคนที่จะคิด ดังนั้นเจ้าและหลิวจื้อเม่าจึงสามารถวางอยู่ตัวนอกเรื่องราวได้เต็มที่ ตั้งใจฝึกตนของตัวเองไป เพราะต่อให้วันหน้าจะเกิดฟ้าดินพลิกคว่ำ พวกเจ้าก็ยังสามารถหลบพ้นหายนะไม่ต้องตาย ขอบเขตสูงมากพอก็ย่อมมีทางถอยและทางรอดให้แก่พวกเจ้า และไม่ว่าวิถีทางโลกจะย่ำแย่แค่ไหน ก็ดูเหมือนว่ามักจะมีคนที่คอยช่วยโอบอุ้มเจ้ากับหลิวเหล่าเฉิงอยู่เสมอ พวกเจ้าเกิดมาก็เพื่อนอนเสวยสุข อืม ก็เหมือนข้า ยืนก็มีเงิน นอนก็ยังมีเงิน”

หลิวเหล่าเฉิงขมวดคิ้ว

เจียงซ่างเจินถามด้วยรอยยิ้ม “แต่ถ้าหากผู้ฝึกตนบนยอดเขาทุกคนต่างก็คิดเหมือนเจ้าหลิวเหล่าเฉิงเล่า?”

หลิวเหล่าเฉิงส่ายหน้า “ไม่มีทาง”

เจียงซ่างเจินเกาหัว พูดอย่างสะท้อนใจว่า “ดังนั้นนี่ก็คือจุดที่น่าสนุกมากที่สุด เรื่องดีทุกอย่าง พวกเรามองเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน ไหนเลยจะต้องพูดให้มากคิดให้มาก แต่เรื่องที่ไม่ดี พวกเรากลับเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน สามารถคิดถึงได้เป็นนาน”

หลิวเหล่าเฉิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเจ้าสำนักผู้นี้พูดเรื่องเหล่านี้กับตนด้วยจุดประสงค์ใด

เจียงซ่างเจินกลับเปลี่ยนหัวข้อเสียแล้ว ท่าทีของเขาผ่อนคลาย ไม่เหลืออารมณ์ประหลาดอย่างก่อนหน้านี้อีก ฝีเท้าก็แผ่วเบา “ในนิยายยุทธภพบอกไว้ว่า สหายของวีรบุรุษต่างก็เป็นคนดีที่ทำเรื่องดี ต่อให้ตายไปแล้วก็ยังตายอย่างมีค่า ในนิยายเรื่องเล่าประหลาดเทพเซียนบอกไว้ว่า จิตใจมนุษย์ขึ้นๆ ลงๆ มีผีร้ายคอยเดินวนเวียน ไม่ว่าจะทำดีหรือทำชั่วล้วนมีผลตอบแทน หลิวเหล่าเฉิง เจ้าเคยอ่านหนังสือเบ็ดเตล็ดพวกนี้ไหม?”

หลิวเหล่าเฉิงส่ายหน้า “ไม่เคยอ่าน”

เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “ดังนั้นถึงได้บอกว่าต้องอ่านหนังสือให้มากๆ อย่างไรเล่า”

หลิวเหล่าเฉิงรู้ว่าเจ้าสำนักท่านนี้กำลังล้อเล่น ดังนั้นจึงไม่เก็บมาคิดเป็นจริงเป็นจัง

เจ้าสำนักท่านนี้อยู่ว่างงานอย่างน่าเบื่อหน่ายทุกวัน นอกจากการฝึกตนแล้วก็มักจะร่ายใช้เวทอำพรางตาไปเดินเที่ยวเตร็ดเตร่อยู่ในสี่นครใหญ่ริมทะเลสาบซูเจี่ยน ทุกครั้งที่กลับมาจะต้องซื้อของเล่นมาให้เด็กที่เซียนกระบี่ลี่ไฉ่ผู้นั้นเป็นคนอุ้มมาเสมอ เขาหยอกเล่นกับเด็กคนนั้น สอนให้เด็กคนนั้นหัดเดิน เจียงซ่างเจินสามารถใช้เวลานานๆ ไปกับเรื่องพวกนี้ บางครั้งแม้แต่หลิวเหล่าเฉิงก็ยังอดอัดอั้นไม่ได้ สรุปแล้วเป็นเพราะนิสัยที่คนคาดเดาไม่ถูกเช่นนั้นของเจียงซ่างเจินที่ทำให้เขาเดินทีละก้าวจนมาถึงตำแหน่งสูงอย่างในทุกวันนี้ หรือว่าเป็นเพราะหลังจากที่อยู่ในตำแหน่งสูงแล้ว จิตใจดั้งเดิมและนิสัยเริ่มค่อยๆ แปรเปลี่ยน ถึงได้มีเจ้าสำนักเจินจิ้งอย่างในทุกวันนี้กันแน่

—-