หลังจากได้ฟังคำกล่าวของหวังเป่าเล่อ สติของอู๋น้อยก็ตื่นตัวขึ้น แต่กลับดูเศร้าสร้อย
“เหตุใดท่านพ่อต้องเกรงใจเช่นนี้ อย่าได้ทำแบบนี้เลย ข้าไม่ใช่คนนอก สามารถแบ่งเบาความทุกข์ของท่านพ่อ เป็นอิฐก้อนเล็กๆ ในการฝึกตนขั้นสูงสุดของท่านพ่อได้ นี่นับเป็นเกียรติของอู๋น้อย วาสนาของอู๋น้อย สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่อู่น้อยถวิลหา”
“ดังนั้น ท่านพ่อ อู๋น้อยวิงวอนท่าน มอบเรื่องนี้ให้อู๋น้อยสำหรับท่าน อาจไม่เป็นสิ่งสำคัญ แต่สำหรับอู๋น้อยแล้ว กลับเป็นโอกาสที่ปราถนามาทั้งชีวิต ให้ลูกได้แสดงความกตัญญูต่อท่านพ่อด้วยเถิด” สีหน้าอู๋น้อยจริงจัง สายตาแฝงความกระตือรือร้น แม้แต่ลาน้อยที่ได้ฟังคำกล่าวนี้ก็ยังรู้สึกเลี่ยน แต่จากปากอู๋น้อย กลับดูเหมือนเช่นเดียวกับสัจธรรม ราวกับผู้ถูกวิเคราะห์ไม่ใช่เขา…
กระทั่งทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่า หากหวังเป่าเล่อไม่ยินยอม เช่นนั้นก็เป็นความอัปยศอันยิ่งใหญ่รวมทั้งเป็นการโจมตีอย่างหนักจนน่าวิตกสำหรับอู๋น้อย
แท้จริงแล้วปณิธานของอู๋น้อยเข้าใจได้ไม่ยาก เขา…รู้สึกไม่มั่นคงมากเกินไป ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่เหยียบเข้าสู่วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายก่อนกาลเวลาไม่สิ้นสุด เมื่อตื่นขึ้นมาก็จะพบว่าตนอยู่ในโลกที่แปลกไป ล้วนเป็นเช่นนี้
ในความคิดของเขา ตนต้องเป็นผู้ที่มีประโยชน์ มีเพียงเช่นนี้เท่านั้น จึงจะไม่ตกหล่น และไม่กลายเป็นเถ้าที่หลงเหลือ ดังนั้นเวลานี้ความจริงใจของเขาจึงสะเทือนฟ้า ความปราถนาของเขาสะเทือนดิน แววตาดูราวกับดารานิรันดร์ สามารถหลอมละลายความเย็นเยือกทั้งหมด
หวังเป่าเล่อยังคงหมกมุ่นอยู่ในความสะท้อนใจของอารมณ์ก่อนหน้า เวลานี้เขากะพริบตาปริบๆ มองไปที่อู๋น้อย แล้วดูเจ้าลาน้อยที่คว่ำหน้าอยู่ไกลออกไป ทำท่าราวกับมันคลื่นไส้ ส่งเสียงไอ แล้วยกมือขึ้นมา
อู๋น้อยรีบเร่งเข้ามา นำศีรษะของตนตรงไปที่มือหวังเป่าเล่อ ทำให้หวังเป่าเล่อสัมผัสกับศีรษะของเขาได้เลย
“เอาเถอะ…” หวังเป่าเล่อเอ่ยปากอย่างลังเล
“ขอบคุณท่านพ่อ!” อู่น้อยสีหน้าเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ คล้ายกับเกรงว่าหวังเป่าเล่อจะเปลี่ยนใจ จึงนั่งขัดสมาธิลงทันที ดวงตาฉายแววเชื่อฟัง ราวกับทุกห้วงเวลา ไม่ว่าหวังเป่าเล่อจะให้เขาทำอะไร เขาจะรีบไปทำให้สำเร็จโดยไม่ลังเล
เหตุการณ์นี้ หลังจากดูเจ้าลาน้อยคลื่นไส้อยู่นาน ฉับพลันก็รู้สึกขนหัวลุก ในความเลือนรางคล้ายกับรับรู้ได้ถึงวิกฤตที่รุนแรงวูบหนึ่ง นี่ทำให้เจ้าลาน้อยในตอนนี้ตื่นตัวอย่างยิ่ง ดูเหมือน…มีลางสังหรณ์บางอย่างของสถานะที่ไม่มั่นคง มันรีบวิ่งไปตรงหน้าหวังเป่าเล่อ เยี่ยงอย่างอู๋น้อยที่นั่งอยู่ตรงนั้น แม้แต่สภาพจิตใจก็เป็นเช่นเดียวกัน อยู่ๆ ก็ตะโกนขึ้น
“อียอวว อียอวว”
หวังเป่าเล่อฟังแล้วหงุดหงิด พอสะบัดแขนเสื้อ เจ้าลาน้อยก็ถูกกระเด็นไปไกล เขาไม่ได้ไปสนใจเจ้าลาน้อยที่หล่นไปด้วยสีหน้าบึ้งตึง แต่หันมองไปทางอู๋น้อย
“สำแดงพลังเทพของเจ้าออกมา”
อู๋น้อยรีบกวาดตามองไปไกลทางเจ้าลาน้อยที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม แอบยินดีอยู่ในใจ พอใจในการตอบสนองที่ว่องไวของตนเอง รู้สึกว่าคลื่นระลอกนี้ของตนจะอยู่ในใจของบิดา นับว่ามั่นคงอย่างสมบูรณ์แล้ว หลังจากได้ฟังคำกล่าวของหวังเป่าเล่อ เขารีบเก็บสัมผัสสวรรค์ไว้แน่น กระจายมันบนร่างตนเองไปข้างหน้าอย่างเต็มกำลัง หลังจากวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายออกมา ก็ประกอบไปด้วยกฎพิเศษ
กฎนี้ไม่ได้เป็นของจักรวาลผืนนี้ แม้กระทั่งไม่ได้เป็นของบ้านเกิดของเขา มาได้เช่นไร เขาเองก็ไม่ชัดเจนัก แต่เขาสามารถรับรู้ได้ในระดับหนึ่งว่า กฎนี้นับว่าประกอบด้วยร่างที่ไม่แตกดับ
กล่าวให้ชัดก็คือ เวลานี้สิ่งที่อยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อ ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นตัวตนที่แท้จริง…ส่วนรูปแบบเฉพาะเช่นไร อู๋น้อยรู้ว่า หากตนเองกระจายวิถีเต๋านี้ทั้งหมด ท่านพ่อต้องยิ่งชัดเจนและเข้าใจกว่าตนเอง
อู๋น้อยจึงสูดหายใจเข้าลึก แล้วกระจายวิถีเต๋านี้บนร่างอย่างเต็มกำลัง รอบด้านค่อยๆ ปรากฏลมไปตามการกระจายของเขา…ลมที่ไม่มีอยู่จริง แต่ในความรู้สึก น่าประหลาดที่ลมได้พัดผ่านมาจริงๆ
นั่นคือลมแห่งเต๋าที่เส้นผมไม่แม้แต่จะขยับ แต่จิตใจกลับเคลื่อนไหว
ในขณะที่ลมแห่งเต๋านี้ปรากฏ ความว่างเปล่ารอบตัวก็ปรากฏระลอกบางอย่างที่มองไม่เห็น ซึ่งกระตุ้นให้กาลเวลาของโลกไหลผ่าน และรอบตัวเขายังปรากฏเงาแห่งซากที่ไม่สมบูรณ์บางอย่าง
นั่นคือเงาร่างที่เคยมีอยู่ในตำแหน่งนี้ เป็นเวลานานแสนนานก่อนหน้านั้น…
หวังเป่าเล่อมองเหตุการณ์นี้ด้วยความตระหนก ดวงตาส่องประกาย กระแสเต๋ากระจายออกมาอย่างเต็มกำลัง ครอบคลุมไปรอบตัวอู๋น้อย สัมผัสเข้ากับกฎเต๋าที่กระจายอยู่บนร่างอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง
ขณะเดียวกันดาวเคราะห์เจ้าชะตาของเขา ก็มุ่งหน้าไปเต็มกำลัง ระเบิดการโคจรจนถึงขีดสุด เพื่อไปพิมพ์ประทับกฎเต๋านี้ แต่เห็นชัดว่าคุณลักษณะของกฎนี้สูงเกินไป แม้หวังเป่าเล่อสามารถเชื่อมต่อและสัมผัสได้ชั่วขณะหนึ่ง แต่หากคิดต้องการพิมพ์เป็นกฎของตนเอง แม้ด้วยระดับการฝึกตนของหวังเป่าเล่อตอนนี้ ก็ไม่มีทางทำได้ในเวลาอันสั้น
ทว่า หวังเป่าเล่อไม่รีบร้อน อู๋น้อยเองก็ไม่รีบร้อน เป็นเช่นนี้ เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ชีวิตหวังเป่าเล่อเรียบง่ายกว่าเมื่อก่อนมากนัก โดยพื้นฐานแล้วเขาได้แยกร่างอวตารของตนให้คอยดูแลอยู่ข้างบิดามารดา ก็เป็นเหมือนบุตรธรรมดาผู้หนึ่ง บางครั้งก็ดูแลเจ้าเยี่ยเหมิงและโจวเสี่ยวหยา
ส่วนร่างธรรมของเขา เวลานี้นั่งขัดสมาธิอยู่ในท้องฟ้าที่นอกระบบสุริยะ ครอบคลุมไปทุกสารทิศ ขัดขวางทุกสิ่ง และในเวลานี้ร่างของเขาถือสันโดษกับอู๋น้อยด้วยกันนานนับเดือนแล้ว
ด้วยความเบื่อของเจ้าลาน้อย ไม่รู้ว่ามันคิดเช่นไร หนีจากสถานที่ที่หวังเป่าเล่อถือสันโดษไป แล้วไปที่ที่ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อดูแลบิดามารดาอยู่ มันกลายร่างเป็นลูกสุนัข สิ่งใดที่น่ารักก็ทำเช่นนั้น…ทุกวันดูเหมือนพลังงานทั้งหมด ล้วนใช้ไปกับการทำให้บิดามารดาหวังเป่าเล่อสบายใจ…
เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นฉากนี้เข้าก็หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เขารู้สึกว่าลาตัวหนึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นลูกสุนัขโดยไม่คำนึงถึงหน้าตา ขณะเดียวกันยังกระดิกหางทำให้คนรัก ยังสามารถกินอาหารสุนัขได้อย่างเอร็ดอร่อย ทั้งหมดนี้ก็เพียงพอที่จะมองออกว่าการถือสันโดษของอู๋น้อยกับตน กระตุ้นเจ้าลาน้อยเข้าอย่างจัง
และในขณะที่หวังเป่าเล่อถือสันโดษ ชื่อเสียงของสหพันธรัฐก็แผ่ไปทั่วจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย กองกำลังใหญ่น้อยนับไม่ถ้วนต่างก็ทราบ ขณะเดียวกันตระกูลสำนักเขตชายแดนมากมาย เพื่อที่จะเสาะหาความปลอดภัยก็ดี เพื่อหลีกเลี่ยงการต่อสู้ก็ช่าง เริ่มติดต่อกับสหพันธรัฐบ่อยครั้ง หมายจะรวมเข้ากับภายในระบบของสหพันธรัฐโดยไม่คำนึงค่าตอบแทน
เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ หวังเป่าเล่อไม่ได้ไปเข้าร่วม โดยมีอู๋เมิ่งหลิงรวมทั้งหลี่ซิงเหวิน ยังมีปรมาจารย์มหาทัณฑ์รวมทั้งปรมาจารย์ครามทองคำคนเหล่านี้ไปจัดการ ดูแลทุกสิ่งอย่างเป็นระเบียบ กำลังของสหพันธรัฐก็เพิ่มขึ้นทุกวัน สิ่งสำคัญที่สุดคือ…ความเป็นกลางของสหพันธรัฐ ค่อยๆ กลายเป็นเรื่องจริงไปตามกาลเวลา
ตระกูลไม่รู้สิ้นก็ดูราวกับจะไม่เห็นสหพันธรัฐ นอกจากการให้รางวัลในตอนเริ่มต้นแล้ว ก็ไม่มีการกระทำอื่นใด รางวัลนั้นแม้จะแฝงไว้ด้วยการยั่วยุ แต่ตอนนี้เมื่อดูแล้ว ก็ยังรู้สึกรับไม่ได้
สิ่งนี้ทำให้ตระกูลและสำนักนับไม่ถ้วนได้รู้ถึงความยิ่งใหญ่ของสหพันธรัฐ ระหว่างการถือสันโดษของหวังเป่าเล่อมากว่าค่อนปี ตระกูลไม่รู้สิ้นและสำนักแห่งความมืดได้ต่อสู้กันอยู่บ่อยครั้ง ไฟสงครามก้องกังวาน แพร่สะพัดขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งภายในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย ล้วนปรากฏการรุกรานเล็กๆ น้อยๆ แต่ในทางกลับกัน…ระบบสุริยะรวมทั้งท้องฟ้ารอบด้านก็ราวกับเขตหวงห้าม สำนักแห่งความมืดไม่เคยย่ำกรายเข้ามา
ในสายตาตระกูลและสำนักนับไม่ถ้วน บางทีนี่อาจใช้คำว่าบังเอิญมานิยามได้ จนกระทั่งมีอยู่ครั้งหนึ่ง สำนักแห่งความมืดต่อสู้กับตระกูลไม่รู้สิ้น หลังจากรุกรานไปถึงจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายแล้ว เมื่อเข้าใกล้ระบบสุริยะมากแล้ว ขณะที่สำนักแห่งความมืดไล่ติดตามจนไปหยุดอยู่ตรงนั้น พวกมันก็ดูเหมือนลังเลอยู่สักพัก จากนั้นจึงเลือกที่จะจากไป
แต่ก่อนจะจากไป เขาประสานหมัดคำนับไปทางระบบสุริยะ
ฉากนี้ทำให้พวกสำนักตระกูลที่ดูอยู่ทั้งหมดตื่นตะลึง
ด้วยความไม่เข้าใจของตระกูลสำนักต่างๆ เบาะแสต่างๆ เกี่ยวกับหวังเป่าเล่อล้วนถูกรวบรวม กองกำลังแต่ละฝ่ายต่างก็ค่อยๆ ได้คำตอบ
หวังเป่าเล่อปรมาจารย์ของสหพันธรัฐ เคยเป็น…บุตรแห่งความมืดรุ่นก่อน แล้วยังเป็นศิษย์น้องของเฉินชิงจื่อเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืด ทั้งสองมีอาจารย์คนเดียวกัน แต่ด้วยต่างอุดมการณ์ หวังเป่าเล่อจึงละทิ้งสถานะบุตรแห่งความมืด และไม่เข้าร่วมสงคราม
คำตอบนี้ละเอียดเกินไปแล้ว มีผู้แอบได้ยินหรืออาจกล่าวมีผู้มีน้ำใจปล่อยข่าวออกมา แต่ไม่ว่าอย่างไร ด้วยการปรากฏสถานะของหวังเป่าเล่อ ทั้งจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นก็สั่นสะเทือนขึ้นอีกครั้ง
ในการสั่นสะเทือนครั้งนี้ ตระกูลไม่รู้สิ้นยอมรับโดยปริยาย และสหพันธรัฐไม่ได้คัดค้าน ระบบสุริยะกลายเป็นจุดสนใจ…อีกครั้ง
ไม่อาจเมินเฉยได้ เพราะสุดท้ายบางทีที่นี่อาจเป็นที่เดียว ที่จะยืนหยัดอยู่ได้
และในขณะเดียวกัน ในการถือสันโดษที่ยาวนานกว่าครึ่งปี ร่างของหวังเป่าเล่อ หลังจากที่กฎแห่งเต๋าของอู๋น้อยกระจายออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุด…ก็ได้รับผล
“ขึ้นชื่อว่าจันทร์ข้างแรม ย่อมไม่กลมกลืน…”
…………………………