ทั่วทั้งเมืองวิ่นสุ่ยตะลึงไปกับคำถามนี้
นอกหอบรรพชนเงียบงันราวกับป่าช้า
ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็มีคนตื่นขึ้นจากความมึนงง
ถังฮูหยินสะกดความกลัวในดวงตาแล้วเดินไปหาเขาอย่างรวดเร็ว ก่อนยกมือขึ้นตบหน้าเขา
เสียงตบดังก้องนี้จะบรรเทาความโกรธของประมุขผู้เฒ่าหากเขาได้ยินเรื่องนี้หรือไม่
ถังฮูหยินคิดเช่นนี้ กัดฟันตบ ไม่ต้องการให้การตีของนางเบาไปเพราะความเสียใจจนทำให้คนมองเห็นปัญหา นางจึงใช้กำลังรุนแรงจนเหลือเชื่อ
ถังซานสือลิ่วยิ้มให้นาง แต่ไม่หลบเลี่ยง
เสียงตบดังขึ้นเมื่อฝ่ามือของถังฮูหยินฟาดลงบนใบหน้าถังซานสือลิ่ว
แก้มซ้ายของถังซานสือลิ่วบวมแดง แต่เพราะเขาไม่ได้ล้างหน้ามานานหลายวัน ชั้นขี้ไคลจึงบดบังทำให้รอยไม่เด่นชัดเท่าใดนัก
แต่เขายังยิ้มอยู่ รอยยิ้มจริงใจที่ไม่ได้มีความฝืนทำหรือแสดงอารมณ์อันใดออกมา
ถังฮูหยินแข็งทื่อไป น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความสำนึกผิดและตำหนิในยามกล่าว “ทำไมเจ้าไม่หลบ”
“บุตรอกตัญญู ทำให้มารดาเป็นห่วงตั้งครึ่งปี ไม่อาจอยู่ข้างเตียงบิดา ข้าสมควรโดนตบแล้ว”
ถังซานสือลิ่วกอดมารดาและกระซิบ “ท่านแม่ กลับบ้านไปรอข้าก่อน ข้ายังมีบางอย่างต้องทำ”
ในที่สุดก็พบกันหลังจากผ่านไปครึ่งปี ถังฮูหยินไม่ยินยอมอยู่บ้าง กระนั้นนางก็รู้ว่าสังฆราชอยู่ในจวนเก่าและบุตรชายนางจำเป็นต้องทำสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง ดังนั้นนางจึงไม่อาจห้ามเขาได้
“อย่างน้อยก็กลับบ้านไปอาบน้ำกินข้าวก่อน ข้าให้ในครัวเตรียมข้าวผัดไข่ที่เจ้าชอบเอาไว้แล้ว”
ถังฮูหยินมองไปที่ใบหน้าซูบผอมของเขาและกล่าวอย่างปวดใจ
“แม้ว่าข้าจะถูกขังในหอบรรพชนมาครึ่งปี ก็ไม่มีใครกล้าปล่อยให้ข้าอดข้าวอดน้ำ ต่อให้ข้าหิวขึ้นมา บุตรชายของท่านก็ชินกับอาหารจากครัวของจวนเก่าแล้ว”
ถังซานสือลิ่วมองดวงตาของมารดาและยิ้ม “เมื่อข้าเสร็จธุระเรียบร้อยแล้ว ทุกคนจะผ่อนคลายกว่านี้”
กล่าวแล้วเขาก็มองไปที่ฝูงชนบนถนน
ปฏิคม ผู้จัดการและสาวใช้หลายสิบคนของสาขาหลักล้วนยิ้มออกมา
ส่วนพวกสาวใช้และแม่นมที่อยู่ข้างกายเขามาหลายปีเหล่านั้นต่างก็ร้องไห้ออกมาด้วยความยินดี
“พวกเจ้าร้องไห้หาอะไร คิดว่าข้าทำขึ้นจากน้ำจริงๆ หรือ”
เขามองไปที่สาวใช้เหล่านั้นและกล่าว “รีบไปเตรียมน้ำให้คุณชายน้อยของพวกเจ้าอาบ”
คำสั่งนี้ทำให้ผู้จัดการและปฏิคมนึกถึงภาพที่มักเกิดขึ้นในเมืองเวิ่นสุ่ยเมื่อหลายปีก่อน
ภาพนั้นจะเกิดขึ้นอีกครั้งในวันนี้อย่างนั้นหรือ สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นเบิกบานยิ่ง
พวกสาวใช้จากไปอย่างพร้อมเพรียง คนรับใช้ที่คุ้นเคยกับเรื่องนี้นำเอาม้วนผ้าราคาแพงสิบกว่าม้วนออกมาจากรถม้า ยังเอาท่อนไม้ชนิดต่างๆ ออกมาอีกด้วย ในเวลาอันสั้นพวกเขาก็ทำผ้าม่านกั้นพื้นที่รัศมีหลายจั้งขึ้นตรงหน้าหอบรรพชน
สาวใช้ที่มีความสามารถหน่อยได้เคาะหรือไม่ก็ทุบประตูร้านรวงใกล้เคียง เข้าไปเอาน้ำร้อนที่จัดเตรียมเอาไว้ในส่วนผลิตสินค้าด้านหลังออกมา พวกสาวใช้ได้นำเอาถังไม้และอุปกรณ์อาบน้ำออกมาจากรถม้าและตอนนี้กำลังรีบขนพวกมันไปยังพื้นที่ซึ่งกั้นม่านเอาไว้
ถังซานสือลิ่วเดินเข้าไปและเริ่มถอดเสื้อผ้าออกจนหมด
ไอน้ำลอยขึ้น เงาคนเลือนรางทอดลงบนผ้าม่าน เสียงน้ำดังชัดเจน
เด็กสาวในเมืองหน้าแดงหันหน้าไป แต่พวกเขาก็อดแอบมองอยู่เป็นระยะๆ ไม่ได้
ถังฮูหยินถอนหายใจอย่างหมดหนทางอยู่บ้าง ทว่าใบหน้านางแสดงความโล่งอกออกมา
ผู้จัดการ ปฏิคมและคนที่มามุงดูตกใจจนพูดอะไรไม่ออกในตอนแรก แต่ทั้งหมดก็เริ่มหัวเราะออกมา
ผ่านมาหลายปีแล้วที่ภาพเช่นนี้เกิดขึ้นในเมืองเวิ่นสุ่ย
ในเวลาไม่นาน ผ้าม่านก็ถูกปลดลง
ชายหนุ่มผอมกะหร่องผมเผ้ายุ่งเหยิงหน้าตามอมแมมได้กลายเป็นเจ้าชายรูปงามไปแล้วในตอนนี้
ดวงตาสาวน้อยบนถนนกระจ่างจ้าหาใดเปรียบ
สาวใช้คนหนึ่งก้าวออกมา มือถือกระบี่เอาไว้ นางมัดมันกับเอวของอย่างระมัดระวัง
กระบี่นี้ดูโบราณทีเดียว แต่เมื่อผูกไว้กับเอวของเขาแล้ว มันก็ดูสะอาดเปี่ยมไปด้วยความแหลมคมน่ากลัว
มันคือกระบี่เวิ่นสุ่ย
……
……
ถังซานสือลิ่วสวมรองเท้าเมฆาห้อยกระบี่เวิ่นสุยไว้ข้างเอว ก้าวออกจากหอบรรพชนเดินทางไปจวนเก่า
ฝูงชนหยุดอยู่แต่ไกล ไม่กล้าตามเขาไป
เขาไม่แม้แต่จะมองไปที่แผ่นป้ายไม้ที่จักรพรรดิและสังฆราชแต่ละรุ่นทิ้งไว้ ยิ่งไม่สนใจปฏิคมที่อ่อนน้อมถ่อมตนมากผู้นั้น
เขาผลักประตูจวนเก่าเข้าไปอย่างสบายๆ ราวกับกลับบ้านของตัวเอง
อันที่จริง ที่แห่งนี้ก็เป็นบ้านของเขาตลอดมา
เขาอาศัยอยู่ที่นี่มาหลายปี ในเมืองเวิ่นสุ่ยทั้งหมด ไม่มีใครนอกจากประมุขผู้เฒ่าที่จะคุ้นเคยกับที่แห่งนี้ไปมากกว่าเขาอีกแล้ว
หลังจากเข้าสู่จวนเก่า เขาก็เริ่มทักทายผู้คนอย่างที่เจ้าบ้านควรจะทำ
เราตบไหล่ราชันย์แห่งหลิงไห่และกล่าว “ท่านก็มา”
เขากล่าวกับมหามุขนายกอันหลิน “อยู่ที่นี่สบายดีหรือไม่”
เขาเห็นหนานเค่อก็ตัวแข็งไป จากนั้นก็หันไปกล่าวกับปฏิคม “เจ้ายืนรออะไรอยู่ รีบไปเอาใบชาที่ดีที่สุดของท่านปู่มาแล้วชงมากาหนึ่ง เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนผู้นี้เป็นใคร ถึงข้าจะไม่เคยพบนาง ก็จำได้ในทันทีที่เห็นใบหน้าอันงดงามหมดจดของนาง เจ้าอยากตายหรือ”
เขามองไปที่เจ๋อซิ่วและพยักหน้าแต่ไม่พูดอะไร
ในที่สุดก็เห็นกวนเฟยไป๋ คิ้วเลิกขึ้นในทันทีราวกับกระบี่ในยามที่กล่าว “เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
เฉินฉางเซิงได้ให้กวนเฟยไป๋อยู่ในอารามเต๋าเมื่อวานนี้ด้วยเป็นห่วงว่าฉูซูจะพยายามซุ่มโจมตี ตอนนี้ฉูซูถูกไล่ออกจากเมืองเวิ่นสุ่ยแล้ว และเมื่อกวนเฟยไป๋รู้ว่าถังซานสือลิ่วอาจถูกปล่อยตัวในวันนี้ เขาย่อมมารอที่จวนเก่า เขาไม่คาดคิดว่าถึงแม้จะไม่พบกันมาหลายปี เจ้าหมอนี่ก็ยังกวนประสาทเหมือนเคย
“ข้าไม่ได้รับอนุญาตให้มาหรือไง” คิ้วของกวนเฟยไป๋เลิกขึ้นราวกับกระบี่
เขาคิดว่าถังซานสือลิ่วจะตอบกลับมาอย่างยอกย้อนเหมือนเคย ถังซานสือลิ่วยิ้มและกล่าว “แขกจากแดนไกล ข้ายินดีต้อนรับอย่างเต็มใจ”
เขาเปลี่ยนเรื่องในทันทีรอยยิ้มหายไปเมื่อเขาลากเจ๋อซิ่วมาด้านข้าง “ในอนาคต เมื่อพวกเราไปหลีซาน เจ้าก็ต้องต้อนรับพวกเราเช่นกัน”
กวนเฟยไป๋ส่ายหน้าและคิด ข้าถึงกับเป็นกังวลว่าเจ้าหมอนี่จะมีปัญหาหลังจากถูกขังแต่ดูเหมือนข้าจะกังวลเสียเปล่าแล้วจริงๆ
……
……
ม่านหนากางลงมา ปกปิดห้องเอาไว้ สายตาทั้งหมดและหิมะที่สุมอยู่ขอบบ่อถูกกันเอาไว้ภายนอก
ไพ่นกกระจอกบนโต๊ะกระจัดกระจาย บ้างตั้ง บ้างคว่ำ บ้างก็หงาย เรียกได้ว่านี่เป็นส่วนที่ตกค้างมาจากการเล่นเมื่อวานนี้
เฉินฉางเซิงกับประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังนั่งตรงข้ามกัน มีโต๊ะไพ่นกกระจอกกั้นขวางอยู่
ถังซานสือลิ่วเดินไปที่โต๊ะ ตามองไปยังเฉินฉางเซิง “เจ้าคุยจบหรือยัง”
เฉินฉางเซิงพยักหน้า
ถังซานสือลิ่วย้อนอย่างไม่สบอารมณ์ “แล้วทำไมยังไม่ลุกจากเก้าอี้อีก”
“มันเป็นเก้าอี้ของตระกูลเจ้า แล้วข้าจะห้ามไม่ให้เจ้านั่งได้อย่างไร”
เฉินฉางเซิงลุกขึ้นอย่างหมดหนทาง ก่อนนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้าง
ถังซานสือลิ่วนั่งลงบนเก้าอี้ที่เพิ่งว่าง
เป็นเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้ามกับประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังพอดี
เก้าอี้นี้ย่อมมีความหมาย
การไล่เฉินฉางเซิงออกจากเก้าอี้และนั่งลงเองนี้ต้องมีความหมายลึกๆ อย่างแน่นอน
“ตอนนี้ถึงคราวที่เราพูดกันแล้ว”
ถังซานสือลิ่วกล่าวกับประมุขผู้เฒ่าตระกูลถัง
ดวงตาแสดงอารมณ์ที่สลับซับซ้อนในยามที่เขากล่าว
มีทั้งความชื่นชม เสียใจและโศกเศร้า กังวลและไม่ยินยอม เกลียดชังและเหงาหงอย
แต่เมื่อเขาพูดจบ อารมณ์ที่ซับซ้อนบรรยายไม่ถูกนี้ก็หายไป เหลือไว้เพียงแค่ความไม่แยแส