ส่วนที่ 6 ภาคลมประจิมรุนแรง ตอนที่ 35 ถึงคราวข้าพูดแล้ว

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ทั่วทั้งเมืองวิ่นสุ่ยตะลึงไปกับคำถามนี้

นอกหอบรรพชนเงียบงันราวกับป่าช้า

ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็มีคนตื่นขึ้นจากความมึนงง

ถังฮูหยินสะกดความกลัวในดวงตาแล้วเดินไปหาเขาอย่างรวดเร็ว ก่อนยกมือขึ้นตบหน้าเขา

เสียงตบดังก้องนี้จะบรรเทาความโกรธของประมุขผู้เฒ่าหากเขาได้ยินเรื่องนี้หรือไม่

ถังฮูหยินคิดเช่นนี้ กัดฟันตบ ไม่ต้องการให้การตีของนางเบาไปเพราะความเสียใจจนทำให้คนมองเห็นปัญหา นางจึงใช้กำลังรุนแรงจนเหลือเชื่อ

ถังซานสือลิ่วยิ้มให้นาง แต่ไม่หลบเลี่ยง

เสียงตบดังขึ้นเมื่อฝ่ามือของถังฮูหยินฟาดลงบนใบหน้าถังซานสือลิ่ว

แก้มซ้ายของถังซานสือลิ่วบวมแดง แต่เพราะเขาไม่ได้ล้างหน้ามานานหลายวัน ชั้นขี้ไคลจึงบดบังทำให้รอยไม่เด่นชัดเท่าใดนัก

แต่เขายังยิ้มอยู่ รอยยิ้มจริงใจที่ไม่ได้มีความฝืนทำหรือแสดงอารมณ์อันใดออกมา

ถังฮูหยินแข็งทื่อไป น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความสำนึกผิดและตำหนิในยามกล่าว “ทำไมเจ้าไม่หลบ”

“บุตรอกตัญญู ทำให้มารดาเป็นห่วงตั้งครึ่งปี ไม่อาจอยู่ข้างเตียงบิดา ข้าสมควรโดนตบแล้ว”

ถังซานสือลิ่วกอดมารดาและกระซิบ “ท่านแม่ กลับบ้านไปรอข้าก่อน ข้ายังมีบางอย่างต้องทำ”

ในที่สุดก็พบกันหลังจากผ่านไปครึ่งปี ถังฮูหยินไม่ยินยอมอยู่บ้าง กระนั้นนางก็รู้ว่าสังฆราชอยู่ในจวนเก่าและบุตรชายนางจำเป็นต้องทำสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง ดังนั้นนางจึงไม่อาจห้ามเขาได้

“อย่างน้อยก็กลับบ้านไปอาบน้ำกินข้าวก่อน ข้าให้ในครัวเตรียมข้าวผัดไข่ที่เจ้าชอบเอาไว้แล้ว”

ถังฮูหยินมองไปที่ใบหน้าซูบผอมของเขาและกล่าวอย่างปวดใจ

“แม้ว่าข้าจะถูกขังในหอบรรพชนมาครึ่งปี ก็ไม่มีใครกล้าปล่อยให้ข้าอดข้าวอดน้ำ ต่อให้ข้าหิวขึ้นมา บุตรชายของท่านก็ชินกับอาหารจากครัวของจวนเก่าแล้ว”

ถังซานสือลิ่วมองดวงตาของมารดาและยิ้ม “เมื่อข้าเสร็จธุระเรียบร้อยแล้ว ทุกคนจะผ่อนคลายกว่านี้”

กล่าวแล้วเขาก็มองไปที่ฝูงชนบนถนน

ปฏิคม ผู้จัดการและสาวใช้หลายสิบคนของสาขาหลักล้วนยิ้มออกมา

ส่วนพวกสาวใช้และแม่นมที่อยู่ข้างกายเขามาหลายปีเหล่านั้นต่างก็ร้องไห้ออกมาด้วยความยินดี

“พวกเจ้าร้องไห้หาอะไร คิดว่าข้าทำขึ้นจากน้ำจริงๆ หรือ”

เขามองไปที่สาวใช้เหล่านั้นและกล่าว “รีบไปเตรียมน้ำให้คุณชายน้อยของพวกเจ้าอาบ”

คำสั่งนี้ทำให้ผู้จัดการและปฏิคมนึกถึงภาพที่มักเกิดขึ้นในเมืองเวิ่นสุ่ยเมื่อหลายปีก่อน

ภาพนั้นจะเกิดขึ้นอีกครั้งในวันนี้อย่างนั้นหรือ สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นเบิกบานยิ่ง

พวกสาวใช้จากไปอย่างพร้อมเพรียง คนรับใช้ที่คุ้นเคยกับเรื่องนี้นำเอาม้วนผ้าราคาแพงสิบกว่าม้วนออกมาจากรถม้า ยังเอาท่อนไม้ชนิดต่างๆ ออกมาอีกด้วย ในเวลาอันสั้นพวกเขาก็ทำผ้าม่านกั้นพื้นที่รัศมีหลายจั้งขึ้นตรงหน้าหอบรรพชน

สาวใช้ที่มีความสามารถหน่อยได้เคาะหรือไม่ก็ทุบประตูร้านรวงใกล้เคียง เข้าไปเอาน้ำร้อนที่จัดเตรียมเอาไว้ในส่วนผลิตสินค้าด้านหลังออกมา พวกสาวใช้ได้นำเอาถังไม้และอุปกรณ์อาบน้ำออกมาจากรถม้าและตอนนี้กำลังรีบขนพวกมันไปยังพื้นที่ซึ่งกั้นม่านเอาไว้

ถังซานสือลิ่วเดินเข้าไปและเริ่มถอดเสื้อผ้าออกจนหมด

ไอน้ำลอยขึ้น เงาคนเลือนรางทอดลงบนผ้าม่าน เสียงน้ำดังชัดเจน

เด็กสาวในเมืองหน้าแดงหันหน้าไป แต่พวกเขาก็อดแอบมองอยู่เป็นระยะๆ ไม่ได้

ถังฮูหยินถอนหายใจอย่างหมดหนทางอยู่บ้าง ทว่าใบหน้านางแสดงความโล่งอกออกมา

ผู้จัดการ ปฏิคมและคนที่มามุงดูตกใจจนพูดอะไรไม่ออกในตอนแรก แต่ทั้งหมดก็เริ่มหัวเราะออกมา

ผ่านมาหลายปีแล้วที่ภาพเช่นนี้เกิดขึ้นในเมืองเวิ่นสุ่ย

ในเวลาไม่นาน ผ้าม่านก็ถูกปลดลง

ชายหนุ่มผอมกะหร่องผมเผ้ายุ่งเหยิงหน้าตามอมแมมได้กลายเป็นเจ้าชายรูปงามไปแล้วในตอนนี้

ดวงตาสาวน้อยบนถนนกระจ่างจ้าหาใดเปรียบ

สาวใช้คนหนึ่งก้าวออกมา มือถือกระบี่เอาไว้ นางมัดมันกับเอวของอย่างระมัดระวัง

กระบี่นี้ดูโบราณทีเดียว แต่เมื่อผูกไว้กับเอวของเขาแล้ว มันก็ดูสะอาดเปี่ยมไปด้วยความแหลมคมน่ากลัว

มันคือกระบี่เวิ่นสุ่ย

……

……

ถังซานสือลิ่วสวมรองเท้าเมฆาห้อยกระบี่เวิ่นสุยไว้ข้างเอว ก้าวออกจากหอบรรพชนเดินทางไปจวนเก่า

ฝูงชนหยุดอยู่แต่ไกล ไม่กล้าตามเขาไป

เขาไม่แม้แต่จะมองไปที่แผ่นป้ายไม้ที่จักรพรรดิและสังฆราชแต่ละรุ่นทิ้งไว้ ยิ่งไม่สนใจปฏิคมที่อ่อนน้อมถ่อมตนมากผู้นั้น

เขาผลักประตูจวนเก่าเข้าไปอย่างสบายๆ ราวกับกลับบ้านของตัวเอง

อันที่จริง ที่แห่งนี้ก็เป็นบ้านของเขาตลอดมา

เขาอาศัยอยู่ที่นี่มาหลายปี ในเมืองเวิ่นสุ่ยทั้งหมด ไม่มีใครนอกจากประมุขผู้เฒ่าที่จะคุ้นเคยกับที่แห่งนี้ไปมากกว่าเขาอีกแล้ว

หลังจากเข้าสู่จวนเก่า เขาก็เริ่มทักทายผู้คนอย่างที่เจ้าบ้านควรจะทำ

เราตบไหล่ราชันย์แห่งหลิงไห่และกล่าว “ท่านก็มา”

เขากล่าวกับมหามุขนายกอันหลิน “อยู่ที่นี่สบายดีหรือไม่”

เขาเห็นหนานเค่อก็ตัวแข็งไป จากนั้นก็หันไปกล่าวกับปฏิคม “เจ้ายืนรออะไรอยู่ รีบไปเอาใบชาที่ดีที่สุดของท่านปู่มาแล้วชงมากาหนึ่ง เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนผู้นี้เป็นใคร ถึงข้าจะไม่เคยพบนาง ก็จำได้ในทันทีที่เห็นใบหน้าอันงดงามหมดจดของนาง เจ้าอยากตายหรือ”

เขามองไปที่เจ๋อซิ่วและพยักหน้าแต่ไม่พูดอะไร

ในที่สุดก็เห็นกวนเฟยไป๋ คิ้วเลิกขึ้นในทันทีราวกับกระบี่ในยามที่กล่าว “เจ้ามาทำอะไรที่นี่”

เฉินฉางเซิงได้ให้กวนเฟยไป๋อยู่ในอารามเต๋าเมื่อวานนี้ด้วยเป็นห่วงว่าฉูซูจะพยายามซุ่มโจมตี ตอนนี้ฉูซูถูกไล่ออกจากเมืองเวิ่นสุ่ยแล้ว และเมื่อกวนเฟยไป๋รู้ว่าถังซานสือลิ่วอาจถูกปล่อยตัวในวันนี้ เขาย่อมมารอที่จวนเก่า เขาไม่คาดคิดว่าถึงแม้จะไม่พบกันมาหลายปี เจ้าหมอนี่ก็ยังกวนประสาทเหมือนเคย

“ข้าไม่ได้รับอนุญาตให้มาหรือไง” คิ้วของกวนเฟยไป๋เลิกขึ้นราวกับกระบี่

เขาคิดว่าถังซานสือลิ่วจะตอบกลับมาอย่างยอกย้อนเหมือนเคย ถังซานสือลิ่วยิ้มและกล่าว “แขกจากแดนไกล ข้ายินดีต้อนรับอย่างเต็มใจ”

เขาเปลี่ยนเรื่องในทันทีรอยยิ้มหายไปเมื่อเขาลากเจ๋อซิ่วมาด้านข้าง “ในอนาคต เมื่อพวกเราไปหลีซาน เจ้าก็ต้องต้อนรับพวกเราเช่นกัน”

กวนเฟยไป๋ส่ายหน้าและคิด ข้าถึงกับเป็นกังวลว่าเจ้าหมอนี่จะมีปัญหาหลังจากถูกขังแต่ดูเหมือนข้าจะกังวลเสียเปล่าแล้วจริงๆ

……

……

ม่านหนากางลงมา ปกปิดห้องเอาไว้ สายตาทั้งหมดและหิมะที่สุมอยู่ขอบบ่อถูกกันเอาไว้ภายนอก

ไพ่นกกระจอกบนโต๊ะกระจัดกระจาย บ้างตั้ง บ้างคว่ำ บ้างก็หงาย เรียกได้ว่านี่เป็นส่วนที่ตกค้างมาจากการเล่นเมื่อวานนี้

เฉินฉางเซิงกับประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังนั่งตรงข้ามกัน มีโต๊ะไพ่นกกระจอกกั้นขวางอยู่

ถังซานสือลิ่วเดินไปที่โต๊ะ ตามองไปยังเฉินฉางเซิง “เจ้าคุยจบหรือยัง”

เฉินฉางเซิงพยักหน้า

ถังซานสือลิ่วย้อนอย่างไม่สบอารมณ์ “แล้วทำไมยังไม่ลุกจากเก้าอี้อีก”

“มันเป็นเก้าอี้ของตระกูลเจ้า แล้วข้าจะห้ามไม่ให้เจ้านั่งได้อย่างไร”

เฉินฉางเซิงลุกขึ้นอย่างหมดหนทาง ก่อนนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้าง

ถังซานสือลิ่วนั่งลงบนเก้าอี้ที่เพิ่งว่าง

เป็นเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้ามกับประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังพอดี

เก้าอี้นี้ย่อมมีความหมาย

การไล่เฉินฉางเซิงออกจากเก้าอี้และนั่งลงเองนี้ต้องมีความหมายลึกๆ อย่างแน่นอน

“ตอนนี้ถึงคราวที่เราพูดกันแล้ว”

ถังซานสือลิ่วกล่าวกับประมุขผู้เฒ่าตระกูลถัง

ดวงตาแสดงอารมณ์ที่สลับซับซ้อนในยามที่เขากล่าว

มีทั้งความชื่นชม เสียใจและโศกเศร้า กังวลและไม่ยินยอม เกลียดชังและเหงาหงอย

แต่เมื่อเขาพูดจบ อารมณ์ที่ซับซ้อนบรรยายไม่ถูกนี้ก็หายไป เหลือไว้เพียงแค่ความไม่แยแส