ส่วนที่ 6 ภาคลมประจิมรุนแรง ตอนที่ 34 เดินออกจากหอบรรพชน

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เฉินฉางเซิงกับคนของนิกายหลวงกลับไปยังอารามเต๋า

พายุหิมะไม่หยุดตลอดคืน

เขาก็รอตลอดคืนเช่นกัน

ตระกูลถังไม่มีการเคลื่อนไหว ไม่มีวี่แววของความวุ่นวาย

สามปีที่ผ่านมา ประมุขรองตระกูลถังเป็นคนดูแลธุรกิจและเรื่องภายในตระกูล ย่อมเป็นคนสำคัญที่สุดในเมือง

แต่การหายตัวไปของเขาดูเหมือนจะไม่มีผลต่อเมือง

นี่เป็นการพิสูจน์อีกครั้งว่าเมืองเวิ่นสุ่ยเป็นของตระกูลถังไปตลอดกาล และตระกูลถังก็เป็นของประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังตลอดกาล

สิ่งที่ทำให้นิกายหลวงกับเฉินฉางเซิงหงุดหงิดก็คือเวลาผ่านไปหนึ่งคืนแล้ว ทว่าประตูหอบรรพชนยังคงปิดสนิท

ถังซานสือลิ่วยังไม่ถูกปล่อยตัวออกมา

เมื่อแสงแรกของวันมาเยือนเวิ่นสุ่ย เกล็ดหิมะสุดท้ายก็ตกลงถึงพื้นเช่นกัน นำไปสู่การยุติของพายุหิมะ

พายุหิมะหยุดลงอย่างฉับพลันไม่มีใครเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ เหมือนกับจดหมายจากจวนเก่าในอารามเต๋า

ถนนในเมืองมีหิมะสุมหนา สะท้อนแสงอบอุ่นของตะวันยามเช้า ดูราวกับทุ่งหญ้าที่ลุกเป็นไฟ

เฉินฉางเซิงกับคนจากนิกายหลวงมาเยือนจวนเก่าอีกครั้ง ครั้งนี้พวกเขาได้รับการต้อนรับดีกว่าเมื่อวาน ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังมารอพวกเขาในลานบ้านด้วยตัวเอง

“ข้าควรไปยังอารามเต๋าเพื่อแสดงความเคารพองค์สังฆราช แต่ข้ายังไม่หายไข้ ร่างกายผุพังของข้าไม่อาจทนการเดินทางได้” ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังกล่าวกับเฉินฉางเซิง

ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงไร้ซึ่งความจริงใจ แต่กระนั้นก็ไม่จำเป็นต้องมีความจริงใจ ทั้งสองฝ่ายรู้ว่านี่เป็นการแสดงให้อีกฝ่ายดูเท่านั้น

เฉินฉางเซิงถาม “อาการป่วยของประมุขใหญ่เป็นอย่างไรบ้าง”

คำว่า ‘อาการป่วย’ ย่อมหมายถึงการถูกพิษ

ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังตอบ “เมื่อวานส่งคนไปรับคนจากพรรคฉางเซิงมารักษาอาการป่วยนี้แล้ว”

‘รักษาอาการป่วย’ ย่อมหมายถึงตระกูลถังยืนยันแล้วว่าพรรคฉางเซิงมียาแก้พิษ ด้วยความสามารถของตระกูลถัง ย่อมมีความสามารถที่จะได้มันมา

เฉินฉางเซิงได้ยินเช่นนี้ก็ผ่อนคลายได้ในที่สุด พิษนรกภูมิบนตัวฉูซูไม่อาจทำร้ายเขากับหนานเค่อ ทว่าเขากับหนานเค่อก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะสามารถกำจัดพิษให้คนอื่นได้

เมื่อพวกเขาสนทนากัน ทั้งคู่ก็เดินเข้าไปในห้อง เมื่อทิ้งสายตาที่มองมาไว้ด้านนอก พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องแสร้งเป็นมีมารยาทอีก พวกเขาก็เริ่มพูดกันตรงๆ

“แน่นอนว่าหากมียาแก้พิษก็จะดีที่สุด แต่หากไม่มียาแก้พิษก็ไม่เป็นไร หากเขาต้องตายก็ให้ตายไป”

ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “บุตรคนรองของข้าไม่เคยคิดเรื่องนี้ ต่อให้เขาฆ่าเสี่ยวถังได้เมื่อวาน ข้าก็ยังไม่เลือกเขาอยู่ดี”

เพราะเขามีบุตรชายมากมาย และยังมีชีวิตอยู่อีกหลายทศวรรษหรืออาจเป็นศตวรรษ เขายังมีเวลาที่จะเลี้ยงผู้สืบทอดที่มีคุณสมบัติขึ้นมา

เฉินฉางเซิงไม่เชื่อคำพูดของประมุขผู้เฒ่าตระกูลถัง

หากถังซานสือลิ่วถูกฆ่าเมื่อวานนี้ ตระกูลถังย่อมถูกเฉินฉางเซิงกับนิกายหลวงโต้กลับ เพื่อให้ได้รับการสนับสนุนจากซางสิงโจวและราชสำนักเท่านั้น ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังก็ยินดีตั้งประมุขรองตระกูลถังเป็นผู้นำตระกูล

แต่เฉินฉางเซิงเข้าใจว่าทำไมประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังถึงพูดเช่นนี้

ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังต้องการให้เขารู้ว่าในสถานการณ์อย่างเมื่อวาน เขาสามารถปฏิเสธที่จะยกตระกูลถังให้กับสาขารองได้ ดังนั้นวันนี้ เขาก็สามารถปฏิเสธที่จะมอบมันให้กับสาขาหลัก

เพราะความสัมพันธ์ระหว่างเฉินฉางเซิงกับถังซานสือลิ่วนั้นใกล้ชิดกันเกินไป ความสัมพันธ์ระหว่างสาขาหลักกับนิกายหลวงก็ใกล้ชิดเกินไปเช่นกัน

ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังได้จบความฝันที่จะเป็นผู้นำตระกูลของประมุขรองตระกูลถัง แต่เขาก็ยังเลือกที่จะยืนอยู่ข้างซางสิงโจวกับราชสำนัก

เขามองเฉินฉางเซิงและถาม “บางทีเจ้าอาจไม่เข้าใจว่าทำไมข้าถึงยังสนับสนุนอาจารย์เจ้าอย่างหนักแน่นต่อไปใช่หรือไม่”

เฉินฉางเซิงนึกถึงสุนัขที่เขาเห็นบนถนนเมื่อวานตอนเช้า หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งเขาก็กล่าว “ข้าพอจะเข้าใจอยู่บ้าง เพราะพวกท่านทั้งสองคนเดินบนเส้นทางเดียวกัน”

“เจ้าใช้คำว่า ‘เดินบนเส้นทางเดียวกัน’ ได้ยอดเยี่ยมนัก เพราะเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่การบุกตีเมืองลัวหยางจบลง ข้า อาจารย์เจ้ากับอิ๋นก็เดินบนเส้นทางเดียวกันกลับเข้าสู่จิงตู”

ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังมองไปยังบ่อน้ำในลานบ้าน หิมะกองสุมถึงขอบ

“ในช่วงปีนั้น ข้าเดินทางไปรอบโลก แต่เมื่อใดก็ตามที่มีคนพบว่าข้าเป็นนายน้อยตระกูลถัง ไม่ว่าจะเป็นพวกราชวงศ์ก่อน ผู้ศรัทธาเต๋า หรือพวกอ๋องกบฏ ไม่มีใครกล้าแสดงความไม่เคารพข้าแม้แต่น้อย ข้าจึงขาดโอกาสที่จะได้รับประสบการณ์ของสังคมที่อันตราย ข้าจึงคิดไปว่าเรื่องทั้งหมดในโลกล้วนเป็นเช่นนั้น ต่อให้มีบางคนอาจจะใช้ชีวิตยากลำบาก แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้ากัน สุดท้ายแล้วข้าก็คือคุณชายสูงศักดิ์ที่ใช้ชีวิตอย่างหรูหราไม่มีใครกล้าตอแย แต่ใครจะไปคิดว่าเผ่ามารจะบุกตีลั่วหยาง ล้อมเมืองอยู่นานสามเดือนเต็ม ความน่ากลัวมากมายเกิดขึ้นในช่วงสามเดือนนั้น… สุดท้ายแล้วใครจะสนว่าข้าเป็นคุณชายตระกูลถัง”

ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังหรี่ตาลงเล็กน้อย รอยย่นที่หางตาแฝงไว้ด้วยความดูถูกตัวเองแต่มีความเศร้ามากกว่า

ไฟสงครามเผาเมืองลั่วหยางสามเดือน แม้แต่อินทรีแดงที่ใช้ส่งข้อความยังถูกยอดฝีมือบางคนแย่งมากิน แม้แต่เปลือกไม้ก็ยังไม่อาจหามากินได้ เผ่ามารนอกเมืองฆ่า ข่มขืน ปล้นชิงในขณะที่ทหารซึ่งไร้ผู้นำในเมืองลั่วหยางกลายเป็นบ้าด้วยความสิ้นหวัง เผ่ามารกินมนุษย์ตามแนวแม่น้ำเว่ย มนุษย์ในเมืองลั่วหยางก็กินเนื้อมนุษย์ด้วยกันเอง น้ำเต็มไปด้วยกระดูกขาว

แม้แต่คนที่จิตใจเข้มแข็งอย่างเขาก็ยังไม่อยากนึกถึงภาพในช่วงเวลานั้น

แน่นอน เขายิ่งไม่ต้องการที่จะเห็นภาพเช่นนี้ปรากฏแก่สายตาขึ้นอีกครั้ง

ดังนั้น

“ ‘ไม่มีความวุ่นวาย’ เป็นสิ่งที่ข้าให้ความสำคัญที่สุดในชีวิต”

“การกำจัดเผ่ามารเป็นภารกิจในชีวิตที่ข้าต้องการทำให้สำเร็จที่สุด”

“ตระกูลถังแข็งแกร่งพอ จึงมีสิทธิ์เลือก ดังนั้นข้าควรเลือกทางใด ระหว่างนิกายหลวงกับราชสำนัก”

“ข้าเลือกฝ่ายที่แข็งแกร่งที่สุด”

“ความแข็งแกร่งคืออะไร นอกจากหมัดใครแข็งแกร่งที่สุด ก็ต้องดูว่าหมัดใครมั่นคงที่สุด”

ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังมองไปที่เฉินฉางเซิงและกล่าว “หมัดของเจ้ายังไม่แข็งแกร่งพอยิ่งห่างไกลจากความมั่นคง เจ้าด้อยกว่าอาจารย์เจ้ามาก”

เฉินฉางเซิงรู้ว่านี่เป็นจุดยืนของประมุขผู้เฒ่าตระกูลถัง เขาก็ไม่มีคำคัดค้าน

“ข้าไม่มีอะไรจะพูด ข้าต้องการแค่พาเขาไปกับข้า ข้ามาเวิ่นสุ่ยก็เพื่อรับตัวเขา ไม่ใช่โน้มน้าวให้ตระกูลถังเปลี่ยนใจ”

ตอนอยู่ในอารามเต๋าเขาก็พูดเช่นนี้กับประมุขรองตระกูลถัง

แต่ประมุขรองตระกูลถังไม่เชื่อเขา ตอบกลับด้วยใบหน้าหัวเราะอย่างไร้เสียงและเย้ยหยัน

ดวงตาของประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังคมกล้ากว่าบุตรชายมาก ดังนั้นย่อมมองออกว่าเฉินฉางเซิงพูดความจริง

เรื่องทั้งหมดก็ง่ายๆ เช่นนี้เอง เรื่องของผู้เยาว์ก็เรียบง่ายเช่นนี้เสมอ

ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังนึกถึงเหตุการณ์น่าขันที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่เขา ซางและอิ๋นออกจากลั่วหยางและออกเดินทางไปจิงตู เขาก็นิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน

คนมากมายในรุ่นของพวกเขาได้ตายไปแล้ว แม้ว่าเขาและซางสิงโจวจะยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาค่อยๆ แก่ขึ้นทุกวัน อย่างไรก็ตาม แม้แต่พวกเขาก็เคยเป็นคนหนุ่มมาก่อน

“ข้ายอมรับคำขอร้องของเจ้า” ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังมองเขาและเสริม “ตอนนี้ข้าคิดดูแล้ว เขาก็น่าจะออกมาแล้วในตอนนี้”

……

……

วันนี้เมืองเวิ่นสุ่ยมีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้

ประมุขรองตระกูลถังถูกขังอยู่ในที่ใดก็ไม่ทราบ สาขารองสิ้นอำนาจ การตรวจสอบและกวาดล้างกำลังดำเนินไปพร้อมกัน อย่างไรก็ตามร้านรวงตามถนนได้เปิดแล้ว คนเดินถนนก็มากมาย

ถนนหลักด้านหน้าหอบรรพชนเสียงอื้ออึงยิ่งกว่า ปฏิคม ผู้จัดการและเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาของสาขาหลัก ติดตามถังฮูหยินมารออยู่ด้านนอก

ทันใดนั้น ประตูไม้หนาหนักของหอบรรพชนก็เปิดออกช้าๆ

ถังซานสือลิ่วเดินออกมา

เช่นเดียวกับตอนที่เขาเดินออกมาจากสุสานเทียนซูเมือหลายปีก่อน ใบหน้ามอมแมมผมเผ้ายุ่งเหยิง ร่างกายเต็มไปด้วยฝุ่น ผอมลงอย่างเห็นได้ชัด ประหนึ่งว่าเขาต้องทุกข์ทนกับอุปสรรคครั้งใหญ่มา

ทว่าดวงตาเขากระจ่างใสขึ้น สีหน้าสุขุมยิ่งขึ้น อารมณ์ก็มั่นคงกว่าเดิมมาก

เมื่อเห็นบุตรชาย ถังฮูหยินก็รู้สึกว่าดวงตาชื้นขึ้นมา แต่นางก็บังคับตัวเองให้สงบใจไว้ ไม่กล้าที่จะร้องไห้ออกมา

ที่เกิดขึ้นต่อมาพิสูจน์ต่อฝูงชนว่าเขายังคงเป็นถังซานสือลิ่วเช่นเดียวกับในอดีต

แม้ว่าเขาจะถูกขังในหอบรรพชนมาแค่ครึ่งปี สีหน้าอารมณ์ของเขาก็เปลี่ยนไปมาก

เขาถามฝูงชน “แล้วตาแก่ไม่ยอมตายนั่นล่ะ”