ส่วนที่ 6 ภาคลมประจิมรุนแรง ตอนที่ 33 รุมสังหาร

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

มือสังหารทำให้ผู้พิทักษ์ชรารู้สึกเสียใจขึ้นมา

เขาพอจะเดาตัวตนของคนรับใช้ใบ้ได้ แล้วเขาจะนึกไม่ออกได้อย่างไรว่ามือสังหารพวกนี้ล้วนเคยเป็นส่วนหนึ่งของหอความลับสวรรค์ ล้วนเคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของคนผู้นี้

ผู้พิทักษ์ชราสูดหายใจเข้าลึกจากนั้นก็ตะโกนใส่คนรับใช้ใบ้ “หลิวชิง มาสู้กับข้า!”

แม้ว่าเขาจะรับบาดเจ็บสาหัสจากการลอบโจมตี ทว่าเสียงเขายังคงดังก้องน่ากลัวอย่างที่สุด พิสูจน์ว่าเขาเป็นยอดฝีมือรุ่นก่อนที่ก้าวเข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ไปแล้วครึ่งก้าว

ลมเหมันต์เย็นเยียบพัดผมเผ้ายุ่งเหยิง

คนรับใช้ใบ้ก็คือหลิวชิง เคยเป็นผู้นำองค์กรมือสังหารของหอความลับสวรรค์

ด้วยการจากไปของซูหลีกับมือสังหารลึกลับ เขาจึงเป็นมือสังหารที่น่ากลัวที่สุดในต้าลู่

มีแต่เขาเท่านั้นที่จะลงมือลอบโจมตีคนที่แข็งแกร่งเช่นนี้ได้สำเร็จ และแม้แต่เขาก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนไปอย่างมาก

ถังซานสือลิ่วยืนยึ้นถามหลิวชิง “ท่านไหวหรือไม่”

หลิวชิงไม่พูดอะไรแค่พยักหน้าเล็กน้อยเท่านั้น

“สู้บิดาเจ้าสิ!”

ถังซานสือลิ่วปัดหิมะออกจากร่างและกล่าวกับผู้พิทักษ์ชราที่ชุ่มไปด้วยเลือด “ตอนนี้เป็นตาพวกเราทั้งหมดสู้กับเจ้า”

กล่าวแล้วเขาก็โบกมืออย่างแข็งขัน

หลิวชิงและมือสังหารทั้งเจ็ดโจมตี

ในเวลาเดียวกัน ประตูหอบรรพชนก็เปิดออกและคนจำนวนมากพุ่งเข้ามา

เจตจำนงกระบี่ที่รุนแรงน่ากลัวทิ้งรอยไว้บนผนังหอบรรพชนอยู่เป็นระยะๆ

ศรหน้าไม้และอาวุธลับส่งเสียงหวีดหวิวในอากาศ

เลือดกระเซ็นไปทั่ว เหมือนว่ากำแพงขาวจำเป็นต้องทาสีใหม่อีกครั้ง

ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงทั้งหมดก็สงบลงและหอบรรพชนก็เงียบลงอีกครั้ง

มันเงียบอย่างที่สุด จนสามารถได้ยินเสียงเกล็ดหิมะตกลงสู่พื้นและเสียงลมหายใจถี่รัวของผู้คนในลาน

มีเลือดกระจายไปทั่ว ทุกคนบาดเจ็บ ถังซานสือลิ่วก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น กระดูกซี่โครงหักไปสองท่อน

เพื่อที่จะดึงดูดความสนใจของผู้พิทักษ์ชราไว้ เขาไม่อาจถอยหนีไปได้

ความจริงได้พิสูจน์ว่าวิธีของเขาได้ผล ไม่มีผู้โจมตีคนใดเสียชีวิตแม้แต่คนเดียว

ผู้พิทักษ์ชราตายแล้ว ศพของเขาพิงอยู่กับโต๊ะบูชาในหอบรรพชน เต็มไปด้วยบาดแผลและเลือดไหลจนหมดร่าง อยู่ในสภาพน่าอนาถอย่างที่สุด

ดวงตายังลืมอยู่ ความเสียใจและสับสนยังมีให้เห็นในดวงตาของเขา

……

……

คนที่มาช่วยล้วนเป็นคนของสาขาหลักตระกูลถัง

ครึ่งปีมานี้ไม่มีก้อนหินถูกโยนข้ามกำแพง ไม่มีว่าวบนท้องฟ้า แต่เมื่อคนรับใช้ใบ้เป็นหลิวชิง ถังซานสือลิ่วย่อมสามารถสื่อสารกับสาขาหลักได้ บ้านเรือนรอบหอบรรพชนถูกสาขาหลักยึดมาอย่างลับๆ นานแล้ว พวกเขาแค่รอเวลาที่จะเคลื่อนไหวเท่านั้น

แต่ถังซานสือลิ่วคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าผู้พิทักษ์ชราจะเป็นคนของอารอง

หากหลิวชิงไม่อยู่ที่นี่ เขาคงตายไปแล้วเป็นแน่

ถังซานสือลิ่วให้คนของสาขาหลักล่าถอยออกจากหอบรรพชน จากนั้นก็กล่าวกับหลิวชิง “แบบอย่างของข้า ข้ารบกวนท่านมากแล้วในครึ่งปีนี้”

เขาได้พบกับมือสังหารในตำนานครั้งแรกระหว่างการประชุมใหญ่จู่สือที่จัดขึ้นบนหานซาน

ในตอนนั้นหลิวชิงต้องการให้เฉินฉางเซิงไปเป็นผู้นำคนใหม่ขององค์กรมือสังหาร เฉินฉางเซิงย่อมไม่ยอมรับเป็นธรรมดา

แต่ถังซานสือลิ่วต้องการและอยากจะสร้างวิธีสื่อสารกับหลิวชิงขึ้น

เฉินฉางเซิงรู้เจตนาของเขาดีจึงปฏิเสธไป

ตอนที่ถังซานสือลิ่วถูกขังอยู่ในหอบรรพชน สถานการณ์ก็เปลี่ยนไป ดังนั้นเฉินฉางเซิงย่อมเปลี่ยนความคิดไป

ดังนั้นถังซานสือลิ่วจึงติดต่อสื่อสารกับหลิวชิง

หลิวชิงกล่าวอย่างเรียบเฉย “มันเป็นแค่การทำงานตามค่าจ้างเท่านั้น”

ถังซานสือลิ่วพลันถามขึ้น “ท่านเคยคิดจะมาทำงานเป็นผู้พิทักษ์ตระกูลถังของข้าหรือไม่”

หลิวชิงมองเขาแล้วตอบ “ค่อยมาคุยกันตอนที่เจ้าได้เป็นผู้นำตระกูลแล้ว”

เพื่อที่จะปกป้องถังซานสือลิ่วครึ่งปี หลิวชิงแสร้งเป็นคนรับใช้ชราในหอบรรพชน ดังนั้นย่อมไม่อาจที่จะพูดได้

ไม่ว่าจะอยู่ต่อหน้าหรือลับหลังผู้คน สวนหน้าหรือสวนหลัง แม้แต่ในยามนอนหลับตามลำพังในห้องมืดมิด เขาก็ไม่เอ่ยปากแม้แต่คำเดียว

นี่เป็นเรื่องที่ยากเย็นอย่างยิ่ง

แต่วันนั้นเป็นต้นมา ถังซานสือลิ่วไม่พูดแม้แต่คำเดียวเช่นกัน

บางคนในตระกูลถังเชื่อว่าเป็นเพราะความสิ้นหวัง ในขณะที่คนอื่นคิดว่านี่เป็นการนิ่งเงียบประท้วง

ไม่มีใครรู้ว่าเขาแค่ต้องการเวลาเงียบๆ เพื่อสำรวจตัวเองในขณะที่ร่วมทุกข์ไปกับหลิวชิงเช่นกัน

ถังซานสือลิ่วมองไปทางมือสังหารที่บาดเจ็บและกล่าว “เมื่อข้าเป็นผู้นำตระกูล ข้าจะดูแลพวกเจ้าทุกคนไปตลอดชีวิต”

มือสังหารพวกนี้เดิมเป็นคนของหอความลับสวรรค์และตอนนี้ก็เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของราชสำนัก วันนี้พวกเขาทำตามคำสั่งของหลิวชิง ซึ่งไม่ต่างไปจากการทรยศ พวกเขาย่อมต้องเผชิญกับการไล่ล่าของราชสำนัก พวกเขาต้องใช้ชีวิตในความมืด แต่ใครจะยินดีเป็นผีเดียวดายไปชั่วชีวิตที่เหลือ

คำพูดของถังซานสือลิ่วนั้นตรงไปตรงมาอย่างมาก ถึงแม้ออกจะดูห่างไกลอยู่บ้างแต่ก็ยังเป็นคำสัญญาอยู่ดี

มือสังหารพยักหน้าให้เขา ใช้สายตาขอคำสั่งจากหลิวชิง จากนั้นก็หายไปในพายุหิมะ

หลิวชิงถามถังซานสือลิ่ว “จะทำอะไรต่อ”

ถังซานสือลิ่วมองดูประตูหอบรรพชนที่ตอนนี้ปิดไปแล้วอยู่เงียบๆ ก็กล่าวว่า “รอ”

หลิวชิงมองดูเขา ไม่พูดอะไร จากนั้นก็ออกไปจากหอบรรพชน

ทุกคนกระจายตัวไป

หอบรรพชนมีแค่เขากับพื้นที่เต็มไปด้วยซากศพ

เขาเดินไปบนบันไดหิน ผลักศพผู้พิทักษ์ชราออกจากโต๊ะบูชา และวางเบาะรองนั่งใบใหม่

หิมะตกลงบนลานเงียบๆ

เขานั่งบนเบาะมองดูหิมะนอกประตู รอคอยบทสรุปสุดท้ายอย่างใจเย็น

……

……

เหตุการณ์ในหอบรรพชนถูกถ่ายทอดถึงจวนเก่าอย่างรวดเร็ว

เฉินฉางเซิงมองดูหิมะด้านนอก สีหน้าค่อยๆ ผ่อนคลาย ประดุจดอกเหมยเหมันต์สลัดหิมะหนาออกไป ดูสดใสงดงาม

ปฏิคมจวนเก่ามองไปที่ประมุขรองตระกูลถังและก้มหน้ากล่าว “คุณชายมีคำพูดมาถึงประมุขรอง”

ประมุขรองตระกูลถังไม่พูดอะไร เขามองดูไพ่นกกระจอกที่กระจายอยู่บนโต๊ะ ดูเหมือนจะจมอยู่ในความคิด

ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังถาม “เจ้าเด็กนั่นคิดจะเล่นลิ้นอะไร”

ได้ยินเช่นนี้ เฉินฉางเซิงหันกลับไปมองประมุขผู้เฒ่าตระกูลถัง

จากคำพูดนี้ก็บอกได้ว่าท่าทีของประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังที่มีต่อถังซานสือลิ่วได้เปลี่ยนไปแล้ว

ไม่มีใครรู้รายละเอียดในการลอบสังหารในหอบรรพชน แต่แน่ใจได้ว่ามันต้องโหดเหี้ยมและนองเลือด

ทุกคนรวมถึงประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังเชื่อว่าถังซานสือลิ่วจะถูกประมุขรองสังหาร แม้ว่าเฉินฉางเซิงจะรู้ว่าหลิวชิงอยู่ข้างกายถังซานสือลิ่วเสมอ เขาก็ยังรู้สึกว่าสถานการณ์นี้อันตรายอย่างมาก

แต่ผลของการลอบสังหารนั้นต่างไปจากที่ทุกคนคิดเอาไว้อย่างสิ้นเชิง

ปฏิคมกล่าวด้วยเสียงเบา “คุณชายบอกว่า ‘มือสังหารนั้นเลี้ยงขึ้นมาเองดีที่สุด หากคนอื่นให้มาสุดท้ายแล้วก็ไม่ใช่ของท่าน เช่นเดียวกับความสามารถของคน’ ”

คำพูดนี้ดูสับสนอยู่บ้าง ความสามารถที่ว่าหมายถึงอะไรกัน

คนอื่นไม่อาจเข้าใจแต่ประมุขรองเข้าใจ

หลังจากรู้เรื่องในหอบรรพชน เขาก็ยังสามารถรักษาความสุขุมเอาไว้ได้ ไม่ว่าภายในจะตกใจเพียงใดก็ตาม

กระนั้นก็ตามในตอนนี้เมื่อได้ยินคำพูดของถังซานสือลิ่ว เขาก็ไม่อาจทนได้อีกต่อไป สีหน้าซีดลงในทันที

ไม่ว่าจะฉลาดเพียงใด มีฝีมือในการวางแผนแค่ไหน หากความแข็งแกร่งไม่เพียงพอ ก็มีแต่ต้องพึ่งพาคนอื่นลงมือ ปัญหาก็ต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว

เขานึกถึงคำพูดของหวังผ้อที่บอกเขาเมื่อสามปีก่อนบนถนนที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ คำพูดที่เจ๋อซิ่วพูดกับเขาเมื่อสองวันก่อนในอารามเต๋า ก็อดไม่ได้ที่จะมึนงงไปเล็กน้อย หรือว่าข้าผิดไปจริงๆ ตลอดหลายปีมานี้

เว่ยซั่งซูไม่ได้มา คนที่มาเป็นหนุ่มขี้อายจากหอลงทัณฑ์

ประมุขรองตระกูลถังถูกนำตัวไป

ไม่มีใครรู้ว่าเขาจะถูกขังที่ใด เขาจะปรากฏตัวต่อสาธารณชนอีกหรือไม่ หรือว่าจะตายในคืนนี้เลย

ดังคำพูดที่ผู้พิทักษ์ชรานึกขึ้นได้ตอนที่มองไปทางถังซานสือลิ่วในหอบรรพชน

ตระกูลถังเดินบนเส้นทางพ่อค้า ผู้ชนะได้ฉลองใน คนแพ้ไม่เหลืออะไร มันก็เป็นเช่นนี้

และดังข้อความที่ถังซานสือลิ่วบอกต่อประมุขผู้เฒ่าตระกูลถัง ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของประมุขผู้เฒ่า ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐาน ไม่จำเป็นต้องถกถึงเหตุผล