บทที่ 1713 ยืดอกยอมรับแล้ว

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

ประมุขชิงสีหน้าเคร่งขรึมลงครึ่งหนึ่ง จ้องเหมียวอี้ด้วยสายตาเย็นเยียบ สาเหตุก็ไม่ใช่เพราะอะไร เป็นเพราะดึงจ้านหรูอี้สนมโปรดของเขาเข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว เช่นเดียวกัน สายตาเย็นเยียบนั้นชำเลืองที่อิ๋งอู๋เชวีย ไม่รู้ว่าอิ๋งอู๋เชวียเคยพูดอย่างนี้จริงหรือเปล่า

จิตใต้สำนึกอิ๋งอู๋เชวียอยากจะคำรามใส่เหมียวอี้ แต่กลับถูกสายตาเย็นเยียบของประมุขชิงจ้องมองจนขนลุกไปทั้งตัว โดยเฉพาะสายตาจองราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ ชั่วพริบตานี้เขานึกเสียใจทีหลังแทบแย่ เสียใจที่ไม่เชื่อฟังคนในครอบครัว จะไปยั่วโมโหหมาบ้าอย่างหนิวโหย่วเต๋อทำไมกัน? พออ้าปากเผยฟันคมก็กัดมั่วไปหมด!

ถึงแม้เขาจะอายุมากกว่าเหมียวอี้ วรยุทธ์สูงกว่าเหมียวอี้ด้วย เห็นโลกมาเยอะกว่าเหมียวอี้ แต่ถ้าพูดถึงฉากเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย เขากลับไม่เคยสัมผัสเลยสักครั้ง เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ถูกจำกัดเงื่อนไขบางอย่างเอาไว้ พูดถึงสติปัญญากับการรับมือปัญหาอย่างใจเย็นมีสติ เขาไม่อาจเทียบกับเหมียวอี้ที่ผงาดขึ้นจากการสู้ตายครั้งแล้วครั้งเล่าได้เลย นับว่าฝีมือคนละชั้น

ส่วนเหมียวอี้ เขาไม่สนใจหรอกว่าประมุขชิงจะคิดอย่างไร แต่จะพูดว่าไม่สนก็ไม่ได้ เพราะเดิมทีนิสัยของเหมียวอี้ก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว เรื่องบางเรื่องที่จุกจิกไม่สำคัญ เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ต้องรับมืออย่างเร่งด่วน เขาก็ไม่สนใจอะไรมากขนาดนั้นหรอก พูดเรื่องนี้ให้จบก่อนแล้วค่อยว่ากัน ทำเรื่องตรงหน้าให้ดีก่อนแล้วค่อยคำนึงถึงเรื่องระยะยาวอีกที ถ้าเขาไม่พูดแล้วประมุขชิงจะปกป้องเขาเชียวเหรอ?

เข้าใจเย็นเป็นพิเศษ และเข้าใจชัดเจนมากด้วย ว่าตั้งแต่ที่ตัวเองก้าวเท้าเข้ามาในตำหนัก เขาก็ไม่มีทางให้ถอยกลับแล้ว มีแต่ต้องชนะเท่านั้น เขาแพ้ไม่ได้

นี่ก็คือสิ่งที่หยางชิ่งบอกว่า ต้องดูว่านายท่านมีความกล้าที่จะไขว่คว้ามาหรือเปล่า!

หยางชิ่งเป็นคนที่ไม่ค่อยทำอะไรเสี่ยงอันตราย แต่กลับคิดแผนสุดอันตรายออกมาได้ ทว่าแผนนี้ก็ตรงรสนิยมของเหมียวอี้สุดๆ !

บนราชสำนักมีแต่คนประเภทไหนกันล่ะ? ผู้ที่มีคุณสมบัติยืนประชุมในราชสำนักได้ก็ไม่ได้โง่เท่าไรหรอก ถึงแม้เหมียวอี้จะบอกว่าไม่กล้าพูด บอกว่าจำได้ไม่ชัดเจน คำพูดนี้ไม่ต่างอะไรกับการชี้ว่าอิ๋งอู๋เชวียกำลังบอกว่าสนมสวรรค์ต่างหากที่เป็นคนที่ประมุขชิงรักที่สุด ไม่เห็นราชินีสวรรค์อยู่ในสายตา บางทีอาจจะแฝงความหมายว่าสักวันหนึ่งสนมสวรรค์จะต้องมาแทนที่ตำแหน่งฮูหยินเอก สรุปก็คือน่าจะไม่พ้นเกี่ยวข้องกับความหมายพวกนี้

ตอนนี้ทุกคนยังไม่รู้ว่าอิ๋งอู๋เชวียเคยพูดอย่างนี้จริงๆ หรือว่าเหมียวอี้กำลังปั้นน้ำเป็นตัว แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่สามารถแน่ใจได้ นั่นก็คือเจ้าเด็กเปรตนี้ฝากร้ายกาจจริงๆ หากมีวันใดที่ได้เข้ามาในราชสำนัก เกรงว่าคงจะไม่เสียเปรียบเท่าไรนัก

โค่วเจิงมองเหมียวอี้ เรียกได้ว่าตับไตสั่นไปหมดแล้วจริงๆ นี่เป็นครั้งแรกที่พบว่าน้องเขยจอมเอาเปรียบของตัวเองฝีปากร้ายกาจขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะปั้นเรื่องโยงกับคำว่า ‘คารวะโอรสสวรรค์’ ได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าคิดได้ชั่วขณะนั้น หรือว่าวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่จ้องอิ๋งอู๋เชวียด้วยสายตา ‘ตั้งใจชื่นชม’ ความเย็นเยียบลึกล้ำที่ซ่อนอยู่ในดวงตาทำให้คนที่ถูกจ้องตัวสั่นทั้งๆ ที่ไม่ได้หนาว ตอนนี้นางไม่พิจารณาเลยว่าสิ่งที่เหมียวอี้พูดเป็นความจริงหรือไม่ ในสายตานาง เดิมทีตระกูลอิ๋งก็มีเจตนาจะแทนที่นางอยู่แล้ว มีความเป็นไปได้สูงมากว่าอิ๋งอู๋เชวียจะพูดอย่างนี้ออกมาจริงๆ มิหนำซ้ำนางก็ดูออกแล้วว่าก่อนหน้านี้ฉีหลิงหวนร่วมมือกับอิ๋งอู๋เชวียแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ดังนั้นยามนางอยู่ภายใต้ปัจจัยแวดล้อมที่ทำให้เกิดอุปาทานต่างๆ จึงตัดสินแล้วว่าอิ๋งอู๋เชวียเคยพูดอย่างนี้จริง

อิ๋งอู๋เชวียสมควรตาย! ตระกูลอิ๋งควรถูกสังหารทั้งตระกูล! ในใจเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เกิดความคิดชั่วร้ายน่ากลัวแวบเข้ามาราวกับฟ้าผ่า

ดวงตางามหันกลับไปมองเหมียวอี้อีกครั้ง พอนึกถึงคำว่า ‘คารวะโอรสสวรรค์’ นึกถึง ‘ยามราชันถูกดูหมิ่น ขุนนางยอมตายถวายความจงรักภักดี’ ในใจก็รู้สึกผ่อนคลายไร้ที่เปรียบ รู้สึกว่าเหมียวอี้เป็นอย่างที่พูดจริงๆ เป็นคนประเภทมีความจงรักภักดี มีเรื่องโง่เง่าอะไรบ้างที่ไม่เคยทำ? ก่อเรื่องที่พระตำหนักอุทยานบางก็ไม่แปลก ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น ดูอย่างตอนแรกที่เหมียวอี้ด่าอิ๋งจิ่วกวงว่าขายผู้หญิงแลกเกียรติยศต่อหน้าคนของตระกูลอิ๋งก็รู้แล้ว

นางกลับไม่คิดดูบ้างว่าตัวเองมีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อได้ยินว่า ‘ขายผู้หญิงแลกเกียรติยศ’  ตอนนี้กลับรู้สึกว่าเหมียวอี้ไม่ถูกกับตระกูลอิ๋งมาตลอด ถึงได้ทำให้นางมีท่าทีที่ควรจะมีต่อตำหนักนารีสวรรค์ ต้องสู้กับตระกูลอิ๋งให้ตายกันไปข้างสิถึงจะถูก!

โพ่จวินมองเหมียวอี้ด้วยแววตาสื่ออารมณ์ซับซ้อน คำพูดอันฮึกเหิมเร้าใจของเหมียวอี้เมื่อครู่นี้ถูกใจเขามาก โดยเฉพาะคำว่า ‘ยามราชันถูกดูหมิ่น ขุนนางยอมตายถวายความจงรักภักดี’ ถ้าได้เจ้าเด็กนี่มาอยู่ในกองทัพองครักษ์จะดีขนาดไหน น่าเสียดายที่ราชันที่อีกฝ่ายจะปกป้องหมายถึง ‘เซี่ยโห้วเฉิงอวี่’ สิ่งนี้ทำให้เขาสะอิดสะเอียนมาก

“ใจกล้าบ้าบิ่น นึกไม่ถึงว่าจะพูดจากำกวมที่นี่ ถูกผิดปนกันวุ่นไปหมด ต้องการจะเสี้ยมให้แตกแยกกัน มีเจตนาไม่ซื่อ!” ฉีหลิงหวนพลันตะคอก มองทะลุเจตนาของเหมียวอี้ทันที ผู้ที่ยืนอยู่ที่นี่ได้เป็นคนเลอะเลือนเสียที่ไหนกัน

“ฝ่าบาท หม่อมฉันถามจบแล้วเพคะ” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่พลันเอ่ยแทรก โค้งตัวเล็กน้อยพลางพยักหน้าแสดงความจริงใจต่อประมุขชิง ส่วนประมุขชิงก็พยักหน้าให้นาง

เหมียวอี้หันกลับไปมองอีก “นายท่านกำลังว่าข้าน้อยเหรอ?”

“นอกจากเจ้าแล้วยังจะมีใครอีก? ปากพูดแต่เรื่องเหลวไหล เจ้ามีพยานหรือเปล่า?” ฉีหลิงหวนตะคอกอย่างโมโห

“นายท่านลองถามอิ๋งอู๋เชวียดูก็ได้ว่าเคยพูดอย่างนี้หรือเปล่า” เหมียวอี้ถามกลับ

ไม่รอให้ฉีหลิงหวนถาม อิ๋งอู๋เชวียก็ตอบกลับอย่างโมโหแล้วว่า “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าพูดซี้ซั้วไม่คำนึงถึงความจริง ข้าเคยพูดอย่างนั้นตั้งแต่เมื่อไรกัน?”

“แปลว่าเจ้าไม่ยอมรับอีกแล้วเหรอ?” เหมียวอี้จ้องเขา

ที่บอกว่า ‘อีกแล้ว’ คืออะไร? อิ๋งอู๋เชวียเถียงอย่างโมโห “เจ้าปั้นน้ำเป็นตัวชัดๆ จะให้ข้ายอมรับได้ยังไง?” เขาหันตัวไปกุมหมัดคารวะต่อเบื้องบนอีก “ฝ่าบาท เหนียงเหนียง ข้าน้อยถูกใส่ร้าย!”

“ในเมื่อเจ้าตะโกนว่าถูกใส่ร้าย ทำไมไม่หาพยานมาพิสูจน์ล่ะว่าเจ้าไม่เคยพูด? เจ้ามีพยานหรือเปล่า?” เหมียวอี้ถาม

ฉีหลิงหวนเพิ่งจะอ้าปาก แต่อิ๋งอู๋เชวียก็ตะโกนแล้วว่า “มี!”

เหมียวอี้ยิ้มเย้ยในใจ

หลังจากในตำหนักเงียบสงบลง ประมุขชิงที่นั่งอยู่เบื้องสูงก็กล่าวเสียงเรียบว่า “หาตัวพยานมา”

“ตรงนั้นมีลูกหลานตระกูลอิ๋งกับลูกหลานตระกูลโค่วเป็นพยานให้ได้” อิ๋งอู๋เชวียรายงาน

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ฉีหลิงหวนก็ขมวดคิ้วเบาๆ จนใจที่ครั้งนี้ห้ามไม่ทันแล้ว จะให้อิ๋งอู๋เชวียกลับคำพูดได้อย่างไร

มีขุนนางไม่น้อยแอบส่ายหน้า กำลังพลเครือข่ายตระกูลอิ๋งก็ยิ่งพูดไม่ออก  อิ๋งอู๋หม่านที่นั่งหน้านิ่งอยู่ตรงที่นั่งมองน้องชายคนรองด้วยแววตาเย็นเยียบ อยากจะพุ่งเข้าไปเอากระบองหมาป่าตีหัวสักที พูดให้น้อยๆ หน่อยจะตายเหรอ? ตระกูลอิ๋งมีเครือข่ายคนเยอะขนาดนั้น กลัวว่าจะขาดคนช่วยพูดให้เจ้าเหรอ?

โค่วเจิงกลับแอบโล่งอก ไม่อย่างนั้นลูกเขยตระกูลโค่วถูกรุมรังแกต่อหน้าฝูงชน แต่ตระกูลโค่วกลับไม่มีใครออกมาเป็นพยานให้เลย ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไปก็จะฟังดูเหลวไหล ไม่ว่าจะอย่างไร อย่างน้อยหนิวโหย่วเต๋อก็ยังได้ชื่อว่าเป็นลูกเขยของตระกูลโค่ว

เขารีบใช้ระฆังดาราในมือติดต่อกับโค่วฉินที่อยู่ด่านนอก สั่งไว้ว่าให้พูดอย่างไร

“ประกาศ!” ประมุขชิงสั่ง

ผ่านไปไม่นาน ด้านนอกก็มีทหารของกองทัพองครักษ์นำตัวลูกหลานตระกูลอิ๋งละตระกูลโค่วที่อยู่ในงานเข้ามาแล้ว

ผลลัพธ์ของการสืบพยานก็ไม่ซับซ้อน คนของตระกูลอิ๋งย่อมปฏิเสธว่าอิ๋งอู๋เชวียเคยพูดอะไร ส่วนคนของตระกูลโค่วก็บอกว่าอิ๋งอู๋เชวียเคยเข้ามาดื่มสุราฉลองแล้วพูดว่า ‘มีคนนั่งผิดที่หรือเปล่า’ ส่วนเรื่องถ่ายทอดเสียงอะไร ก็บอกเพียงว่าสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ของอิ๋งอู๋เชวีย ส่วนพูดอะไรนั้นไม่ชัดเจน

ชัดเจนว่าต่างคนต่างพูดเข้าข้างฝ่ายตัวเอง อากงพูดอย่างหนึ่ง อาม่าพูดอย่างหนึ่ง ใครจะไปรู้ว่าใครพูดผิดหรือพูดถูก?

ส่วนตระกูลโค่วก็เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้หลบเลี่ยงไม่ยอมออกมา แต่กลับถูกตระกูลอิ๋งดึงออกมาเป็นพยานแล้ว ตอนนี้แม้แต่กำลังพลเครือข่ายอื่นก็ไม่สะดวกจะขัดใจตระกูลโค่วแล้ว ไม่ใช่ว่าคนอื่นกลัวตระกูลโค่วจะไม่รักษาสัญญา แต่เป็นเพราะตระกูลอิ๋งไม่ได้เรื่องเอง ขุนนางกลุ่มนี้คุ้นเคยกับการทำงานอยู่ในราชสำนัก ยิ่งเข้าใจความรู้สึกของประมุขชิง ปัญหานี้จะจริงหรือเท็จก็ไม่มีทางสืบสาวต่อไปได้แล้ว ถ้าพิสูจน์ได้จริงๆ ว่าอิ๋งอู๋เชวียเคยพูดอย่างนั้น แล้วจะให้ราชินีสวรรค์ทนความรู้สึกได้อย่างไร จะให้สนมสวรรค์ทนความรู้สึกได้อย่างไร หรือจะให้ฆ่าอิ๋งอู๋เชวียทิ้งที่นี่จริงๆ ล่ะ? แบบนั้นไม่เท่ากับพิสูจน์ว่าตระกูลอิ๋งมีเจตนาชั่วร้ายจริงๆ หรอกเหรอ? ต่อให้รู้ชัดว่าตระกูลอิ๋งมีความคิดอย่างนี้ แต่เรื่องบางเรื่องก็ไม่อาจพูดเปิดโปงได้

ที่จริงผลลัพธ์ที่ดีที่สุดก็คือให้หนิวโหย่วเต๋อตาย แบบนั้นไม่ว่าใครก็ไม่มีความเห็นแย้งอะไร

เอาเป็นว่าขุนนางใหญ่กลุ่มนี้แอบทอดถอนใจ ด่านอันตรายด่านแรกที่ยัดข้อหาหนิวโหย่วเต๋อ เป็นเพราะความไร้สมองของอิ๋งอู๋เชวียถึงทำให้หนิวโหย่วเต๋อรอดไปได้อย่างราบรื่น

ฉีหลิงหวนก็ยิ่งแอบยิ้มอย่างขมขื่น ไม่ใช่ว่าอ๋องสวรรค์อิ๋งมีลูกน้องไร้ความสามารถ แต่ว่า…เอาเป็นว่าจะมาโทษลูกน้องไม่ได้หรอก!

ผลลัพธ์เป็นอย่างที่กลุ่มขุนนางใหญ่คาดไว้ ประมุขชิงกล่าวเสียงเรียบว่า “ไม่ว่าจะเคยพูดหรือไม่ หลังงานวันเกิดยอมมีการตรวจสอบอย่างละเอียด”

ไม่ว่าใครก็รู้ทั้งนั้น ว่าตระกูลโค่วกับตระกูลอิ๋งจะต้องรับผิดชอบสิ่งพูดออกมาต่อหน้าธารกำนัล หลังจากนี้จะต้องแบกไว้จนถึงที่สุดแน่นอน ถ้าเปิดเผยคำพูดนี้ ตอนหลังยังจะต้องสืบอะไรอีก!

ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ไม่ใช่คนโง่บริสุทธิ์ขนาดนั้น อยู่ที่วังสวรรค์มาหลายปีไม่ถือว่าสูญเปล่า ย่อมรู้ว่าเหมียวอี้รอดพ้นหายนะครั้งนี้ไปได้แล้ว นางมองเหมียวอี้ด้วยแววตาแอบชื่นชม รู้สึกว่าไม่ทำให้ตำหนักนารีสวรรค์ของนางเสียหน้า!

ก่อนหน้านี้นางยังไม่ค่อยคิดว่าคนของจวนแม่ทัพภาคตลาดผีคือคนของตำหนักนารีสวรรค์ วันนี้เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกมีพวก

ส่วนสตรีสูงศักดิ์ที่นั่งอยู่ในงาน มีจำนวนไม่น้อยที่แอบรู้สึกเสียดาย เนื่องจากเหมียวอี้แทบจะล่วงเกินทุกตระกูลหมดแล้ว

เม่ยเหนียงและลูกสาวแอบโล่งใจแทนเหมียวอี้ รู้สึกได้อย่างแท้จริงว่าช่องปากคือเงาดาบประกายกระบี่ที่น่าหวาดเสียวที่สุด เป็นครั้งแรกที่สองแม่ลูกค้นพบว่า ปากคนเราคืออาวุธที่ร้ายกาจได้ขนาดนี้ ฆ่าคนโดยไม่เห็นเลือด!

แต่กลุ่มขุนนางใหญ่ล้วนเข้าใจ ว่าตระกูลอิ๋งไม่มีทางปล่อยเหมียวอี้ไปง่ายๆ แน่ แพ้ไปหนึ่งกระดานแล้วจะต้องเอาคืน ไม่อย่างนั้นจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?

ไม่ผิดคาดอีกแล้ว หลังจากกลุ่มพยานออกจากตำหนัก ฉีหลิงหวนที่ยืนอยู่ตลอดก็กุมหมัดคารวะประมุขชิง “ฝ่าบาททรงเหมือนกระจกที่ใสสะอาด!” จากนั้นก็หันไปหาเหมียวอี้อีก “ในเมื่อเรื่องเมื่อครู่นี้ไม่อาจจะตัดสินให้ชัดเจนได้ ก่อนหน้านี้ตอนที่เจ้าก่อเรื่องข้างนอก คาดว่าคงไม่ได้ด่าแค่ข้าหรอก ขุนนางใหญ่ที่นั่งอยู่ในนี้ล้วนได้ยินหมดแล้วว่าเจ้าพูดว่า ‘ไม่เคยสร้างผลงานอะไร เศษสวะที่อาศัยแต่ร่มเงาของรุ่นพ่อรุ่นแม่ คู่ควรจะมาด่าข้าด้วยเหรอ’ เจ้ายอมรับหรือเปล่าว่าเจ้าพูด?”

ทำไมถึงเรียกว่าข้าก่อเรื่องอยู่ข้างนอกล่ะ? เป็นอิ๋งอู๋เชวียก่อเรื่องแท้ๆ ต่อให้ข้าก่อเรื่องแต่ก็ก่อเรื่องด้วยกันกับอิ๋งอู๋เชวีย…เหมียวอี้พึมพำในใจ ก็แค่ฉวยโอกาสเหน็บแนมข้าว่าตอนนี้จะไม่สืบสาวสิ่งที่ข้ากล่าวหาอีกแล้ว

“แน่นอน! ข้าน้อยไม่เหมือนคนพวกนี้…” เหมียวอี้เหล่ตามองอิ๋งอู๋เชวียแวบหนึ่ง “ข้าน้อยพูดก็คือข้าน้อยพูด ไม่เหมือนคนพวกนี้ที่ไม่กล้ายอมรับ!”

มารดาเจ้าเถอะ คำพูดนั้นล้วนผ่านไปแล้ว เจ้ายังไม่จบอีกเหรอ! อิ๋งอู๋เชวียเงยหน้ามองเขา ในดวงตาเต็มไปด้วยไฟโกรธ เกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะกระโดดขึ้นมาสู้ตายกับเขาสักยก

“ไม่ทราบว่าเจ้ากำลังด่าใคร?” ตอนที่ถามประโยคนี้ ฉีหลิงหวนมองดูปฏิกิริยาของขุนนางใหญ่ทั้งราชสำนัก

“ข้าน้อยไม่คิดว่าข้าน้อยกำลังด่าใคร ก็แค่พูดความจริงเท่านั้นเอง” เหมียวอี้กล่าว

ฉีหลิงหวนกดดันทันที “ไม่ทราบว่าเจ้าสร้างผลงานใหญ่อะไร ถึงกล้ามาดูหมิ่นผู้อื่นว่าเศษสวะ แล้วที่บอกว่าอาศัยร่มเงาพ่อแม่ เจ้าหมายถึงใคร?” เขากำลังจงใจช่วยให้เหมียวอี้ยั่วโมโหฝูงชน ช่วยขยายขอบเขตการถูกโจมตีให้เหมียวอี้

เม่ยเหนียงและลูกสาวแอบเป็นห่วง

ใครจะคิดว่าเหมียวอี้กลับดันทุรังยอมรับแล้ว ยืนกล่าวเสียงต่ำเสียงสูงเป็นท่วงทำนองอยู่อย่างนั้น “ข้าน้อยไร้ความสามารถ แต่ตอนจับผู้ร้ายหลบหนีของตำหนักสวรรค์ก็เคยได้รับรางวัลอันดับหนึ่งจากฝ่าบาท นี่คือผลงานใหญ่ในสายตาข้าน้อย เพียงพอที่จะให้ภาคภูมิใจแล้ว! ขอบังอาจถามนายท่าน ในใต้หล้าจะมีสักกี่คนที่ได้รับเกียรติเช่นนี้? ส่วนเศษสวะที่อาศัยแต่ร่มเงาของรุ่นพ่อรุ่นแม่อะไรนั่น ในเมื่อทุกคนอยากจะใส่ความ อยากจะคิดโยงยังไงก็ทำไปเถอะ คำพูดไร้น้ำหนักของข้าน้อยไม่ถนัดจะอภิปรายแก้ตัวในราชสำนัก ถ้าใครรู้สึกว่าข้าน้อยพูดผิดไป ก็เลือกลูกหลานที่วรยุทธ์พอๆ กับข้าน้อยออกมาสิ คนมีเงื่อนไขระดับเดียวกันที่อยากจะสู้ตัวต่อตัวกับข้าน้อยก็ได้ หรือจะให้กำลังพลที่มีพลังใกล้เคียงกับข้าน้อยมาสู้กันสักยกก็ได้ ไม่ว่าจะสู้ตัวต่อตัว หรือว่านำกำลังพลลงสนามรบทำศึก ข้าน้อยก็มั่นใจว่าสามารถโจมตีเศษสวะพวกนี้ได้ ข้าน้อยแค่พูดเรื่องจริง ไม่จำเป็นต้องด่าหรอก!”

…………………………