บทที่ 1714 พิสูจน์ได้ไหม

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เขาพูดแบบนี้ไม่กลัวจะล่วงเกินคนอื่นเหรอ? ที่สำคัญคือเขาล่วงเกินคนกลุ่มหนึ่งไว้นานแล้วต่างหาก ต่อให้เขาอยากจะประจบด้วยความเกรงใจ แต่อีกฝ่ายก็ไม่มีทางเกรงใจตามเขาอยู่ดี ไม่สู้ใช้วิธีแข็งกร้าวผ่านด่านนี้ไปให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถ้าแม้แต่ชีวิตยังเอาไม่รอด แล้วจะยังพูดถึงในภายหลังอะไรได้อีก? ดังนั้นเขาจึงล่วงเกินได้อย่างสมเหตุสมผลแล้ว!

นี่ก็คือลักษณะการทำงานของเหมียวอี้ ถ้าเขาเป็นคนนิสัยห่วงหน้าพะวงหลังเกินไป ก่อนหน้านี้คงไม่ล่วงเกินคนมากมายขนาดนี้หรอก แน่นอน ทุกวันนี้เขาก็คงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้เช่นกัน!

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ก็เรียกได้ว่าทำให้ทุกคนตกตะลึงจริงๆ

ประมุขชิงเอียงหน้า สายตาที่อยู่บนตัวเหมียวอี้ย้ายไปบนตัวซ่างกวนชิงที่อยู่ข้างกัน แล้วถ่ายทอดเสียงบอกว่า “เจ้าลูกลิงนี่ช่างไม่เกรงใจจริงๆ ไม่แปลกใจที่ก่อเรื่องไม่พัก เป็นคนเลอะเลือนคนหนึ่ง!”

ซ่างกวนชิงยิ้มแห้ง กวาดสายตามองปฏิกิริยาของคนในงาน

ทั้งงานเงียบงันเพราะความตกตะลึง คำพูดแบบเดียวกันนี้ เมื่อเข้าไปในหูของคนที่ต่างกัน ก็ย่อมให้รสชาติที่ต่างกัน

โพ่จวินฟังจนใช้สองมือวางยันขอบโต๊ะยาว คำพูดแข็งกร้าวเช่นนี้ถูกใจเขามาก ความจริงก็คือความจริง ไม่จำเป็นต้องเกรงใจกับพวกจิตใจซับซ้อนเหล่านี้

อู๋ฉวี่มองปฏิกิริยาของโพ่จวินแล้วแอบถอนหายใจ ไม่แปลกใจที่เจ้าเด็กนี่ได้รับความชื่นชมจากโพ่จวิน ความหยิ่งในศักดิ์ศรีเหมาะสมกับกองทัพองครักษ์จริงๆ มิน่าล่ะนำธงพยัคฆ์ครึ่งกองทัพไปตีทัพที่แข็งแกร่งของน่านฟ้าระกาติงได้

กลุ่มขุนนางในงานสีหน้าไม่ดีเท่าไร แต่อารมณ์ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก คนกลุ่มนี้นับว่าดูออกแล้ว ไม่แปลกใจที่ตอนเจ้าปัญญาอ่อนนี่กล้าลงมือกับขุนนางเต็มราชสำนักตอนอยู่ตลาดสวรรค์ ช่างเป็นความร้ายกาจที่ปัญญาอ่อน ไม่ว่าอะไรก็กล้าพูดออกมาหมด

กำเริบเสิบสาน! อวดดี! นี่ก็คือการประเมินในใจของกลุ่มขุนนาง สายตาที่มองเหมียวอี้ส่วนใหญ่เหยียดหยามและไม่เป็นมิตร นับว่าขี้คร้านจะถือสาเหมียวอี้ ปล่อยให้ฉีหลิงหวนเถียงกับเขาไปก็พอ สู้กับทหารต่ำต้อยคนเดียว ถ้าจะให้ขุนนางใหญ่ทั้งราชสำนักลงมือพร้อมกัน จะไม่กลายเป็นเรื่องน่าหัวเราะเยาะหรอกหรือ ที่สำคัญคือคำพูดลำพองใจในตัวเองของเหมียวอี้ทำให้ทุกคนหาเหตุผลมาเถียงกลับไม่ได้จริงๆ

แม้แต่ฉีหลิงหวนที่กำลังตำหนิติเตียนก็ถูกทำให้พูดไม่ออกนิดหน่อย ได้แต่ยืนอึ้งถลึงตาอยู่ที่เดิม ไม่เคยเห็นใครเป็นอย่างนี้มาก่อนเลย

ฉีหลิงอยากจะล่อให้เหมียวอี้ติดกับดัก แต่ใครจะคาดคิด เหมียวไม่ต้องรอให้เขาขุดกับดักลึกเลย เป็นฝ่ายกระโดดพุ่งเข้ามาใส่กับดักเองแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าจุดไฟช่วยเขาขยายขอบเขตการโจมตี เพราะเขาช่วยตัวเองให้เป็นแบบนั้นแล้ว ข้าจะล่วงเกินเสียตรงนี้เลย เจ้าจะทำอะไรข้าได้ล่ะ?

ฉีหลิงหวนคิดไปคิดมาแต่ก็หาประเด็นมาตำหนิเหมียวอี้ไม่ได้ ไม่ว่าจะเลือกลูกหลานจากตระกูลไหนที่มีเงื่อนไขระดับเดียวกันมาสู้แบบตัวต่อตัวหรือนำทัพสู้ศึก ก็เกรงว่าจะไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของหนิวโหย่วเต๋อจริงๆ ถึงแม้เจ้าเด็กนี่จะนิสัยไม่ดีเท่าไร ถึงขั้นน่าแค้นด้วยซ้ำ แต่กลับเป็นทหารกล้าผู้โด่งดัง ผลงานรบโดดเด่นสะดุดตา นึกถึงคนที่แม้แต่สี่อ๋องสวรรค์ยังเคยแย่ง แค่คิดดูก็รู้แล้ว

อิ๋งอู๋เชวียที่กำลังคุกเข่าอยากจะตะโกนเรียกลูกหลานตระกูลอิ๋งที่มีที่มีศักยภาพระดับเดียวกันมาตบหน้าหนิวโหย่วเต๋อสักที แต่ลูกชายเขาก็เป็นตัวอย่างให้เห็นแล้ว ไม่พอให้หนิวโหย่วเต๋อชายตาแลเลย ถ้าพูดถึงการนำทหารทำศึก บรรดาลูกหลานรุ่นนี้จะมีสักกี่คนที่เคยนำทหารทำศึกเลือด? ต่อให้เคยก็มียอดฝีมือคุ้มกัน คนที่มีเงื่อนไขระดับเดียวกันจะสู้กับหนิวโหย่วเต๋อที่นำทัพห้าหมื่นไปสู้กับทัพหนึ่งล้านได้อย่างไร? ข้าอ้าปากหลายครั้ง แต่ก็ต้องกลืนคำพูดกลับไปครั้งแล้วครั้งเล่า

นี่ก็คือประโยชน์ของการมีผลงานดี ในด้านนี้ ผลงานที่เหมียวอี้แสดงออกมาทำให้คนพูดไม่ออกจริงๆ

ลักษณะที่กล้าหาญชาญชัยทำให้เม่ยเหนียงและลูกสาวชำเลืองมองไม่หยุด เพียงแต่เม่ยเหนียงแอบมองปฏิกิริยาของกลุ่มขุนนางในราชสำนัก ในใจพึมพำว่า การที่หนิวโหย่วเต๋อพูดแบบนี้เหมาะสมแล้วเหรอ? อวดดีบ้าระห่ำเกินไปหรือเปล่า?

ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เลิกคิ้ว มองเหยียดคนที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างล่าง พบว่าหนิวโหย่วเต๋อสมกับเป็นคนของตำหนักนารีสวรรค์ คำพูดที่กล่าวออกมาทำให้สะใจ นางแอบชมว่าพูดได้ดีมาก! พูดได้เผด็จการมาก! ไม่น่าเชื่อว่าจะข่มให้ขุนนางใหญ่แต่ละคนพูดไม่ออก เป็นหน้าเป็นตาให้ตำหนักนารีสวรรค์เกินไปแล้ว!

เดิมทีนางก็ไม่ถูกชะตากับพวกขุนนางใหญ่ในราชสำนักอยู่แล้ว ไม่มีใครดีสักคน รวมทั้งตระกูลเซี่ยโห้วด้วย

เมื่อใช้ประเด็นนี้หาเรื่องไม่สำเร็จ ฉีหลิงหวนก็หน้าบึ้งทันที ขณะกำลังจะเปลี่ยนประเด็นตำหนิ ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะชิงพูดกลั่นแกล้งก่อน “ทุกคนคงจะไม่ฟังแต่คำพูดที่ข้าน้อยด่าอิ๋งอู๋เชวีย แต่กลับไม่ฟังคำพูดที่อิ๋งอู๋เชวียด่าข้าน้อยหรอกใช่มั้ย?”

ฉีหลิงหวนกล่าวอย่างไม่ทุกข์ร้อน “ได้ยินแล้ว เขาบอกว่าเจ้าต่างหากที่เป็นเศษสวะ อยู่ที่ตลาดผีรับสมัครคนมาทำงานไม่ได้ รู้จักแต่ระบายอารมณ์ใส่ผู้หญิงของตัวเอง แต่ถ้าพูดตามหลักการของเจ้า ก็เหมือนจะไม่นับว่าด่านะ เขาอธิบายความจริงเหมือนกัน”

“ความจริงเหรอ? ช่างน่าขำ ข้าน้อยจะรับสมัครคนไม่ได้เชียวเหรอ?” เหมียวอี้แสยะยิ้ม ยักไหล่สองข้างให้กลุ่มคน จากนั้นสะบัดแขนเสื้อ “ถ้าข้าน้อยอยากจะรับคนจริงๆ แค่โบกมือก็ได้ทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งหนึ่งแสนแล้ว!”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ ก็มีคนไม่ร้อยแอบพ่นเสียงทางจมูก ไม่มีใครเชื่อเขาเลย

เดิมทีฉีหลิงหวนก็อยากจะเพิ่มข้อหาให้เหมียวอี้หลายๆ ชั้นจนไม่รอดจากความตาย แต่เขาเพิ่งได้บทเรียนจากฝีปากอันร้ายกาจของเหมียวอี้ กลัวว่าถ้าเถียงกับเหมียวอี้ต่อไปจะเปลี่ยนรสชาติอีก เขาจึงไม่พัวพันกับเหมียวอี้อีกแล้ว โจมตีจุดสำคัญเสียเลย “เจ้าจะรับสมัครคนได้หรือไม่ก็เป็นเรื่องของเจ้า แต่ทำไมต้องวิพากษ์วิจารณ์เกินจริง พูดต่อหน้าทุกคนว่าสาเหตุที่รับสมัครคนไม่ได้ ก็เพราะมีขุนนางใหญ่เต็มราชสำนักคอยเป็นก้างขวางคอ? การใส่ร้ายขุนนางใหญ่เป็นโทษร้ายแรง ใส่ร้ายขุนนางใหญ่ในราชสำนักก็เท่ากับใส่ร้ายตำหนักสวรรค์ ผิดซ้ำผิดซ้อน เจ้ารู้ถึงความผิดหรือเปล่า?”

อิ๋งอู๋เชวียเงยหน้าจ้องเหมียวอี้ ในใจยิ้มเจ้าเล่ห์อีกครั้ง พูดในใจว่า คอยดูซิว่าครั้งนี้เจ้าจะทำอย่างไร?

ตอนนี้เม่ยเหนียงและลูกสาวเริ่มกังวลอย่างจริงจังแล้ว คนมากมายล้วนได้ยินคำพูดของเหมียวอี้ ถ้าโดนข้อหานี้จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย

ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เริ่มปวดใจ ถ้าโดนข้อหานี้ต่อให้อยากจะช่วยแต่ก็ช่วยไม่ได้แล้ว ทุกคนได้ยินหมดแล้ว

ประมุขชิงมองเหมียวอี้อย่างเย็นชา ไม่รู้ว่าเหมียวอี้พูดแบบนี้ออกมาเพราะมีหลักฐานอะไรหรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ ก็ถึงคราวที่เขาจะลงมือแล้ว แต่เขานั่งมองปฏิกิริยาของกลุ่มขุนนางมาตลอด ถ้ามีคนที่ใจไม่บริสุทธิ์จริงๆ ตามหลักแล้วควรจะมีคนห้ามไม่ให้ฉีหลิงหวนดันประเด็นนี้ขึ้นมาสิถึงจะถูก ทำไมถึงไม่เห็นปฏิกิริยานี้ล่ะ?

เขายังมีอีกสิ่งหนึ่งที่สงสัย ระหว่างกลุ่มขุนนางด้วยกันย่อมมีธรรมเนียมและกฎในการอยู่ร่วมกันอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นก็จะเกิดความวุ่นวายระหว่างกัน พวกเขาตกลงกันแล้วว่าจะปล่อยหนิวโหย่วเต๋อไป ตามหลักแล้วไม่น่าจะแอบลอบกัดอีก แล้วอีกอย่าง คนที่มายืนอยู่ในราชสำนักได้จำเป็นต้องไปหยุดยั้งไม่ให้เหมียวอี้หาคนเข้าโถงชุมนุมอัจฉริยะเล็กๆ ด้วยเหรอ? ต่อให้ไม่ห้ามแต่คนก็น่าจะรู้ ว่าไม่มีใครอยากไปอยู่ในสถานที่อันไร้ความชัดเจนอย่างนั้นหรอก

เหมียวอี้นับว่าได้รับรู้ถึงความร้ายการของขุนนางในราชสำนักแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะกระโดดข้ามแผนของเขาไปได้ แต่ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว สำหรับเหมียวอี้จะกระโดดข้ามไปได้หรือไม่ก็ไม่มีความหมายสักเท่าไร ถ้าเขาไม่มีแม้แต่ความสามารถในการรับมือเหตุการณ์เฉพาะหน้า มีหรือที่จะกล้าเข้ามาเสี่ยงอันตรายในถ้ำเสือคนเดียว? จึงเลิกคิ้วถามทันที “ทุกประโยคเป็นความจริง จะมีความผิดได้อย่างไร?”

ฉีหลิงหวนแอบตกใจ อย่าบอกนะว่ามีคนแอบขัดขวางการรับสมัครจริงๆ แล้วโดนเจ้าเด็กนี่จับหลักฐานได้ เช่นนั้นเหตุใดจึงไม่มีคนแอบเตือนล่ะ จนกระทั่งตอนนี้ระฆังดารายังไม่สั่นเลย นี่มันเรื่องอะไรกัน?

ขุนนางใหญ่คนอื่นก็แอบกวาดสายตามองปฏิกิริยาของขุนนางคนอื่นเช่นกัน กำลังครุ่นคิดว่าเหมียวอี้ได้หลักฐานอะไรมาจริงหรือไม่

เดินมาถึงขั้นนี้แล้ว ฉีหลิงหวนเอวก็ทำให้ตัวเองหมดทางถอยแล้วเช่นกัน ทำได้เพียงถามกดดันตรงนั้นว่า “ในเมื่อบอกว่าทุกประโยคคือความจริง ไหนล่ะหลักฐาน?”

“ถ้าเจ้าดึงดันจะให้ข้าหาหลักฐานมาตอนนี้เลย ข้าก็หามาไม่ได้หรอก” เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ

หามาไม่ได้เหรอ? มีขุนนางใหญ่จำนวนไม่น้อยมองหน้ากันเลิกลั่ก ปฏิกิริยานั้นราวกับว่าอุ้มสาวงามกลับมาถอดกระโปรงแล้วแต่กลับพบความจริงว่านางเป็นผู้ชาย พบว่าหนิวโหย่วเต๋อช่างรนหาที่ตายจริงๆ อาศัยแค่ข้อหาที่อาจจะไม่มีจริงก็คิดจะใส่ร้ายกลุ่มขุนนางใหญ่แล้วเหรอ? คงเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วจริงๆ

อิ๋งอู๋เชวียแทบจะหัวเราะออกมาแล้ว

ฉีหลิงหวนแอบจะหัวเราะเช่นกัน แต่กลับเปลี่ยนเป็นแสยะยิ้มแทน “หมายความว่าตอนนี้เจ้าไม่มีหลักฐานอะไรเลย แต่กลับบอกว่าขุนนางใหญ่เต็มราชสำนักขัดขวางไม่ให้เจ้ารับสมัครคนงั้นเหรอ?”

“ถ้าไม่ใช่เพราะมีคนขัดขวาง แล้วทำไมข้าน้อยจึงรับสมัครคนไม่ได้สักคน หรือว่าคนในใต้หล้านี้ตายกันไปหมดแล้ว?” เหมียวอี้ถาม

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา คนที่เป็นห่วงเขาก็ได้เป็นห่วงเขาจริงๆ แล้ว จอมพลสายวอกลั่วหม่างขมวดคิ้วมุ่น ก่อนหน้านี้เขาเห็นเหมียวอี้ฝีปากคมกริบ ยังแอบชมว่าทำได้ดีอยู่เลย นึกไม่ถึงว่าชั่วพริบตาเดียวเหมียวอี้จะทำให้ตัวเองมาถึงทางตันเสียแล้ว ตอนนี้ต่อให้เขาอยากจะช่วย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มลงมือจากตรงไหน

ฉีหลิงหวน “หนิวโหย่วเต๋อ ไม่มีหลักฐานแต่เจ้ายังกล้าวิจารณ์เกินจริง เจ้าเห็นราชสำนักเป็นสนามเด็กเล่นเหรอ?”

“นายท่านอยากจะให้ข้าน้อยหาหลักฐานจริงเหรอ?” เหมียวอี้ถามกลับ

การพลิกโอกาสที่แสดงออกมาจากคำพูดนี้ได้ดึงดูดสายตาทุกคนอีกครั้ง

ฉีหลิงหวนอึ้งเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มเย้ยทันที “ไม่ใช่ว่าข้าอยากหรอก แต่เจ้าต้องหามาให้ได้ ข้าเองก็ทำไปเพราะหวังดีกับเจ้า ไม่อย่างนั้นเจ้าจะรับผิดชอบผลที่ตามมาไม่ไหว”

“หลักฐานโดยละเอียดนั้น ข้าน้อยหามาไม่ได้จริงๆ แต่ข้าน้อยกลับพิสูจน์ได้ว่าข้าน้อยไม่ได้พูดโกหก” เหมียวอี้ถาม

พูดถึงขั้นนี้แล้ว ฉีหลิงหวนก็รู้สึกได้รางๆ ถึงความไม่ชอบมาพากล ตัวเองจำเป็นต้องให้เขาพิสูจน์ตอนนี้เหรอ? แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว ตัวเองกดดันมาถึงขั้นนี้แล้ว จะไม่ถามได้เหรอ? เกรงว่าใครก็ไม่อาจห้ามไม่ให้เขาถามได้แล้ว รวมถึงตัวเขาด้วย จึงแข็งใจถามว่า “จะพิสูจน์ยังไง?”

เหมียวอี้ก้าวมาข้างหน้าสองก้าว ยืนตรงข้ามเขา แล้วกล่าวเสียงต่ำ “ในเมื่อโถงชุมนุมอัจฉริยะพิสูจน์ไม่ได้ เช่นนั้นก็ให้คนที่มีฐานะขุนนางในจวนแม่ทัพภาคตลาดผีมาพิสูจน์สิ ขอเพียงขุนนางใหญ่ทั้งราชสำนักไม่ขัดขวาง ถ้าภายในหนึ่งปีนี้ข้าน้อยดึงตัวกำลังพลจากทัพเหนือใต้ออกตกของสี่อ๋องสวรรค์มาได้หนึ่งแสน จะถือว่าพิสูจน์ได้มั้ย?”

“ฮ่าๆ!” ฉีหลิงหวนเงยหน้าหัวเราะลั่น ชี้เหมียวอี้พร้อมตะคอกว่า “ทั้งปากมีแต่คำพูดเหลวไหล ภายในหนึ่งปีนี้โถงชุมนุมอัจฉริยะของเจ้าจะรับคนได้หรือไม่ ก็สามารถพิสูจน์ได้แล้วเหรอว่ามีคนขัดขวางเจ้า เกี่ยวอะไรกัน? วิธีการพิสูจน์ของเจ้าอาจจะดันทุรังเกินไปหรือเปล่า?”

เหมียวอี้ก้าวเข้ามาข้างหน้าสองก้าว แล้วกล่าวเสียงต่ำ “ในเมื่อโถงชุมนุมอัจฉริยะไม่สามารถพิสูจน์ได้ เช่นนั้นก็เอาฐานะทางการของจวนแม่ทัพภาคตลาดผีมาพิสูจน์ ตราบใดที่ขุนนางใหญ่ทั้งราชสำนักไม่ขัดขวาง ถ้าข้าน้อยรับคนจากสี่ทัพเหนือใต้ออกตกของสี่อ๋องสวรรค์ได้หนึ่งแสนภายในหนึ่งปี จะพิสูจน์ได้มั้ยล่ะ?”

ในตำหนักเงียบกริบจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มตกพื้น ขุนนางทุกคนที่กำลังนั่งในนั้นล้วนกำลังใคร่ครวญวางแผน ตอนแรกบอกว่าแม้แต่นักพรตอิสระคนเดียวเหมียวอี้ก็หาไม่ได้ด้วยซ้ำ ถ้าต่อไปหนิวโหย่วเต๋อสามารถดึงตัวคนของสี่อ๋องสวรรค์มาสร้างทัพเกรียงไกรหนึ่งแสนได้ ภายใต้การเปรียบเทียบที่แตกต่างกันมากขนาดนี้ ถ้าหากเป็นจริงขึ้นมา ที่ก่อนหน้านี้บอกว่ามีคนขัดขวางการรับสมัครคนของหนิวโหย่วเต๋อ ก็ใช่ว่าจะฟังไม่ขึ้นเช่นกัน

แต่ไม่ว่ากลุ่มขุนนางจะคิดอย่างไรก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ ใครๆ ก็รู้ว่าไปที่ตลาดผีแล้วไม่มีอนาคต ยศและค่าจ้างก็ไม่สูงกว่าที่อื่น ทั้งยังถูกตึกศาลาสัตยพรตควบคุมเข้มงวด ตักตวงทรัพยากรไม่ได้สักเท่าไร ยามปกติแค่จะเกลี้ยกล่อมให้ใครไปก็ยังไม่สำเร็จเลย นอกเสียจากจะบีบบังคับให้ไป หรือไม่ก็มีประมุขชิงแอบเล่นตุกติกช่วยเหลืออย่างหนิวโหย่วเต๋อ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีใครอยากไปสถานที่นั้นหรอก ยังจะสร้างทัพเกรียงไกรหนึ่งแสนอะไรกัน? ทหารเก่งๆ ก็ยิ่งไม่ทิ้งอนาคตเพื่อไปอยู่สถานที่เส็งเคร็งอย่างนั้นอยู่แล้ว ต้องทราบไว้ว่าตำแหน่งสูงสุดของตลาดผีก็มีแค่แม่ทัพภาคตำแหน่งเดียว แล้วจะเป็นไปได้อย่างไร?

ในร่องตาที่กำลังหรี่มองของเซี่ยโห้วท่าฉายแวววูบไหวไม่หยุดนิ่ง หรือว่าหกลัทธิซ่อนทัพเกรียงไกรหนึ่งแสนเอาไว้ในสี่ทัพของอ๋องสวรรค์?

…………………………