ตอนที่ 1019: ความต้องการของเจี้ยนเฉิน
“ถูกต้อง น้องเจี้ยนเฉิน ทำไมเจ้าไม่พาพวกเราไปที่ใต้เมืองทหารรับจ้างล่ะ ? แบบนั้น เจ้าก็จะแสดงให้พวกเราเห็นผนึกได้ และพวกเราจะได้ยืนยันว่าเรื่องนี้จริงไหม ไม่เช่นนั้น มันคงจะยากที่จะให้พวกเราเชื่อคำพูดของเจ้า” ชายวัยกลางคนที่ดูโด่ดเด่นพูดขึ้นมา เขาไม่ได้เป็นคนของตระกูลผู้พิทักษ์และเป็นหัวหน้าตระกูลโบราณ เขาทรงพลังมากและไม่มีใครรู้ชื่อของเขา แม้แต่ในตระกูลผู้พิทักษ์เอง
เจี้ยนเฉินยืนอยู่อย่างสงบข้าง ๆ เทียนเจี้ยน ความสงสัยของคนพวกนี้ไม่ได้ทำให้เขาประหลาดใจ เพราะว่าเขาคาดการณ์ทั้งหมดไว้แล้ว
ข่าวนี้นั้นน่าตกใจจริง ๆ ไม่เคยมีข่าวเรื่องโลกเซียนที่ถูกทอดทิ้งปรากฏขึ้นมาก่อนเลยบนทวีปเทียนหยวน ดังนั้น ทุกคนที่ได้ยินมันอย่างกระทันหันจึงยากที่จะเชื่อมันได้เช่นกัน
ถ้าคนที่บอกเจี้ยนเฉินไม่ใช่โมเทียนหยุน แต่เป็นเด็กที่อายุน้อยกว่าเขา เจี้ยนเฉินก็คงไม่เชื่อเหมือนกัน เขาคงคิดว่ามันเป็นเรื่องตลก
เจี้ยนเฉินมองผ่านไปที่ทุกคนอย่างสงบ เขาไม่ได้เห็นความจริงจังในคนพวกนี้เลยหลังจากที่พวกนี้รู้เรื่องโลกเซียนที่ถูกทอดทิ้ง แทนที่กัน พวกเขากลับไม่แยแส บางคนยังยิ้มอย่างประชดประชันออกมาอีกด้วย
เจี้ยนเฉินอดไม่ได้ที่จะลอบถอนใจ เขาส่ายหน้า “ขอโทษด้วย แต่ข้าไม่สามารถพาพวกท่านไปที่ใต้ดินเพื่อดูผนึกได้ อย่างไรก็ตาม ข้าจะบอกพวกท่านทุกอย่างที่ข้ารู้เกี่ยวกับโลกเซียนที่ถูกทอดทิ้ง พวกท่านจะเชื่อหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับพวกท่าน”
อาณาเขตใต้เมืองทหารรับจ้างเป็นเขตของเสี่ยวหลิง ถ้านางไม่อนุญาต แม้แต่เซียนจักรพรรดิก็เข้าไปที่นั่นไม่ได้ เจี้ยนเฉินไม่ต้องคิดเลยเพราะมันคงเป็นไม่ได้ที่เสี่ยวหลิงจะยอมให้พวกเขาลงไปที่ผนึก
“หืม เรื่องที่เกี่ยวกับโลกเซียนที่ถูกทอดทิ้งเป็นเรื่องโกหกจริง ๆ เจี้ยนเฉิน เข้าสร้างเรื่องเหลือเชื่อนี้มาเพื่อหลอกพวกเรา เจ้าพยายามจะทำอะไรกันแน่ ? ” ผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายยิหยวนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างรุนแรง
เจี้ยนเฉินมีความบาดหมางกับนิกายยิหยวนอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ตอบกลับอย่างสุภาพ เขาจ้องอย่างเย็นชาไปที่ผู้อาวุโสสูงสุดแล้วพูด “เจ้าจะได้รู้เองในอนาคตว่าเรื่องที่เกี่ยวกับโลกเซียนที่ถูกทอดทิ้งเป็นเรื่องโกหกหรือไม่”
การประชุมสลายลงอย่างรวดเร็ว ทุกคนจากตระกูลผู้พิทักษ์กลับไปที่ตระกูลของตัวเอง การต่อสู้ของเซียนจักรพรรดิที่เป็นสัตว์อสูรดึงดูดพวกเขามาที่นี่ในตอนแรก ในตอนท้าย เรื่องที่เหลือเชื่อเกี่ยวกับโลกเซียนที่ถูกทอดทิ้งของเจี้ยนเฉินก็มีผลกระทบกับพวกเขา ทำให้ความคิดของพวกเขาไขว้เขว
แม้ว่าจะไม่มีใครเชื่อเรื่องการมีอยู่ของโลกอื่น แต่พวกเขาก็จำชื่อได้แม่น เรื่องที่มีโลกต่างออกไปที่มีจอมยุทธมากกว่ายี่สิบคนที่เหนือกว่าเซียนจักรพรรดิทำให้พวกเขาตกใจไปตาม ๆ กัน
ไม่มีใครเชื่อคำพูดของเจี้ยนเฉิน แต่คนมากกว่ายี่สิบคนที่เหนือกว่าเซียนจักรพรรดินั้นเป็นเรื่องที่เกินยับยั้งด้วยตัวของมันเองจริง ๆ
เจี้ยนเฉินอยู่ในห้องที่เทียนเจี้ยนจัดไว้เพื่อพักฟื้น ในขณะที่เทียนเจี้ยนและเซียนราชาหลายคนของเมืองทหารรับจ้างทั้งหมดก็รวมตัวกันอยู่ที่โถงศักดิ์สิทธิ์ลอยฟ้า
“ผู้อาวุโสสูงสุด เจ้าเชื่อที่เจี้ยนเฉินพูดหรือไม่ ? มีผนึกใหญ่อยู่ที่ใต้ดินของเมืองทหารรับจ้างจริงหรือ ? “
“ถ้าโลกเซียนที่ถูกทอดทิ้งมีอยู่จริงและอุโมงค์นั้นก็ถูกผนึกไว้ที่ใต้เมืองทหารรับจ้าง ท่านเจ้าเมืองก็น่าจะทิ้งข้อมูลเอาไว้เหมือนกัน เพื่อที่ว่าคนรุ่นต่อไปจะได้ระวังตัว ทำไมเขาถึงปิดบังเอาไว้”
ผู้อาวุโสทุกคนพูดข้อสงสัยของตนออกมา พวกเขายากที่จะเชื่อเรื่องโลกเซียนที่ถูกทอดทิ้งและเรื่องที่เกี่ยวกับมัน
เทียนเจี้ยนเดินกอดอกไปรอบรอบจรงกลางโถง เขาขมวดคิ้วแน่นแล้วพูดเรื่องที่คิดออกมา “มันยากที่จะยอมรับเรื่องที่สำคัญที่โผล่ขึ้นมากะทันหันแบบนี้ อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่ใช่แบบนั้น แล้วการสั่นไหวของเมืองทหารรับจ้างจะอธิบายเป็นอะไรได้ ? “
“และมันก็ไม่ใช่ว่าเจี้ยนเฉินจะเป็นคนที่โกหก เขาสนิทกับจิตวิญญาณม่านพลังเช่นกัน ดังนั้น ข้าคิดว่าเรื่องโลกเซียนที่ถูกทอดทิ้งน่าจะเป็นจริงมากกว่าเท็จ”
ผู้อาวุโสเคร่งเครียดทันทีหลังจากที่ได้ยินการวิเคราะห์ของเทียนเจี้ยน หนึ่งในนั้นพูดออกมาด้วยเสียงทุ้ม “ถ้านี่เป็นเรื่องจริง แล้วพวกเราทวีปเทียนหยวนจะใช้พลังอะไรในการขับไล่การรุกรานนี้ ? ตามที่เจี้ยนเฉินอธิบายเกี่ยวกับโลกเซียนที่ถูกทอดทิ้ง พวกเราไม่ใช่คู่มือของพวกนั้นแม้ว่าทวีปเทียนหยวน ทวีปสัตว์เทวะ เผ่าพันธุ์ทะเล และร้อยเผ่าพันธุ์จะร่วมมือกันก็ตาม เพราะว่ามันไม่เหมือนเมื่อครั้งโบราณกาลแล้ว พวกเราไม่มีสี่จอมยุทธที่ยิ่งใหญ่และมีเซียนจักรพรรดิมากมายแล้ว”
“ถ้าโลกเซียนที่ถูกทอดทิ้งรุกรานเข้ามาจริง ๆ พวกเราอาจจะไม่มีความสามารถที่จะต่อต้านได้เลย” ผู้อาวุโสอีกคนพูด ท่าทางของเขาหวาดกลัวมาก
เทียนเจี้ยนครุ่นคิด ในขณะที่เขาเดินไปรอบ ๆ ที่ทางเข้าของโลงศักดิ์สิทธิ์ เขาเงยกน้าขึ้นไปที่ว่างแล้วพึมพำ “เทพเจ้าแห่งสงครามเมื่อครั้งโบราณกาลหายไปจากทวีปเทียนหยวน ในขณะที่แม้แต่พยัคฆ์ปีกเทวะยังเกิดขึ้นมาอีกครั้ง เทพเจ้าแห่งท้องทะเลยังมีชีวิตอยู่ ในขณะที่อัจฉริยะอย่างเจี้ยนเฉินก็ยังปรากฏตัวขึ้นมาที่ทวีปเทียนหยวนของพวกเรา บางทีพวกเขาอาจจะเกิดมาเพราะหายนะในครั้งนี้ก็เป็นได้ ? พวกเขาเกิดมาพร้อมกันเพื่อที่จะมาขับไล่โลกเซียนที่ถูกทอดทิ้ง ? “
“มีเพียงท่านเจ้าเมืองเท่านั้นที่รู้เรื่องโลกเซียนที่ถูกทอดทิ้ง ท่านเจ้าเมืองได้ตั้งกฎไว้ให้กับผู้อาวุโส ถ้าพยัคฆ์ปึกเทวะปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง พวกเราต้องสนับสนุนมันในตอนที่มันยังไม่โต เขายังบอกอีกด้วยว่าพวกเราไม่ควรกังวลว่าพยัคฆ์ปีกเทวะจะนำอันตรายใดมาให้กับทวีปเทียนหยวน ท่านเจ้าเมืองเห็นล่วงหน้าหรือเปล่าว่าผนึกโลกเซียนที่ถูกทอดทิ้งจะถูกทำลายเมื่อพยัคฆ์ปีกเทวะปรากฎขึ้นอีกครั้งในอนาคต”
“ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ ความสามารถของท่านเจ้าเมืองเมื่อหลายปีที่แล้วคงจะอยู่ในระดับที่สวรรค์ยังเกรงกลัวเลยและมันคงเหนือกว่าระดับความเข้าใจของพวกพวกเรา”
ทันใดนั้นเอง เทียนเจี้ยนก็หันไปหาผู้อาวุโสด้านหลังเขาแล้วพูด “มันไม่สำคัญว่าโลกเซียนที่ถูกทอดทิ้งจะมีจริงหรือไม่ อย่าแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป ไม่เช่นนั้นมันจะทำให้ทั้งทวีปตกอยู่ในความหวาดกลัว”
..
ในห้องที่เงียบและเย็นแสงสีขาวนวลก็ย้อมห้องจนเป็นสีขาวหิมะ เจี้ยนเฉินนั่งอยู่ที่กึ่งกลางของห้องในขณะที่เขาใช้พลังเซียนธาตุแสงในการรักษาตัวเองอยู่
แม้ว่าเจี้ยนเฉินจะได้รับบาดเจ็บอย่างหนักในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ แต่เขาก็ใช้เวลาสั้นมากในการฟื้นฟูได้เต็มที่ภายใต้ร่างบรรพกาลและพลังเซียนธาตุแสงของเขา
เจี้ยนเฉินลืมตาขึ้นช้า ๆ หลังจากที่ฟื้นฟูเต็มที่แล้ว เขาเอาโถงศักดิ์สิทธิ์ของแผ่นดินทั้งแปดออกมาจากแหวนมิติทันที มันมีขนาดเท่าฝ่ามือในตอนนี้ แต่ไคเซอร์ก็ทำให้โคงศักดิ์สิทธิ์ที่ดูโอ่อ่ากลายเป็นซากปรักหักพัง มันไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนก่อนหน้านี้
เจี้ยนเฉินจ้องไปที่โถงศักดิ์สิทธิ์ที่พังทลายด้วยท่าทางที่เจ็บปวด แม้ว่าเขาจะได้รับมันมาไม่นานนี้ แต่มันก็ช่วยเขาไว้อย่างมาก การมีโถงศักดิ์สิทธิ์ทำให้เขาเทียบเท่ากับตระกูลผู้พิทักษ์ได้
“พลังของโถงศักดิ์สิทธิ์ยังไม่หายไป มันน่าจะกำลังซ่อมแซมตัวเองอยู่ในตอนนี้ แต่มันก็ช้ามาก ด้วยความเร็วในตอนนี้ มันคงใช้เวลาหลายทศวรรษหรืออาจจะมากกว่าศตวรรษในการซ่อมแซมตัวเองได้สมบูรณ์” เจี้ยนเฉินพึมพำในขณะที่เขาจ้องไปที่โถงศักดิ์สิทธิ์ ก่อนที่เขาจะเก็บมันเข้าไปในแหวนมิติ เขารู้ว่าเขาจะไม่สามารถใช้มันได้อีกเป็นเวลานานในอนาคต
หลังจากนั้น เจี้ยนเฉินก็เอาวัตถุเซียนออกมา วัตถุเซียนทนการโจมตีของไคเซอร์มาหลายครั้ง แม้ว่าไคเซอร์จำทำลายมันไม่ได้ แต่มันก็มีรอยอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าระดับความเสียหายจะไม่ได้มากเมื่อเทียบกับโคงศักดิ์สิทธิ์ แต่วัตถุเซียนก็สามารถซ่อมแซมตัวเองได้ ดังนั้นมันจึงกลับสู่สภาพเดิมได้โดยใช้เวลาไม่มาก
“วัตถุเซียนแข็งแรงกว่าโถงศักดิ์สิทธิ์ของแผ่นดินทั้งแปดมาก ถ้าเซียนจักรพรรดิต้องการที่จะทำลายมัน พวกเขาจำเป็นจะต้องใช้ความพยายามค่อนข้างมากทีเดียว ในอีกแง่หนึ่ง ไคเซอร์บดขยี้โถงศักดิ์สิทธิ์ของแผ่นดินทั้งแปดได้แค่การโจมตีเพียงไม่กี่ครั้ง อย่างไรก็ตาม ปัญหาอย่างเดียวของวัตถุเซียนก็คือการโจมตีของมันยังอ่อนเกินไป ถ้ามันเจอกับเซียนจักรพรรดิเข้า เซียนจักรพรรดิก็ไม่สามารถที่จะเข้าไปในวัตถุเซียนได้เลย ไม่เช่นนั้นมันก็ไม่ต่างกับส่งตัวเองเข้าไปตาย” เจี้ยนเฉินพึมพำ พลังป้องกันของวัตถุเซียนนั้นน่าตกใจ แต่มันก็เป็นแค่สิ่งของอยู่ดี มันไม่สามารถหนีได้ต่อหน้าเซียนจักรพรรดิ และถ้ามันตกอยู่ในมือของเซียนจักรพรรดิ มันคงจะถูกทำลายในวันเดียวหรือไม่กี่วัน
เจี้ยนเฉินถือวัตถุเซียนเอาไว้ในขณะที่เขาคิดลึก เขาคิด “ข้าได้บอกตระกูลผู้พิทักษ์ทั้งสิบเกี่ยวกับโลกเซียนที่ถูกทอดทิ้ง แต่พวกเขาไม่เชื่อว่ามันมีอยู่เลย พวกเขาทั้งหมดคิดว่าข้าโกหกและข้าแต่งเรื่องมาเพื่อหลอกพวกเขา เห้อ ดูเหมือนการที่จะทำให้พวกเขาเชื่อว่าโลกเซียนที่ถูกทอดนั้นมีอยู่ทิ้งคงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”
“แต่มันไม่สำคัญว่าพวกเขาจะเชื่อข้าหรือไม่ จอมยุทธที่ยิ่งใหญ่กว่าเสี่ยวหลิงได้ปรากฏขึ้นมาในโลกนี้และยังมีคนที่อยู่ในขอบเขตรับมอบอีก และยังมีเซียนจักรพรรดิเหลืออยู่อีกด้วยเช่นกัน พวกเขาไม่ใช่อะไรที่โลกนี้สามารถขับไล่ได้ ทุกคนในที่นี่นั้นอ่อนแอเกินไป”
“เรื่องที่สำคัญที่สุดคือการเพิ่มความแข็งแกร่งโดยรวมของโลกนี้ แต่ทางเดียวสำหรับพวกเขาที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งได้คือการดูดซับศิลาเซียนหยินหยาง การมีอยู่ของศิลาเซียนหยินหยางทำให้การพัฒนาการยากขึ้นในตอนนี้ อ้างอิงจากที่โมเทียนหยุนบอกมา เมื่อมันหายไปแล้ว กฎของธรรมชาติก็จะกลับมาเหมือนปกติเหมือนเมื่อครั้งโบราณกาล จอมยุทธที่อยู่ในชั้นสวรรค์ที่ 9 ของเซียนราชาหรือเซียนราชาในขั้นสูงสุดก็จะใช้แค่เวลาสั้นมากในการที่จะได้เป็นเซียนจักรพรรดิ ซึ่งจะทำให้มีเซียนผู้คุมกฎและเซียนจักรพรรดิมากขึ้น”
“น่าเสีดายที่พลังของศิลาเซียนหยินหยางนั้นทรงพลังเกินไป ข้าไม่สามาถดูดซับมันได้ด้วยความแข็งแกร่งของข้าในตอนนี้ ข้าจะดูดซึมมันได้หลังจากที่ข้าสำเร็จร่างบรรพกาลขั้นที่ 5 กับหญิงสาวเจ้าเสน่ห์แห่งสวรรค์แล้วจากการบอกกล่าวของจิตวิญญาณกระบี่ม่วงฟ้า”
เจี้ยนเฉินอดไม่ได้ที่จะคิดถึงเหตุการณ์บัดสีที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับหญิงเจ้าเสน่ห์แห่งสวรรค์เมื่อเขาคิดถึงนาง เขาเต็มไปอารมณ์ที่ปั่นป่วน
เขาจำเป็นที่จะต้องฝึกฝนกับหญิงสาวเจ้าเสน่ห์แห่งสวรรค์เพื่อที่จะดูดพลังจากหินเซียนหยินหยางและกลั่นปราณหยินหยางให้มาเป็นพลังของเขาเอง
“ร่างบรรพกาลขั้นที่ห้า ร่างบรรพกาลขั้นที่ห้า ในตอนนี้ข้าอยู่ในขั้นที่สาม ข้าจะใช้เวลาเท่าไรนะในการที่จะไปถึงขั้นที่ห้าได้ ? ข้าสามารถดูดพลังงานจากศิลาเซียนหยินหยางได้เมื่อข้าสำเร็จถึงขั้นที่ห้า นอกเหนือไปจากนั้น ตามที่จิตวิญญาณกระบี่บอกแล้ว ข้าสามารถไปถึงขั้นที่แปดได้หลังจากที่ข้าดูดซับพลังงานของมันไปทั้งหมด หรืออาจจะถึงขั้นที่เก้าก็ได้ ในตอนนั้น ข้าน่าจะสามารถสู้กับพวกที่อยู่ในขอบเขตย้อนกลับและขอบเขตแลกเปลี่ยนได้ ! ” เจี้ยนเฉินยืนอยู่ และตาของเขาก็เต็มไปด้วยความปรารถนา