บทที่ 968 ข้าไม่ใช่คนเช่นนั้น

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 968 ข้าไม่ใช่คนเช่นนั้น

แสงสีแดงบนท้องฟ้าเริ่มเจือจางลงไป

รังสีแห่งการฆ่าฟันเบาบางลง

บรรยากาศแห่งการฆ่าฟันที่ไม่สามารถสัมผัสได้ในโลกมนุษย์ใบเก่า กลับสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนในโลกแห่งวรยุทธ์ใบนี้

บรรดาผู้ใช้ค่ายอาคมรีบทำงานแข่งกับเวลาเพื่อเติมกระสุนปืนใหญ่อาคมและซ่อมแซมม่านพลังเพื่อเตรียมพร้อมรับมือสำหรับการโจมตีครั้งต่อไป

บรรยากาศยังคงตึงเครียด

ทุกคนยังคงมีสีหน้าเคร่งเครียด

แต่ภายใต้บรรยากาศที่ตึงเครียดเช่นนี้ กลิ่นเนื้อย่างยังคงหอมฉุยอยู่ในอากาศ

เมื่อเฉียนเหมยเปลี่ยนชุดเกราะใหม่แล้ว นางก็ลากเก้าอี้มานั่งอยู่ข้างเตาไฟ และเริ่มต้นรับประทานเนื้อย่างเพื่อเติมพลังงานให้แก่ตนเอง

สายตาของผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนยังคงจับจ้องมองมาที่เด็กสาวผู้นี้

และการต่อสู้ที่เพิ่งผ่านพ้นไป เฉียนเหมยสามารถทำให้เหล่าแม่ทัพใหญ่ตกตะลึงได้อย่างแท้จริง

สำหรับการต่อสู้ที่กำลังจะมาถึงนับจากนี้ ขอแค่เฉียนเหมยยกมือขึ้นและร้องตะโกนว่า ‘ชักกระบี่ของพวกเจ้า แล้วติดตามข้ามา’ ก็คงมีนายทหารจำนวนมากยินดีติดตามนางไปอย่างไม่คิดชีวิต!

หลินเป่ยเฉินสั่งให้หวังจงและเหล่านักรบเกราะเงินเตรียมตัวออกไปเก็บกวาดซากศพของมนุษย์ม้าที่อยู่บนเนินเขานอกกำแพงเมือง

“ระวังด้วยล่ะ อย่าทำให้ซากศพของพวกมันเสียหาย…”

“ข้าต้องการกระดูก…”

“เก็บกวาดซากศพของพวกมันกลับมาอย่าให้เหลือ”

“อย่าลืมควักลูกตาออกมาด้วย…”

“เครื่องในก็อย่าปล่อยทิ้งไว้ให้เสียเปล่า…”

หวังจงยืนเท้าเอวพลางออกคำสั่งกับกลุ่มนักรบเกราะเงินที่กำลังเตรียมตัวเสียงดังกังวาน

สัญชาตญาณของนักค้าขายกำลังบอกพ่อบ้านชราว่าซากศพของมนุษย์ม้าเหล่านี้คือสิ่งที่มีค่ามหาศาล

หนังของพวกมันสามารถนำมาทำเป็นเสื้อเกราะ เส้นเอ็นสามารถนำมาใช้เป็นสายธนู กระดูกสามารถนำมาใช้สร้างเป็นเครื่องมือหรืออาวุธ เนื้อสามารถนำมารับประทาน เลือดสามารถนำไปปรุงยา อวัยวะภายในสามารถนำไปขาย… ไม่ว่าส่วนไหนของมนุษย์ม้าเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเงินทองทั้งสิ้น

เงินทองจำนวนมาก

“นายน้อยขอรับ มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล”

อยู่ดี ๆ หวังจงก็เดินเข้ามากระซิบกับหลินเป่ยเฉิน

อะไรอีกละเนี่ย?

หลินเป่ยเฉินหันขวับไปมองคนรับใช้ของตนเอง

หวังจงมีสีหน้าลำบากใจและกล่าวกระซิบกระซาบต่อไปว่า

“ดวงตาข้างขวาของหวังจงกระตุกไม่หยุดเลยขอรับ ครั้งสุดท้ายที่ตาขวาของหวังจงกระตุกเช่นนี้ นั่นก็คือวันที่ตระกูลหลินล่มสลาย… หวังจงรู้สึกอย่างชัดเจนว่าอาณาเขตแห่งนี้ผิดปกติ และกำลังจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นขอรับ”

หวังจงว่า

หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ

ชายชราที่มีระดับพลังต่ำต้อย กลับมีลางสังหรณ์ที่แม่นยำถึงเพียงนี้เชียวหรือ? นี่หมายความว่าพวกเขากำลังจะตกอยู่ในอันตรายใช่หรือไม่?”

“นายน้อยขอรับ มีบางอย่างผิดปกติจริง ๆ หากเกิดเรื่องเลวร้ายอันใดขึ้นมา นายน้อยอย่าทิ้งหวังจงนะขอรับ…”

ชายชรากล่าวด้วยสีหน้าเศร้าโศก

“ตอนแรกข้าบอกแล้วไงว่าเจ้าไม่ต้องตามเข้ามาหรอก แต่เจ้าก็ยืนยันว่าจะเข้ามาหาเงินที่นี่ให้ได้ เจ้าถึงกับขอร้องอ้อนวอนข้าน้ำหูน้ำตาไหล บัดนี้กลับหวาดกลัวขึ้นมาเสียแล้วหรือ?”

“ก็ตอนนั้นหวังจงไม่รู้ขอรับว่าที่นี่จะน่ากลัวขนาดนี้”

หวังจงอยากจะร้องไห้โดยไม่มีน้ำตา ก่อนคร่ำครวญออกมาว่า “ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น นายน้อยต้องปกป้องหวังจงนะขอรับ สิ่งสำคัญก็คือหากนายน้อยยังมีหวังจงอยู่ข้างกาย ยามนายน้อยตกอยู่ในอันตราย หวังจงยังช่วยรับกระบี่แทนนายน้อยได้…”

ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่นี้ โหลวซานกวนก็วิ่งเข้ามารายงานว่า “คุณชายหลิน ฝ่าบาททรงเรียกเข้าพบขอรับ”

หลินเป่ยเฉินเตะหวังจงลอยกระเด็นออกไปขณะคำรามว่า “เลิกทำตัวเป็นเด็กได้แล้ว ทุกคนที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็นชายชาติทหารทั้งสิ้น หากเจ้ายังทำตัวขี้ขลาดตาขาวเช่นนี้ ข้านี่แหละที่จะเป็นคนสังหารเจ้าเอง… รีบออกไปเก็บศพมนุษย์ม้าพวกนั้นให้ข้าได้แล้ว!”

หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็หันมาพยักหน้ากับโหลวซานกวน “เชิญท่านองครักษ์นำทาง”

พวกเขาเดินขึ้นไปบนกำแพงเมือง ณ ป้อมปราการที่ใช้เป็นจุดประชุมสำหรับการวางกลยุทธ์ทางทหาร

การประชุมด้านกลยุทธ์กำลังจะจบลงพอดี

“หากอยากจะผ่านบททดสอบสงครามชิงอาณาจักรให้ได้ แค่ปกป้องกำแพงเมืองแห่งนี้ยังไม่พอ”

“การปกป้องกำแพงเมืองเป็นแค่ก้าวแรกเท่านั้น!”

“เมืองของเราตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก แต่อาณาเขตแห่งนี้ยังมีเมืองอื่น ๆ อีกสามแห่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก ทิศเหนือ และทิศใต้ เมื่อใดก็ตามที่พวกเราสามารถยึดครองเมืองเหล่านั้นได้สำเร็จ ก็จะถือว่าทำภารกิจได้เสร็จสมบูรณ์…”

“ปัญหาก็คือเราไม่รู้เลยว่าศัตรูจากเมืองอื่น ๆ มีความแข็งแกร่งขนาดไหน แต่เราคงได้ข้อสรุปในอีกไม่ช้า หากมีคนออกไปสืบข้อมูล”

องค์จักรพรรดิยืนอยู่หน้าโต๊ะทรายขนาดใหญ่ รายล้อมด้วยเหล่าแม่ทัพคู่ใจที่กำลังรับฟังแผนการรบครั้งต่อไป

หลินเป่ยเฉินเห็นเช่นนี้ก็ถึงกับตกตะลึง

บัดนี้ เด็กหนุ่มถึงเพิ่งจะได้เข้าใจว่าการทำสงครามชิงอาณาจักร ไม่ได้หมายถึงแค่การปกป้องกำแพงเมืองให้สำเร็จเท่านั้น

แต่หมายถึงการยึดครองอาณาเขตแห่งนี้ให้ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดต่างหาก

“หลินเป่ยเฉิน ข้าอยากจะรบกวนเจ้า ช่วยออกไปสำรวจเมืองทางทิศตะวันตกสักหน่อย”

องค์จักรพรรดิไม่กล่าวทักทายสักคำ เมื่อเห็นหน้าเด็กหนุ่ม ก็รีบพูดเข้าประเด็นทันที “พื้นที่ข้างนอกเต็มไปด้วยอันตรายมากมาย หากไม่ได้เป็นผู้มีพลังขั้นเซียน อย่าว่าแต่ออกไปสำรวจเลย แค่เดินออกไปเฉย ๆ ไม่กี่ร้อยลี้ก็คงไม่สามารถมีชีวิตอยู่รอดได้อีกแล้ว เพราะฉะนั้น ข้าจึงต้องร้องขอความช่วยเหลือจากเจ้า”

ทุกสายตาจับจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉิน

เด็กหนุ่มนิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนเปิดปากกำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมา

องค์จักรพรรดิชิงกล่าวเสียก่อนว่า “ข้าจะเพิ่มเงินพิเศษให้กับเจ้า”

หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความพิศวง

ฝ่าบาท ท่านจะไม่รอให้ข้าพูดจบก่อนหรือ?

หลินเป่ยเฉินชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจและกล่าวว่า “นี่หมายความว่าอย่างไร ฝ่าบาท พระองค์ทรงเห็นกระหม่อมเป็นบุคคลที่บูชาเงินทองถึงขนาดนั้นเชียวหรือ? กระหม่อมเสี่ยงชีวิตยอมรับอันตราย เดินทางมายังดินแดนแห่งนี้ ก็เพื่อความอยู่รอดของจักรวรรดิเป่ยไห่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น…”

องค์จักรพรรดิมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย

แต่แล้วเด็กหนุ่มกลับถอนหายใจออกมาและกล่าวต่อ “แต่ในเมื่อฝ่าบาททรงตรัสออกมาแล้ว กระหม่อมก็จะไว้หน้าฝ่าบาทแล้วกัน กระหม่อมไม่ขออะไรมากมาย ขอเพียงศิลาบูชาอีกสักสองสามพันก้อนก็พอแล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่ทางที่ดี ฝ่าบาททรงอย่าได้ดูถูกกระหม่อมเช่นนี้อีกเลย”

องค์จักรพรรดิพูดอะไรไม่ออกแล้วจริง ๆ

เขาไม่เคยเจอผู้ใดเจ้าเล่ห์แสนกลเท่ากับหลินเป่ยเฉินมาก่อน

ในไม่ช้า องค์จักรพรรดิก็ได้ตัวแทนที่จะออกไปสำรวจดินแดนทางทิศเหนือและทิศใต้ตามลำดับ ซึ่งตัวแทนทั้งสองคนนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจากเกาเฉิงฮั่นกับอัครเสนาบดีจั่วเซียง ซึ่งเป็นผู้มีพลังขั้นเซียนด้วยกันทั้งคู่นั่นเอง

เดิมทีเกาเฉิงฮั่นแกล้งตายอยู่ในจวนซางจั้วหยวน รอคอยโอกาสที่จะได้กลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่ในสนามรบอีกครั้ง แต่น่าเสียดายที่ตลอดเวลาที่ผ่านมา เกาเฉิงฮั่นยังไม่พบโอกาสเหมาะที่จะแสดงตัว

แม้แต่การทำสงครามชิงอาณาจักรในครั้งนี้ สุดท้าย เกาเฉิงฮั่นก็ยังต้องเดินทางมาอย่างลับ ๆ โดยที่มีคนรับรู้เกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของเขาน้อยมาก

หลินเป่ยเฉินเดินกลับลงมาจากกำแพงเมือง เรียกกลุ่มคนผู้ติดตามมาสรุปงานให้ฟังสองสามคำ หลังจากนั้น เขาก็กระโดดขึ้นไปยืนอยู่บนกระบี่ และกระบี่ก็เปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งหายวับไปบนท้องฟ้า

เพียงพริบตาเดียว เด็กหนุ่มก็ออกเดินทางไกลมาหลายสิบลี้แล้ว

เมื่อก้มหน้ามองลงไป หลินเป่ยเฉินพบกับหุบเขาจำนวนมาก มีซากศพสิ่งมีชีวิตนอนเกลื่อนกลาดอยู่ทุกหนทุกแห่ง บรรยากาศเต็มไปด้วยรังสีแห่งการฆ่าฟัน…

นี่คงจะเป็นสมรภูมิรบระหว่างเฉียนเหมยกับพวกมนุษย์ม้าก่อนหน้านี้กระมัง?

หลินเป่ยเฉินบินต่อไปข้างหน้าเรื่อย ๆ

พลัน ภูเขาลูกใหญ่ปรากฏขึ้นในสายตา

น่าเศร้าเหลือเกินที่พื้นดินมีแต่เม็ดทรายสีน้ำตาลเข้ม มองไม่เห็นต้นไม้สักต้นหรือสิ่งมีชีวิตอื่นใดสักตัว สายลมพัดพาผิวทรายเคลื่อนไหวเป็นระลอกคลื่น ชวนให้ผู้คนรู้สึกอ้างว้างเดียวดายขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด

หลังจากบินสำรวจได้พักใหญ่ เด็กหนุ่มก็พบเข้ากับทะเลสาบที่มีน้ำใสราวกับแผ่นกระจก

รอบทะเลสาบมีต้นไม้ใบหญ้าขึ้นอุดมสมบูรณ์

นอกจากต้นไม้ใบหญ้าเหล่านั้นแล้ว ก็ยังมีกระท่อมไม้จำนวนหนึ่งถูกสร้างอยู่ใกล้กับทะเลสาบอย่างกระจัดกระจาย ให้ความรู้สึกไม่ต่างไปจากที่อยู่อาศัยของพวกชาวป่าชาวเขาห่างไกลความเจริญ

นี่คือที่อยู่อาศัยของพวกมนุษย์ม้า

หลินเป่ยเฉินซึ่งยืนอยู่บนกระบี่วิญญาณมรกตค่อย ๆ บินเข้าไปใกล้อย่างแช่มช้า

บรรดามนุษย์ม้าที่อยู่ในค่ายที่พักเหล่านี้ค้นพบการมาถึงของหลินเป่ยเฉินอย่างรวดเร็ว พวกมันร้องตะโกนด้วยความแตกตื่น ก่อนจะโยนก้อนหินและขว้างปาหอกรวมถึงอาวุธทุกชนิดที่หาได้ขึ้นมาบนท้องฟ้า ขณะที่มีมนุษย์ม้าอีกจำนวนไม่น้อยก็รีบวิ่งหนีไปซ่อนตัวในป่าข้างทะเลสาบ…

“ดูเหมือนจะมีแต่พวกมนุษย์ม้าคนแก่ คนป่วย คนพิการ กับพวกเด็กเล็กทั้งนั้นเลยแฮะ”

“แถมดูจากท่าทางของพวกมันแล้ว น่าจะไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่…”

“คิดไม่ถึงเลยว่ามนุษย์ม้าพวกนี้จะมีสติปัญญาต่ำต้อย อารยธรรมก็คงไม่มี… ดีที่เกิดมาพร้อมกับความแข็งแรง ไม่ต่างจากพวกฝูงหมาป่า…”

หลินเป่ยเฉินบินวนสังเกตการณ์อยู่ครู่หนึ่ง ก็ไม่ได้ลงมือทำสิ่งใด

เขายังคงบินสำรวจเข้าไปในเขตป่าลึกมากขึ้นเรื่อย ๆ ต่อไป