ในระหว่างที่จะตกใจหรือไม่ตกใจดีนั้น หวังเป่าเล่อใช้เพียงสองลมหายใจในการไตร่ตรอง จึงตอบรับอย่างยากลำบาก
“ตามประสงค์ท่านพ่อตา ท่านพ่อตาย่อมเรียกข้าเป่าเล่อได้” หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าเขาเอาความกล้ามาจากไหน กล่าวประโยคนี้จนจบ จากนั้นก็ก้มหน้ารอ
หลังจากนั้นสักพัก เสียงเย็นเยียบก็ส่งมาจากด้านหน้าของเขา เสียงนี้แฝงด้วยความสงสัยและยังมีคำกล่าวที่เย็นชา ดังก้องอยู่ข้างหูของหวังเป่าเล่อ
“ใจกล้าไม่น้อย แต่คิดจะเป็นลูกเขยของผู้แซ่หวัง เจ้ายังต้องผ่านการทดสอบมากมาย และจากนี้ต่อไป อย่าได้ทำให้บุตรสาวข้าอีอีได้รับความโศกเศร้าเสียใจเป็นอันขาด เจ้าจะทำได้หรือไม่”
หวังเป่าเล่อก้มหน้าอยู่ตลอดเวลา ผนึกกั้นร่างตน มิได้มองไปด้านหน้า แต่พอฟังไปก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ระดับฝึกตนกระจายไปอย่างเงียบเชียบ เมื่อกวาดตามองก็พบว่าเจ้ากวางขาวน้อยและอีอีน้อยที่อยู่บนหลังมัน ยังมีเทพเคารพสูงสุดผู้นั้น ไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว มีเพียงแม่นางน้อยยืนอยู่ด้านหน้าตน ใบหน้าเต็มไปความพอใจ
หวังเป่าเล่อลังเลอยู่บ้าง ระดับฝึกตนยังไม่กระจาย กล่าวเสียงต่ำ
“ท่านพ่อตา ท่านต้องเข้าใจผิดเป็นแน่ นางรังแกข้ามาตลอด..”
“บังอาจ ลูกสาวข้าอ่อนโยน เชื่อฟัง รังแกเจ้า นั่นเป็นเพราะ…” ในสติของหวังเป่าเล่อ เห็นกับตาว่าแม่นางน้อยกำลังกลั้นหัวเราะอยู่ตรงหน้าตนเอง ไม่รู้ว่าเลียนเสียงผู้เป็นบิดาด้วยวิธีใดตอบกลับอย่างชอบใจ
เมื่อเห็นดังนี้ หวังเป่าเล่อก็หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก หวังอีอีกล่าวไม่ทันจบ เขาก็เงยหน้าขึ้นก่อน สายตาประสานกับหวังอีอี ฝ่ายหลังจึงรีบปิดปาก มองหวังเป่าเล่อตาปริบๆ
“อีอี เจ้าซุกซนอีกแล้ว” หวังเป่าเล่อถอนหายใจ
เวลานี้แม่นางน้อยทนไม่ไหวอีกต่อไป นางหัวเราะจนท้องแข็ง หน้าตาเต็มไปด้วยความสุข ทำให้ใบหน้าหมดจดแต่เดิมนั้น เพิ่มความขี้เล่นขึ้นอีก
หวังเป่าเล่ออดรนทนไม่ไหว หลังจากมองซ้ายมองขวาแล้ว จึงถามขึ้น
“บิดาเจ้าไปแล้วหรือ ไปตั้งแต่เมื่อใด”
“เจ้าทายสิ” แม่นางน้อยอมยิ้มมองหวังเป่าเล่อ
หวังเป่าเล่อรู้สึกปวดหัว และพยายามถามหลังจากผ่านไปสักพัก
“ไม่เถียงแล้ว ข้ายังมีเรื่องจริงจังที่ยังไม่ได้คุย เรื่องนั้น…ประโยคแรกน่าจะเป็นบิดาเจ้ากล่าว แล้วส่วนหลังเล่า เจ้าเริ่มกล่าวตั้งแต่ประโยคใดกัน”
“ข้าไม่บอกเจ้า” แม่นางน้อยหัวเราะขึ้นอีกครั้ง ท่าทางถูกอกถูกใจ
หวังเป่าเล่อรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง เมื่อแม่นางน้อยเห็นเช่นนั้น หลังจากหัวเราะไปสักพักก็เดินเข้าไปใกล้เขา ตบไหล่หวังเป่าเล่อเบาๆ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“อย่าได้คิดเรื่องนี้แล้ว ท่านพ่อข้ากล่าวว่ามิใช่ไม่ต้องการพบเจ้า แต่เพราะระดับฝึกตนของเจ้าในตอนนี้ หากจะเข้าพบท่าน จะทนรับแรงกดดันจากช่องว่างกาลเวลารวมทั้งจากร่างของท่านไม่ไหว จะส่งผลร้ายต่อมหาเต๋าของเจ้า”
“ท่านยังกล่าวขอบใจเจ้ามาก”
“ยังกล่าวว่า ท่านทราบถึงเจตนาในการมาของเจ้า ให้ข้านำแผ่นหยกมาให้เจ้า ในนี้มีสิ่งที่เจ้าต้องการ นอกจากนี้…ท่านยังกล่าวว่า ท่านจะตั้งตารอพวกเราที่ด้านนอกโลกแห่งศิลา”
“ยังมีๆ…” หลังจากกล่าวจบ แม่นางน้อยก็รีบกล่าวต่อไปอีก
“สุดท้ายท่านพ่อข้ากล่าวว่า แผ่นหยกนี้มิใช่ของขอบคุณ ของขอบคุณที่แท้จริง จะรอให้เจ้าออกจากที่นี่แล้ว ท่านจะพาเจ้าไปบ้านเกิดของข้า และจะเปิดสะพานสู่สวรรค์ให้เจ้าผู้เดียว ข้าก็ไม่เข้าใจว่าหมายถึงสิ่งใด เพราะแต่ไหนแต่ไร สะพานสู่สวรรค์ที่บ้านเกิดข้า มีเพียงท่านพ่อเท่านั้นที่เคยได้ไป”
“เขาบอกว่า นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของมหาเต๋า”
“จริงสิ ยังมีอีก…สุดท้ายท่านกล่าวว่า ให้เจ้าดีต่อข้า ทะนุถนอมข้า รักข้า อย่าทำให้ข้าเสียใจ น่าจะเป็นเรื่องเหล่านี้ ข้าล้วนบอกเจ้าหมดแล้ว” สุดท้ายแม่นางน้อยก็ส่งเสียงกระแอมไอ เหลือบตามองหวังเป่าเล่อ แล้วส่งแผ่นหยกให้
หวังเป่าเล่อมึนงงอยู่บ้าง ปริมาณข่าวสารค่อนข้างมาก เขาต้องการวิเคราะห์สักพัก มือเอื้อมหยิบหยิบแผ่นหยกตามสัญชาตญาณ หลังจากไตร่ตรองทุกอย่างอยู่ในใจแล้ว ในสายตาก็เผยแววประหลาดแวบผ่าน
สะพานสู่สวรรค์คือสิ่งใด ตัวเขาเองไม่รู้ แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใด หลังจากได้ยินชื่อนี้ กระแสเต๋าของเขาก็ผันผวนอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนแค่ชื่อก็สามารถทำให้เกิดปราณกังวานของเต๋าขึ้น
“สู่สวรรค์…ไม่ใช่ครองสวรรค์ ก็ไม่ใช่ขึ้นสวรรค์ คำว่าสู่ แฝงไปด้วยความครอบงำไร้ที่เปรียบ เหมือนกับการหลุดพ้นอย่างสมบูรณ์…”
“อยู่ด้านนอกรอพวกเรา…” หวังเป่าเล่อยังคงครุ่นคิด ส่วนประโยคสุดท้ายที่แม่นางน้อยกล่าว เขาไม่เชื่อว่าเทพเคารพสูงสุดผู้นั้นจะกล่าวเช่นนี้ คิดไปน่าจะเป็นแม่นางน้อยเพิ่มเข้าไปเอง ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงไม่ได้คิดให้ลึกซึ้ง แต่ก้มหน้ามองแผ่นหยกในมือ
กระแสเต๋าแผ่ออกไป หลอมรวมเข้าในแผ่นหยก แผ่นหยกนี้ก็มีดวงจิตเทพที่สงบก้องสะท้อนสัมผัสสวรรค์ของเขา
“ชีวิตของผู้แซ่หวัง นอกจากการศึกษากระบวนเวทของผู้อื่นในตอนแรกแล้ว พลังเทพที่ตนสร้างขึ้นโดยมาก ความตั้งใจ คืนพินาศ จันทร์คล้อย ทางฝัน ตราเต๋าสารัตถะรวมทั้งเต๋าโบราณไร้เวทอมตะ เต๋าส่วนตนของผู้แซ่หวังเหล่านี้ ฝึกตนแบบเรียบง่ายย่อมได้ แต่ไม่อาจประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ๋ เพราะจุดกำเนิดของแต่ละมหาเต๋าที่นี่ต่างเป็นเงาร่างของผู้แซ่หวังกลายจากแหล่งที่มา หากข้าอยู่ ผู้อื่นไม่อาจสู่สวรรค์ด้วยวิธีนี้”
“ดังนั้นจึงเหมาะกับอีอี ด้วยอนาคตของนางมีจำกัด แต่ไม่เหมาะกับเจ้า”
“ชีวิตนี้ของผู้แซ่หวังได้เห็นพลังเทพมานับไม่ถ้วน จนถึงทุกวันนี้จำได้ว่ามีวิถีเต๋าน้อยนักที่สามารถทำให้ข้าประหลาดใจได้ มีเพียง…เวทเดียว แม้จะมองด้วยขอบเขตของข้าในปัจจุบัน ยังคงยากจะลืม ยังคงอดที่จะชื่นชมไม่ได้ ที่มาของมันว่างเปล่า ไร้ดวงจิตครอบครอง หากเจ้าประสบความสำเร็จ เต๋านี้สามารถเปลี่ยนการฝึกตนของเจ้าไปเป็นอีกเต๋าหนึ่ง”
“เต๋านี้ มีชื่อว่า…เต๋าแปดปรมัตถ์”
“ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน ห้าธาตุนี้เป็นรากฐาน ฝึกเป็นเต๋าทองปรมัตถ์ เต๋าไม้ปรมัตถ์ เต๋าน้ำปรมัตถ์ เต๋าไฟปรมัตถ์ เต๋าดินปรมัตถ์ เป็นความสำเร็จเล็กๆ และสามปรมัตถ์หลัง ต้องให้เจ้าไปตระหนักรู้ด้วยตนเอง จนกระทั้งแปดขั้นมหาวัฏจักร หากสามารถรวมเป็นหนึ่ง… เหนือกาลเวลา วันคืนที่ผ่านพ้น ผู้ใดจะสามารถทำอะไรเจ้าได้”
“นอกเหนือจากนี้ เจ้าได้ตระหนักรู้ส่วนจันทร์คล้อย และยังศึกษาเต๋าแห่งคืนพินาศของผู้แซ่หวังอีก แต่ต้องจำไว้ว่า เวทของคนภายนอกอาจถูกเจ้าของทำลาย หากที่มาไม่แน่ชัดอย่าได้ศึกษาให้ลึกซึ้ง”
เมื่อเสียงสิ้นสุด หวังเป่าเล่อร่ำร้องอยู่ในใจทันที เกี่ยวกับข่าวต่างๆ ของคืนพินาศรวมทั้งเวทแห่งการฝึกตนของเต๋าแปดปรมัตถ์ ขณะนี้กำลังระเบิดอยู่ในใจหวังเป่าเล่อทำให้สัมผัสสวรรค์ของเขาสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ทำให้รอบด้านที่ว่างเปล่าของเขาพังทลายลงทันที
ดูเหมือนแม่นางน้อยรู้มาก่อนว่าจะเป็นเช่นนี้ รีบกลับเข้าไปในหน้ากาก พริบตาต่อมาด้วยการพังทลายรอบด้าน หมู่ดาวจักรวาลที่แต่ละชั้นแม้หวังเป่าเล่อจะเดินผ่านก็ปรากฏอย่างต่อเนื่อง และเปลี่ยนไปทุกๆ เก้าร้อยปี พังลงที่ละชั้น ท่ามกลางเสียงร้องอย่างต่อเนื่องนี้ เงาร่างของหวังเป่าเล่อปรากฏอยู่ที่สหพันธรัฐ และปรากฎอยู่ภายในนครดาวอังคารใหม่
จากการปรากฏตัวของเขา ทั้งดาวสะเทือนเลื่อนลั่น กวาดตามองไป ชั้นระลอกคลื่นกระจายออกจากภายในดาวอังคาร และแผ่ขยายไปทั่วทั้งระบบสุริยะ
ระลอกคลื่นนี้ดูน่าตื่นตระหนก แต่มิได้แฝงพลังทำลายล้าง ทั้งหมดนั้นเป็นการปรากฏตัวของเต๋า เพียงพริบตาเดียวก็กวาดดวงดาราทั้งหมดไปทั้งระบบสุริยะ ทำให้ปรมาจารย์แห่งไฟรีบร้อนลุกขึ้น ใบหน้าหวาดผวา
“กระแสเต๋านี้…ดูเหมือนวิชาสืบทอด แต่นี่รุนแรงเกินไปแล้ว เทียบตาเฒ่าอย่างข้า…ไม่อาจเทียบได้ แต่เทียบกับความรุนแรงนี้ พื้นฐานของข้าก็เป็นขนนกไปเลย”
ขณะที่ปรมาจารย์แห่งไฟถอนหายใจ ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดภายในระบบสุริยะ เกิดระลอกคลื่นใหญ่ขึ้นภายในใจ มองไปทางดาวอังคารด้วยความเคารพอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะลัทธิเต๋านี้ ยังปะทุออกจากระบบสุริยะ แผ่ขยายตรงไปที่จักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายกว่าครึ่งดูเหมือนกระบวนท่าซัดคลื่น ทำให้ขณะนี้…กฎเกณฑ์และข้อบังคับของทั้งจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นล้วนสั่นสะเทือน สีหน้าปรมาจารย์ของเต๋าเก้ารัฐเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง สำนักเสริมก็ดี ตระกูลไม่รู้สิ้นก็ดี ระดับจักรวาลทั้งหมด ต่างมองไปทางระบบสุริยะกันอย่างพร้อมเพรียง
“นี่มันพลังกระแสวิถีเต๋าอะไรกัน รุนแรงเช่นนี้” ปรมาจารย์ของตระกูลไม่รู้สิ้นที่สงสัยว่าเป็นร่างอวตารมหาเทพผู้นั้น เวลานี้ต่างก็เปลี่ยนสีหน้า
ยังมีภายในแม่น้ำแห่งความมืด ก็ปรากฏใบหน้าของเฉินชิงจื่อออกมาในขณะนี้ มองไปทางระบบสุริยะอย่างลึกซึ้ง
ไม่เพียงเท่านี้ ที่นอกโลกแห่งศิลาและที่ในหมู่ดาวแท้จริงนั้น มีแผ่นศิลาโบราณโชกโชนก้อนหนึ่ง ลอยอยู่ในความว่างเปล่าของเหวลึกไร้ที่สิ้นสุดในกลุ่มดาว สามารถเห็นพื้นผิวของแผ่นศิลาเต็มไปด้วยรอยแตก
เวลานี้ อยู่ๆ มันก็สั่นขึ้นมา เพิ่มรอยแตกมาอีกเส้น
ความสั่นสะเทือนนี้ดึงดูดสายตานับไม่ถ้วนในความว่างเปล่า และในความว่างเปล่ายังมีวิญญาณที่ทรงพลังและดุร้ายมากมายนับไม่ถ้วน แต่ตอนนี้ไม่มีผู้ใดเลยที่จะกล้าเข้าใกล้ที่นี่แม้แต่น้อย เพราะ… ที่นี่นอกจากแผ่นศิลาแล้ว ยังมีเรือโบราณลำหนึ่ง
บนเรือมีชายวัยกลางคนผมขาวผู้หนึ่งอยู่ในนั้น เขานั่งเงียบๆ อยู่ที่นั่น จ้องไปทางแผ่นศิลา ดูเหมือนจะจ้องมองมันมาเป็นเวลาเนิ่นนานแล้ว และเวลานี้มุมปากเขายกขึ้น เผยให้เห็นรอยยิ้ม
……………………………