บทที่ 49 ระดมกำลังเสริม (1)
แม้การจะบอกว่าซูเฉินเอาชนะเทพอสูรได้ด้วยตัวคนเดียวนับว่ายังขาดรายละเอียดเล็กน้อยอยู่บ้าง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นเขาที่เผชิญหน้ากับเทพอสูรด้วยตัวคนเดียว
แต่ก็อย่างเขาว่า นี่เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น อีกไม่นานจะต้องได้ประมือกับศัตรูเหนือขั้นกว่าเป็นแน่
เวลา 10 ปีนับว่าสั้นไป ซูเฉินจึงไร้ทางเลือก ต้องบีบคั้นเร่งพัฒนาตนเอง
โชคดีที่งานวิจัยตลอดชีวิตที่บากบั่นมาเริ่มผลิดอกออกผล รากฐานของเขามั่นคงมากพอจะเก็บเกี่ยวผลสำเร็จ
ในขณะที่มองดูผายซวนที่ดูสง่าผ่าเผยและเซิ่นโหลวที่ไร้การเคลื่อนไหวต่อสู้จากที่ไกล ซูเฉินเอ่ยขึ้นว่า “ข้าจัดการเซิ่นโหลวเอง”
วิชาควบคุมอันทรงพลังของเซิ่นโหลวทำให้สามารถคุมจิตสิ่งมีชีวิตทุกอย่างที่เข้ามาในรัศมีได้ ไม่สามารถใช้จำนวนเอาชนะ จึงมีแต่ผู้ทรงพลังอย่างซูเฉินเท่านั้นที่จะรับมือมันไหว
เงาร่างซูเฉินกะพริบ ปรากฏขึ้นอีกทีอยู่เหนือร่างเซิ่นโหลว
แม้ว่าเขาจะทำเพียงลอยตัวอยู่เหนือเซิ่นโหลว ซูเฉินก็สามารถสัมผัสได้ถึงพลังจิตอันสูงส่งที่หมายจะฝ่าจิตใจเข้ามา เหมือนกับว่ามีน้ำเสียงหนึ่งกำลังกระตุ้นให้เขาต้องยอมก้มหัวและทำตามคำสั่ง
ช่างเป็นเทพอสูรที่น่าเกรงขามเสียจริง กระทั่งคนที่มีพลังจิตสูงอย่างซูเฉินยังฝืนได้ยาก
โชคดีที่ซูเฉินไม่ได้ใช้เพียงพลังจิตรับมืออย่างเดียว
พลังอมตะซาบซ่านอยู่ในร่างอีกครา ครั้งนี้เพื่อปกป้องจิตในกายจากการรุกรานภายนอก
จิตใจเขากลับมาสงบอีกครั้ง
จากนั้นซูเฉินจึงสะบัดดาบเข้าใส่เซิ่นโหลว
ตอนนี้เทพอสูรตัวมหึมาถูกหุ่นเชิดยักษ์โจมตีนับครั้งไม่ถ้วน สุดท้ายเปลือกจึงมีแต่รอยบุบ ในจุดที่อ่อนแอก็เป็นรู เซิ่นโหลวไม่อาจหลบการโจมตีของหุ่นเชิดยักษ์ได้หมด เพราะหากเทียบกันในเรื่องพลัง หุ่นเชิดยักษ์นั้นเหนือกว่าด่านมหาราชันเสียอีก
ดาบซูเฉินแทงถูกจุดอ่อนเซิ่นโหลว เฉือนเนื้อนิ่มทะลวงเข้าไปโดยง่าย ไร้แรงฝืนต้านใด ๆ
พลังอมตะที่ชะโลมผิวดาบพลันฉายแสงสีขาวพราวระยับ เมื่อซูเฉินผสานพลังอมตะลงไป ตัวดาบจึงทะลวงเปลือกเซิ่นโหลวเข้าเนื้อหนังมาได้อย่างง่ายดาย
ร่างเซิ่นโหลวไม่แกร่งเท่าเปลือก ดังนั้นจึงบาดเจ็บหนักพอควร ในเมื่อมันไม่มีปาก เซิ่นโหลวจึงไม่อาจคำรามระบายความโกรธได้ แต่เพิ่มความรุนแรงยามโจมตีแทน แสงบนฟากฟ้าหนาตาขึ้นจนกลายเป็นตะวันขาวระอุ ทุกสิ่งอย่างตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเซิ่นโหลว
หากแต่เซิ่นโหลวไม่ได้ส่งทาสออกไปรบกับทัพมนุษย์ทันที พวกมันทั้งหมดรุดเข้ามาช่วยเซิ่นโหลวแทน
ซูเฉินไม่สน บิดคมดาบออกจากเปลือกเซิ่นโหลวอย่างโหดร้าย หมายจะคว้านรูลึกลงบนเปลือกศัตรู
เซิ่นโหลวเริ่มกระสับกระส่าย สัมผัสได้ว่าซูเฉินเป็นภัย ดังนั้นจึงสาดแสงทั้งหมดใส่ซูเฉินทันที
ซูเฉินใช้พลังอมตะปะทะกับแสงของเซิ่นโหลว เกิดเป็นแสงประกายเจิดจ้า ทว่าซูเฉินไม่สนใจ ยังคว้านรูให้ลึกลงกว่าเดิมต่อ เปลือกของเซิ่นโหลวแข็งมาก อาจเแกร่งกว่ากำแพงเมืองล่องนภาเสียอีก แต่เปลือกมันไม่อาจฟื้นฟูตนเองได้ ดังนั้นเมื่อไหร่ที่แตกหักจึงซ่อมแซมได้ยาก
ซูเฉินกัดฟันแน่นและค่อย ๆ บดขยี้เปลือกต่อไปอย่างช้า ๆ ใบมีดขูดกับเปลือกแข็งอย่างแรงราวกับกำลังเลื่อยที่หิน
เมื่อหอกแกร่งกับโล่แข็งเผชิญหน้ากัน*[1] จึงมีทางเลือกเดียวคือหันหน้าเข้าสู้จนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะถูกบดขยี้เป็นผุยผงไป
เซิ่นโหลวเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด
เพราะซูเฉินไม่ใช่ตัวคนเดียว
หุ่นเชิดยักษ์ก็พุ่งเข้ามาช่วยด้วย
ซึ่งนับว่าจังหวะเหมาะเหม็งมาก พวกมันกระโจนขึ้นมาอย่างเป็นระบบทีละตัว หวดหมัดหนักไปยังจุดที่ซูเฉินกำลังทะลวง จากนั้นถอยออกมาเพื่อให้หุ่นเชิดยักษ์ตัวต่อมาลงมือ
ทำเช่นนี้วนไปมาเรื่อย ๆ
ซูเฉินยังคงทะลวงเปลือกไปไม่หยุดจนสุดท้ายมันทนไม่ไหวแตกออกในที่สุด
ตูม!
สิ้นเสียงระเบิด ก็เกิดรูเหวอะขึ้นบนอกเซิ่นโหลว
เนตรนภาสว่างเจิดจ้าอีกครั้ง หมายจะเรียกกำลังเสริมเข้าหนุน
ซูเฉินวาดแขนสั่ง “หยุดมันไว้!”
หุ่นเชิดยักษ์ทั้ง 50 ตัว ดีดตัวจากเทพอสูรกลับไปหามนุษย์ที่ถูกเซิ่นโหลวคุมจิต พวกมันไม่โจมตี แต่ใช้ร่างกันมนุษย์ทั้งหลายที่ถูกควบคุมไม่ให้เข้ามาและทนรับแรงโจมตีทั้งหลายที่ซัดเข้ามาไว้ด้วย
ซูเฉินฉวยจังหวะนี้ผลุบตัวเข้าไปในรูบนเปลือก
ทันทีที่เข้ามาก็เห็นภูตผีนับไม่ถ้วนที่สร้างจากแสงพุ่งเข้ามาทางเขา
“เผ่าวิญญาณ?” ซูเฉินชะงักไปชั่วขณะ
แต่ไม่นานก็รู้ว่าตนเดาผิด
ภูตผีเหล่านี้ไม่ใช่เผ่าวิญญาณ แต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่คล้ายคลึงกันมาก นับว่าเป็นวิญญาณเหมือนกัน
พวกมันคือปรสิตที่อาศัยอยู่ในร่างเซิ่นโหลวเพื่อความอยู่รอด แต่ก็ช่วยปกป้องยามเจ้าของร่างตกอยู่ในอันตรายด้วย อาจเรียกได้ว่าเป็นทหารผู้พิทักษ์เซิ่นโหลว
ในเมื่อมีคนบุกเข้ามาในร่างเซิ่นโหลว พวกมันจึงเคลื่อนไหว ทั้งกรีดเสียงทั้งง้างกรงเล็บเข้าใส่ซูเฉิน
“ปีศาจเท่านี้โจมตีครั้งแรกคงจัดการได้” ซูเฉินพึมพำแล้วก็ซัดวิชาจิตมังกรเพลิงออกมา ตามด้วยคุกสายฟ้า เพลิงและสายฟ้าคลั่งระเบิดอยู่ภายในร่างเซิ่นโหลว
แม้ว่าเปลือกของเซิ่นโหลวจะแกร่งนัก แต่ร่างกายภายในมันอ่อนแอกว่ามาก
แค่สองการโจมตีนี้ก็ทำเอาเซิ่นโหลวเกือบสิ้นใจ เนตรนภาหมุนตอบโต้อย่างบ้าคลั่ง คอยก่อกวนกองทัพมนุษย์อย่างต่อเนื่อง ทัพมนุษย์ในสนามรบเริ่มเสียการควบคุม สร้างความแตกตื่นขึ้นมาอย่างไม่อาจคุมได้
แต่นี่นับเป็นโอกาสสุดท้ายที่มันจะสร้างความวุ่นวายได้แล้ว
ซูเฉินเริ่มเผยพลังที่แท้จริงเมื่อเข้ามาอยู่ในร่างเซิ่นโหลว ใช้วิชาราวกับคนคลั่ง วิญญาณทั้งหลายที่ปกปักเซิ่นโหลวถูกกำจัดสิ้น แม้จะเติบโตมาอย่างมั่นคงกว่าหมื่นปี แต่ประมือกับซูเฉินก็รั้งไว้ได้ไม่กี่ชั่วอึดใจเท่านั้น
ภายในร่างเซิ่นโหลวนับว่าถูกซูเฉินทำลายล้างแล้ว
เงานรก!
พายุคลั่งขั้นสิบ!
หอกทัณฑ์มังกร!
เทวทัณฑ์ทำลายล้าง!
ซูเฉินปลดปล่อยพลังงานทั้งหมดในร่างกายของเขาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ใช้วิชาสร้างความเสียหายขั้นสูงทั้งหมดอย่างต่อเนื่อง ทุกวิชาผสานไว้ด้วยพลังอมตะเพื่อเสริมกำลัง ช่วยเพิ่มพลังทำลายล้างขึ้นมาก
ไม่กี่ชั่วอึดใจ เซิ่นโหลวก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป การโคจรอันบ้าคลั่งของเนตรนภาเป็นตัวชี้ให้เห็นว่ามันกำลังแย่ ยามพลังชีวิตของเซิ่นโหลวยังหลุดลอยออกมาไม่หยุด เนตรนภาก็เริ่มลดความเร็วลง แสงที่ส่องออกมาจางลงเล็กน้อย
ผายซวนรู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ร้องคำรามเสียงโกรธ โจมตีหนักหน่วงเป็นสองเท่า
โชคร้ายที่ผลจากเนตรนภามีแต่จะลดน้อยถอยลง จนกระทั่งมันหยุดลงในที่สุด
ทันใดนั้น เนตรนภาก็หายไปจนหมดสิ้น
มนุษย์ที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจเซิ่นโหลวจึงได้สติ
“สำเร็จ!” ทัพมนุษย์สายตาจดจ้องอยู่ที่ภาพสว่างเจิดจ้าตรงหน้า
พวกเขามองซูเฉินพุ่งออกมาจากรูบนร่างเซิ่นโหลวอย่างกล้าหาญ
เขาเหินร่างขึ้นมาเหนือเปลือกเซิ่นโหลวราวกับปีนขึ้นภูเขา ในสายตาเหล่ามนุษย์ พวกเขารู้สึกราวกับได้เห็นภาพเทพเซียนก้าวลงจากชั้นฟ้าลงมาสู่โลกมนุษย์ก็มิปาน
“เซิ่นโหลวสิ้นใจแล้ว!”
“ท่านเจ้านิกายสังหารเซิ่นโหลวได้!”
คนหนึ่งร้องขึ้น
ทัพมนุษย์จึงส่งเสียงเฮลั่นยินดีปรีดาขึ้นมาทันใด
พวกเขายังไม่รู้ว่าอิ๋นซาเองก็ตายแล้ว ดังนั้นจึงยังไม่ได้ร้องดีใจในเรื่องนี้
แต่พวกเขาได้เห็นการตายของเซิ่นโหลวด้วยสองตา จังหวะนั้นนับว่าทุกคนพลันรู้สึกว่าซูเฉินเป็นผู้อยู่ยงคงกระพันไม่อาจหาใครเทียมได้ไปแล้ว
กู่ชิงลั่วและคนอื่น ๆ เห็นซูเฉินกำชัยไว้ได้ก็ยินดี
เหลือผายซวนตัวเดียวแล้ว
แม้ไม่มีเมืองล่องนภาทัพมนุษย์ก็จัดการมันได้ ผลศึกนี้ก็ได้ออกมาแล้ว
ปืนใหญ่จำนวนมากของเมืองล่องนภาระดมยิงใส่ผายซวน ดาบลอยทั้งหลายผสานการโจมตีกันทั่วฟ้า
ทุกคนปลดปล่อยการโจมตีออกมาอย่างรวดเร็วที่สุด
ไม่ว่าผายซวนจะฝืนต้านเพียงไหน แต่ก็ถูกการโจมตีทั้งหลายกลืนกิน ไม่นานพลังชีวิตมันก็เริ่มเลือนหายไป
เมื่อซูเฉินเห็นว่าสถานการณ์อยู่ตัวแล้ว ก็เคลื่อนกายกลับมายังเมืองล่องนภา เอ่ยกับกู่ชิงลั่ว หลี่ฉงซานและคนอื่น ๆ ว่า “ข้ายังมีธุระให้จัดการ ขอตัวก่อน ที่เหลือให้พวกเจ้าจัดการ”
“เจ้าจะไปไหน?” กู่ชิงลั่วรีบถาม
“กำจัดแมลงบางตัวที่หลบหนีไปได้” ซูเฉินว่าพลางเหินร่างจากไปอีกทาง
ขู่ฉาเหินร่างผ่านฟ้าอย่างสุดกำลัง
ยามสิ้นอิ๋นซา เขารู้ว่าศึกครั้งนี้มันจบลงแล้ว
ไม่มีใครคิดว่าซูเฉินจะสามารถสังหารผู้อาวุโสได้ด้วยตัวคนเดียว
อิ๋นซาพ่ายไปแล้ว ซูเฉินกลับสู่สนามต่อสู้ เทพอสูรก็ถูกลิขิตให้พ่ายแพ้แล้ว
คงมีแต่อาณาจักรอาร์คาน่าแล้วกระมังที่สามารถสังหารเทพอสูร 3 ตัวได้ในคราวเดียว
หรือก็คือคงถึงเวลาปลุกบรรพชนแล้ว
แม้ว่าทัพมนุษย์จะทรงพลัง แต่บรรพชนก็คงบดขยี้พวกมันได้ไม่ยาก
ก็เพราะว่าพวกเขามีพลังเหนือกว่าเทพเจ้าอีกอย่างไรเล่า!
ขู่ฉามั่นใจในพลังอำนาจของบรรพชนมาก
ทันใดนั้น ในขณะที่เขากำลังบินอยู่ในอากาศ กลิ่นอายโบราณก็โอบล้อมกาย ไม่อาจเคลื่อนไหวได้แม้เพียงเสี้ยวหนึ่ง
ขู่ฉาแตกตื่น หรือซูเฉินจะตามเขาทัน?
ในตอนที่หมุนตาไปมาด้วยความหวาดกลัว น้ำเสียงทุ้มต่ำก็ดังขึ้น “ใครบังอาจรบกวนการพักผ่อนของข้ากัน?”
หือ?
ขู่ฉาตะลึงงัน
เมฆบนท้องฟ้ารวมตัวกันเป็นใบหน้าชราเต็มไปด้วยรอยย่น ซึ่งกำลังจ้องขู่ฉาเขม็ง
“เจ้าเป็นใคร?” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยอีกครั้ง
ขู่ฉารู้สึกว่าแค่กลิ่นอายจากส่วนใบหน้าเพียงอย่างเดียวก็ทำให้เขาไม่อาจขยับกายได้แล้ว
เขาเป็นราชันจักรพรรดิอสูร มีแต่เทพอสูรหรือเทพอสูรบรรพกาลที่หาได้ยากจึงจะมีอำนาจลึกล้ำกับเขาเช่นนี้ได้
แต่เทพอสูรส่วนมากไม่รู้ภาษามนุษย์ ในยุคเทพอสูร เผ่าพันธุ์อัจฉริยะยังไม่เรืองอำนาจ ดังนั้นจึงมีเทพอสูรเพียงไม่กี่ตัวที่รู้ภาษาของเผ่าพันธุ์อัจฉริยะ กลับกันแล้ว เทพอสูรบรรพกาลกลับรู้
หรือผู้ที่อยู่ตรงหน้าจะคือบรรพชนของเขากัน?
แต่ทำไมถึงตื่นขึ้นมาได้เองเล่า?
นัยน์ตาเขาตกตะลึงยิ่ง
“ข้าถามเจ้าอยู่นะไอ้หนู” ใบหน้าแก่ชราที่เกิดจากหมู่เมฆารวมตัวกันดูเหมือนไม่พอใจที่เขาไม่ตอบคำ เบื้องหลังใบหน้าชราคือร่างมหึมาที่มีเมฆบดบังไว้ ทำให้เขาไม่อาจมองรูปร่างออก
ขู่ฉารีบตั้งสติ เอ่ยเสียงตะกุกตะกัก “ข้าน้อยขู่ฉาทำความเคารพบรรพชน”
“อ้อ” ใบหน้าชราครางเสียง
เมื่อขู่ฉาได้ยิน เขาก็รู้ว่าสิ่งมีชีวิตชราตรงหน้าคงจะเป็นบรรพชนเทพอสูรบรรพกาลเป็นแน่แท้ แต่ไม่รู้ว่าเป็นบรรพชนท่านไหน เทพอสูรบรรพกาลหลับใหลมานานเกินไปจนเขาไม่อาจรู้จักได้ทุกท่าน เขาพอจะจำได้อยู่บ้างไม่กี่ท่าน เช่น บรรพชนเสวีย บรรพชนหมาน และบรรพชนซู่
ขู่ฉาดีใจเป็นยิ่งนักเมื่อรู้ว่าตนกำลังพูดอยู่กับเทพอสูรบรรพกาล เดิมทีเขาจะตามหาบรรพชนหมานเพื่อให้ช่วยโจมตีมนุษย์ แต่ตอนนี้มีเทพอสูรบรรพกาลที่ตื่นขึ้นมาแล้วตนหนึ่งปรากฏขึ้นมาตรงหน้าเสียได้
ใบหน้าแก่ชราเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ข้าไม่พอใจนัก ไอ้บัดซบบางตัวบังอาจปลุกข้าจนตื่นเสียนี่! เจ้าบอกมาว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดจึงปลุกข้าขึ้นมากะทันหันเช่นนี้ แล้วเหตุใดที่นี่ถึงเงียบงันนัก?”
ขู่ฉาเข้าใจทันทีว่าเกิดอะไร “เผ่าวิญญาณ! คงเป็นกองกำลังผู้เหลือรอดเผ่าวิญญาณแน่ พวกนั้นคงปลุกท่านขึ้นมาเพื่อล้างแค้นมนุษย์”
“มนุษย์หรือ?”
“ขอรับ! มนุษย์บุกฝ่าเข้ามาในแดนสัตว์อสูร เรากำลังจะจบสิ้นกันแล้ว บรรพชนได้โปรด ช่วยพวกเราด้วยขอรับ!” ขู่ฉาคุกเข่าอ้อนวอนใบหน้าแก่ชราในทันที