ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 49 ระดมกำลังเสริม (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 49 ระดมกำลังเสริม (1)

แม้การจะบอกว่าซูเฉินเอาชนะเทพอสูรได้ด้วยตัวคนเดียวนับว่ายังขาดรายละเอียดเล็กน้อยอยู่บ้าง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นเขาที่เผชิญหน้ากับเทพอสูรด้วยตัวคนเดียว

แต่ก็อย่างเขาว่า นี่เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น อีกไม่นานจะต้องได้ประมือกับศัตรูเหนือขั้นกว่าเป็นแน่

เวลา 10 ปีนับว่าสั้นไป ซูเฉินจึงไร้ทางเลือก ต้องบีบคั้นเร่งพัฒนาตนเอง

โชคดีที่งานวิจัยตลอดชีวิตที่บากบั่นมาเริ่มผลิดอกออกผล รากฐานของเขามั่นคงมากพอจะเก็บเกี่ยวผลสำเร็จ

ในขณะที่มองดูผายซวนที่ดูสง่าผ่าเผยและเซิ่นโหลวที่ไร้การเคลื่อนไหวต่อสู้จากที่ไกล ซูเฉินเอ่ยขึ้นว่า “ข้าจัดการเซิ่นโหลวเอง”

วิชาควบคุมอันทรงพลังของเซิ่นโหลวทำให้สามารถคุมจิตสิ่งมีชีวิตทุกอย่างที่เข้ามาในรัศมีได้ ไม่สามารถใช้จำนวนเอาชนะ จึงมีแต่ผู้ทรงพลังอย่างซูเฉินเท่านั้นที่จะรับมือมันไหว

เงาร่างซูเฉินกะพริบ ปรากฏขึ้นอีกทีอยู่เหนือร่างเซิ่นโหลว

แม้ว่าเขาจะทำเพียงลอยตัวอยู่เหนือเซิ่นโหลว ซูเฉินก็สามารถสัมผัสได้ถึงพลังจิตอันสูงส่งที่หมายจะฝ่าจิตใจเข้ามา เหมือนกับว่ามีน้ำเสียงหนึ่งกำลังกระตุ้นให้เขาต้องยอมก้มหัวและทำตามคำสั่ง

ช่างเป็นเทพอสูรที่น่าเกรงขามเสียจริง กระทั่งคนที่มีพลังจิตสูงอย่างซูเฉินยังฝืนได้ยาก

โชคดีที่ซูเฉินไม่ได้ใช้เพียงพลังจิตรับมืออย่างเดียว

พลังอมตะซาบซ่านอยู่ในร่างอีกครา ครั้งนี้เพื่อปกป้องจิตในกายจากการรุกรานภายนอก

จิตใจเขากลับมาสงบอีกครั้ง

จากนั้นซูเฉินจึงสะบัดดาบเข้าใส่เซิ่นโหลว

ตอนนี้เทพอสูรตัวมหึมาถูกหุ่นเชิดยักษ์โจมตีนับครั้งไม่ถ้วน สุดท้ายเปลือกจึงมีแต่รอยบุบ ในจุดที่อ่อนแอก็เป็นรู เซิ่นโหลวไม่อาจหลบการโจมตีของหุ่นเชิดยักษ์ได้หมด เพราะหากเทียบกันในเรื่องพลัง หุ่นเชิดยักษ์นั้นเหนือกว่าด่านมหาราชันเสียอีก

ดาบซูเฉินแทงถูกจุดอ่อนเซิ่นโหลว เฉือนเนื้อนิ่มทะลวงเข้าไปโดยง่าย ไร้แรงฝืนต้านใด ๆ

พลังอมตะที่ชะโลมผิวดาบพลันฉายแสงสีขาวพราวระยับ เมื่อซูเฉินผสานพลังอมตะลงไป ตัวดาบจึงทะลวงเปลือกเซิ่นโหลวเข้าเนื้อหนังมาได้อย่างง่ายดาย

ร่างเซิ่นโหลวไม่แกร่งเท่าเปลือก ดังนั้นจึงบาดเจ็บหนักพอควร ในเมื่อมันไม่มีปาก เซิ่นโหลวจึงไม่อาจคำรามระบายความโกรธได้ แต่เพิ่มความรุนแรงยามโจมตีแทน แสงบนฟากฟ้าหนาตาขึ้นจนกลายเป็นตะวันขาวระอุ ทุกสิ่งอย่างตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเซิ่นโหลว

หากแต่เซิ่นโหลวไม่ได้ส่งทาสออกไปรบกับทัพมนุษย์ทันที พวกมันทั้งหมดรุดเข้ามาช่วยเซิ่นโหลวแทน

ซูเฉินไม่สน บิดคมดาบออกจากเปลือกเซิ่นโหลวอย่างโหดร้าย หมายจะคว้านรูลึกลงบนเปลือกศัตรู

เซิ่นโหลวเริ่มกระสับกระส่าย สัมผัสได้ว่าซูเฉินเป็นภัย ดังนั้นจึงสาดแสงทั้งหมดใส่ซูเฉินทันที

ซูเฉินใช้พลังอมตะปะทะกับแสงของเซิ่นโหลว เกิดเป็นแสงประกายเจิดจ้า ทว่าซูเฉินไม่สนใจ ยังคว้านรูให้ลึกลงกว่าเดิมต่อ เปลือกของเซิ่นโหลวแข็งมาก อาจเแกร่งกว่ากำแพงเมืองล่องนภาเสียอีก แต่เปลือกมันไม่อาจฟื้นฟูตนเองได้ ดังนั้นเมื่อไหร่ที่แตกหักจึงซ่อมแซมได้ยาก

ซูเฉินกัดฟันแน่นและค่อย ๆ บดขยี้เปลือกต่อไปอย่างช้า ๆ ใบมีดขูดกับเปลือกแข็งอย่างแรงราวกับกำลังเลื่อยที่หิน

เมื่อหอกแกร่งกับโล่แข็งเผชิญหน้ากัน*[1] จึงมีทางเลือกเดียวคือหันหน้าเข้าสู้จนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะถูกบดขยี้เป็นผุยผงไป

เซิ่นโหลวเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด

เพราะซูเฉินไม่ใช่ตัวคนเดียว

หุ่นเชิดยักษ์ก็พุ่งเข้ามาช่วยด้วย

ซึ่งนับว่าจังหวะเหมาะเหม็งมาก พวกมันกระโจนขึ้นมาอย่างเป็นระบบทีละตัว หวดหมัดหนักไปยังจุดที่ซูเฉินกำลังทะลวง จากนั้นถอยออกมาเพื่อให้หุ่นเชิดยักษ์ตัวต่อมาลงมือ

ทำเช่นนี้วนไปมาเรื่อย ๆ

ซูเฉินยังคงทะลวงเปลือกไปไม่หยุดจนสุดท้ายมันทนไม่ไหวแตกออกในที่สุด

ตูม!

สิ้นเสียงระเบิด ก็เกิดรูเหวอะขึ้นบนอกเซิ่นโหลว

เนตรนภาสว่างเจิดจ้าอีกครั้ง หมายจะเรียกกำลังเสริมเข้าหนุน

ซูเฉินวาดแขนสั่ง “หยุดมันไว้!”

หุ่นเชิดยักษ์ทั้ง 50 ตัว ดีดตัวจากเทพอสูรกลับไปหามนุษย์ที่ถูกเซิ่นโหลวคุมจิต พวกมันไม่โจมตี แต่ใช้ร่างกันมนุษย์ทั้งหลายที่ถูกควบคุมไม่ให้เข้ามาและทนรับแรงโจมตีทั้งหลายที่ซัดเข้ามาไว้ด้วย

ซูเฉินฉวยจังหวะนี้ผลุบตัวเข้าไปในรูบนเปลือก

ทันทีที่เข้ามาก็เห็นภูตผีนับไม่ถ้วนที่สร้างจากแสงพุ่งเข้ามาทางเขา

“เผ่าวิญญาณ?” ซูเฉินชะงักไปชั่วขณะ

แต่ไม่นานก็รู้ว่าตนเดาผิด

ภูตผีเหล่านี้ไม่ใช่เผ่าวิญญาณ แต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่คล้ายคลึงกันมาก นับว่าเป็นวิญญาณเหมือนกัน

พวกมันคือปรสิตที่อาศัยอยู่ในร่างเซิ่นโหลวเพื่อความอยู่รอด แต่ก็ช่วยปกป้องยามเจ้าของร่างตกอยู่ในอันตรายด้วย อาจเรียกได้ว่าเป็นทหารผู้พิทักษ์เซิ่นโหลว

ในเมื่อมีคนบุกเข้ามาในร่างเซิ่นโหลว พวกมันจึงเคลื่อนไหว ทั้งกรีดเสียงทั้งง้างกรงเล็บเข้าใส่ซูเฉิน

“ปีศาจเท่านี้โจมตีครั้งแรกคงจัดการได้” ซูเฉินพึมพำแล้วก็ซัดวิชาจิตมังกรเพลิงออกมา ตามด้วยคุกสายฟ้า เพลิงและสายฟ้าคลั่งระเบิดอยู่ภายในร่างเซิ่นโหลว

แม้ว่าเปลือกของเซิ่นโหลวจะแกร่งนัก แต่ร่างกายภายในมันอ่อนแอกว่ามาก

แค่สองการโจมตีนี้ก็ทำเอาเซิ่นโหลวเกือบสิ้นใจ เนตรนภาหมุนตอบโต้อย่างบ้าคลั่ง คอยก่อกวนกองทัพมนุษย์อย่างต่อเนื่อง ทัพมนุษย์ในสนามรบเริ่มเสียการควบคุม สร้างความแตกตื่นขึ้นมาอย่างไม่อาจคุมได้

แต่นี่นับเป็นโอกาสสุดท้ายที่มันจะสร้างความวุ่นวายได้แล้ว

ซูเฉินเริ่มเผยพลังที่แท้จริงเมื่อเข้ามาอยู่ในร่างเซิ่นโหลว ใช้วิชาราวกับคนคลั่ง วิญญาณทั้งหลายที่ปกปักเซิ่นโหลวถูกกำจัดสิ้น แม้จะเติบโตมาอย่างมั่นคงกว่าหมื่นปี แต่ประมือกับซูเฉินก็รั้งไว้ได้ไม่กี่ชั่วอึดใจเท่านั้น

ภายในร่างเซิ่นโหลวนับว่าถูกซูเฉินทำลายล้างแล้ว

เงานรก!

พายุคลั่งขั้นสิบ!

หอกทัณฑ์มังกร!

เทวทัณฑ์ทำลายล้าง!

ซูเฉินปลดปล่อยพลังงานทั้งหมดในร่างกายของเขาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ใช้วิชาสร้างความเสียหายขั้นสูงทั้งหมดอย่างต่อเนื่อง ทุกวิชาผสานไว้ด้วยพลังอมตะเพื่อเสริมกำลัง ช่วยเพิ่มพลังทำลายล้างขึ้นมาก

ไม่กี่ชั่วอึดใจ เซิ่นโหลวก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป การโคจรอันบ้าคลั่งของเนตรนภาเป็นตัวชี้ให้เห็นว่ามันกำลังแย่ ยามพลังชีวิตของเซิ่นโหลวยังหลุดลอยออกมาไม่หยุด เนตรนภาก็เริ่มลดความเร็วลง แสงที่ส่องออกมาจางลงเล็กน้อย

ผายซวนรู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ร้องคำรามเสียงโกรธ โจมตีหนักหน่วงเป็นสองเท่า

โชคร้ายที่ผลจากเนตรนภามีแต่จะลดน้อยถอยลง จนกระทั่งมันหยุดลงในที่สุด

ทันใดนั้น เนตรนภาก็หายไปจนหมดสิ้น

มนุษย์ที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจเซิ่นโหลวจึงได้สติ

“สำเร็จ!” ทัพมนุษย์สายตาจดจ้องอยู่ที่ภาพสว่างเจิดจ้าตรงหน้า

พวกเขามองซูเฉินพุ่งออกมาจากรูบนร่างเซิ่นโหลวอย่างกล้าหาญ

เขาเหินร่างขึ้นมาเหนือเปลือกเซิ่นโหลวราวกับปีนขึ้นภูเขา ในสายตาเหล่ามนุษย์ พวกเขารู้สึกราวกับได้เห็นภาพเทพเซียนก้าวลงจากชั้นฟ้าลงมาสู่โลกมนุษย์ก็มิปาน

“เซิ่นโหลวสิ้นใจแล้ว!”

“ท่านเจ้านิกายสังหารเซิ่นโหลวได้!”

คนหนึ่งร้องขึ้น

ทัพมนุษย์จึงส่งเสียงเฮลั่นยินดีปรีดาขึ้นมาทันใด

พวกเขายังไม่รู้ว่าอิ๋นซาเองก็ตายแล้ว ดังนั้นจึงยังไม่ได้ร้องดีใจในเรื่องนี้

แต่พวกเขาได้เห็นการตายของเซิ่นโหลวด้วยสองตา จังหวะนั้นนับว่าทุกคนพลันรู้สึกว่าซูเฉินเป็นผู้อยู่ยงคงกระพันไม่อาจหาใครเทียมได้ไปแล้ว

กู่ชิงลั่วและคนอื่น ๆ เห็นซูเฉินกำชัยไว้ได้ก็ยินดี

เหลือผายซวนตัวเดียวแล้ว

แม้ไม่มีเมืองล่องนภาทัพมนุษย์ก็จัดการมันได้ ผลศึกนี้ก็ได้ออกมาแล้ว

ปืนใหญ่จำนวนมากของเมืองล่องนภาระดมยิงใส่ผายซวน ดาบลอยทั้งหลายผสานการโจมตีกันทั่วฟ้า

ทุกคนปลดปล่อยการโจมตีออกมาอย่างรวดเร็วที่สุด

ไม่ว่าผายซวนจะฝืนต้านเพียงไหน แต่ก็ถูกการโจมตีทั้งหลายกลืนกิน ไม่นานพลังชีวิตมันก็เริ่มเลือนหายไป

เมื่อซูเฉินเห็นว่าสถานการณ์อยู่ตัวแล้ว ก็เคลื่อนกายกลับมายังเมืองล่องนภา เอ่ยกับกู่ชิงลั่ว หลี่ฉงซานและคนอื่น ๆ ว่า “ข้ายังมีธุระให้จัดการ ขอตัวก่อน ที่เหลือให้พวกเจ้าจัดการ”

“เจ้าจะไปไหน?” กู่ชิงลั่วรีบถาม

“กำจัดแมลงบางตัวที่หลบหนีไปได้” ซูเฉินว่าพลางเหินร่างจากไปอีกทาง

ขู่ฉาเหินร่างผ่านฟ้าอย่างสุดกำลัง

ยามสิ้นอิ๋นซา เขารู้ว่าศึกครั้งนี้มันจบลงแล้ว

ไม่มีใครคิดว่าซูเฉินจะสามารถสังหารผู้อาวุโสได้ด้วยตัวคนเดียว

อิ๋นซาพ่ายไปแล้ว ซูเฉินกลับสู่สนามต่อสู้ เทพอสูรก็ถูกลิขิตให้พ่ายแพ้แล้ว

คงมีแต่อาณาจักรอาร์คาน่าแล้วกระมังที่สามารถสังหารเทพอสูร 3 ตัวได้ในคราวเดียว

หรือก็คือคงถึงเวลาปลุกบรรพชนแล้ว

แม้ว่าทัพมนุษย์จะทรงพลัง แต่บรรพชนก็คงบดขยี้พวกมันได้ไม่ยาก

ก็เพราะว่าพวกเขามีพลังเหนือกว่าเทพเจ้าอีกอย่างไรเล่า!

ขู่ฉามั่นใจในพลังอำนาจของบรรพชนมาก

ทันใดนั้น ในขณะที่เขากำลังบินอยู่ในอากาศ กลิ่นอายโบราณก็โอบล้อมกาย ไม่อาจเคลื่อนไหวได้แม้เพียงเสี้ยวหนึ่ง

ขู่ฉาแตกตื่น หรือซูเฉินจะตามเขาทัน?

ในตอนที่หมุนตาไปมาด้วยความหวาดกลัว น้ำเสียงทุ้มต่ำก็ดังขึ้น “ใครบังอาจรบกวนการพักผ่อนของข้ากัน?”

หือ?

ขู่ฉาตะลึงงัน

เมฆบนท้องฟ้ารวมตัวกันเป็นใบหน้าชราเต็มไปด้วยรอยย่น ซึ่งกำลังจ้องขู่ฉาเขม็ง

“เจ้าเป็นใคร?” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยอีกครั้ง

ขู่ฉารู้สึกว่าแค่กลิ่นอายจากส่วนใบหน้าเพียงอย่างเดียวก็ทำให้เขาไม่อาจขยับกายได้แล้ว

เขาเป็นราชันจักรพรรดิอสูร มีแต่เทพอสูรหรือเทพอสูรบรรพกาลที่หาได้ยากจึงจะมีอำนาจลึกล้ำกับเขาเช่นนี้ได้

แต่เทพอสูรส่วนมากไม่รู้ภาษามนุษย์ ในยุคเทพอสูร เผ่าพันธุ์อัจฉริยะยังไม่เรืองอำนาจ ดังนั้นจึงมีเทพอสูรเพียงไม่กี่ตัวที่รู้ภาษาของเผ่าพันธุ์อัจฉริยะ กลับกันแล้ว เทพอสูรบรรพกาลกลับรู้

หรือผู้ที่อยู่ตรงหน้าจะคือบรรพชนของเขากัน?

แต่ทำไมถึงตื่นขึ้นมาได้เองเล่า?

นัยน์ตาเขาตกตะลึงยิ่ง

“ข้าถามเจ้าอยู่นะไอ้หนู” ใบหน้าแก่ชราที่เกิดจากหมู่เมฆารวมตัวกันดูเหมือนไม่พอใจที่เขาไม่ตอบคำ เบื้องหลังใบหน้าชราคือร่างมหึมาที่มีเมฆบดบังไว้ ทำให้เขาไม่อาจมองรูปร่างออก

ขู่ฉารีบตั้งสติ เอ่ยเสียงตะกุกตะกัก “ข้าน้อยขู่ฉาทำความเคารพบรรพชน”

“อ้อ” ใบหน้าชราครางเสียง

เมื่อขู่ฉาได้ยิน เขาก็รู้ว่าสิ่งมีชีวิตชราตรงหน้าคงจะเป็นบรรพชนเทพอสูรบรรพกาลเป็นแน่แท้ แต่ไม่รู้ว่าเป็นบรรพชนท่านไหน เทพอสูรบรรพกาลหลับใหลมานานเกินไปจนเขาไม่อาจรู้จักได้ทุกท่าน เขาพอจะจำได้อยู่บ้างไม่กี่ท่าน เช่น บรรพชนเสวีย บรรพชนหมาน และบรรพชนซู่

ขู่ฉาดีใจเป็นยิ่งนักเมื่อรู้ว่าตนกำลังพูดอยู่กับเทพอสูรบรรพกาล เดิมทีเขาจะตามหาบรรพชนหมานเพื่อให้ช่วยโจมตีมนุษย์ แต่ตอนนี้มีเทพอสูรบรรพกาลที่ตื่นขึ้นมาแล้วตนหนึ่งปรากฏขึ้นมาตรงหน้าเสียได้

ใบหน้าแก่ชราเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ข้าไม่พอใจนัก ไอ้บัดซบบางตัวบังอาจปลุกข้าจนตื่นเสียนี่! เจ้าบอกมาว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดจึงปลุกข้าขึ้นมากะทันหันเช่นนี้ แล้วเหตุใดที่นี่ถึงเงียบงันนัก?”

ขู่ฉาเข้าใจทันทีว่าเกิดอะไร “เผ่าวิญญาณ! คงเป็นกองกำลังผู้เหลือรอดเผ่าวิญญาณแน่ พวกนั้นคงปลุกท่านขึ้นมาเพื่อล้างแค้นมนุษย์”

“มนุษย์หรือ?”

“ขอรับ! มนุษย์บุกฝ่าเข้ามาในแดนสัตว์อสูร เรากำลังจะจบสิ้นกันแล้ว บรรพชนได้โปรด ช่วยพวกเราด้วยขอรับ!” ขู่ฉาคุกเข่าอ้อนวอนใบหน้าแก่ชราในทันที