บทที่ 50 ระดมกำลังเสริม (2)
น่าตกใจนักที่ใบหน้าชราส่ายหน้าปฏิเสธ “มันเกี่ยวอะไรกับข้า?”
อะไรนะ?
ขู่ฉาอึ้งไป
ใบหน้าชรายังพูดต่อ “ข้าก็จะตายอยู่แล้ว นับตั้งแต่ตอนที่ตื่นขึ้นมา พลังชีวิตข้าก็ถดถอยลง ทำการต่อสู้มีแต่จะเร่งให้ถดถอยเร็วขึ้นเท่านั้น ข้ายังอยากมีชีวิตอยู่ต่ออีกสักหน่อย เพราะงั้นข้าก็จะนั่งรอความตายไปเช่นนี้ล่ะ”
ขู่ฉารีบเอ่ย “แต่บรรพชน เผ่าสัตว์อสูรกำลังถูกกวาดล้างนะขอรับ”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้า? หากเจ้าเป็นไอ้บัดซบที่บังอาจปลุกข้า ข้าคงสังหารทิ้งไปแล้ว” ใบหน้าชราเอ่ยเสียงนิ่ง ดูเหมือนกำลังจะเมินกันเสียแล้ว
ขู่ฉาไม่คิดว่าบรรพชนท่านนี้จะไม่สนเผ่าพันธุ์ตนเองเช่นนี้ แต่คิดดูอีกหน่อยก็ไม่มีใครบังคับว่าบรรพชนจะต้องมาช่วยเหลือยามเผ่าเป็นภัยสักหน่อย
มังกรสุริยะอาจเต็มใจ แต่ไม่ได้หมายความว่าเทพอสูรบรรพกาลจะเต็มใจเช่นกัน
บรรพชนเสวียได้มอบหมายเรื่องนี้ให้บรรพชนหมานไม่ใช่หรือ?
แต่ถ้าบรรพชนหมานปฏิเสธเช่นเดียวกันเล่า?
การปลุกบรรพชนหมานย่อมทำให้มันตายเป็นแน่แท้ หากบรรพชนหมานเกิดไม่พอใจขึ้นมา…
ขู่ฉาอดสั่นกลัวกลับคำพูดของใบหน้าชราไม่ได้
เขาไม่รู้ว่าบรรพชนหมานจะจัดการมนุษย์ให้หรือไม่ แต่ก็อย่างที่ใบหน้าชรากล่าว มีความเป็นไปได้สูงที่บรรพชนหมานจะสังหารเขาทิ้งด้วยความโกรธหากเรื่องราวไม่เป็นไปได้ด้วยดี
เมื่อรู้ดังนี้แล้ว ความต้องการปลุกบรรพชนหมานจึงลดน้อยถอยลง
แต่เขาก็ยังเป็นราชันจักรพรรดิอสูร ไม่อยากนั่งมองเผ่าสัตว์อสูรล่มจมไปเฉย ๆ ใบหน้าชรากำลังจะหันจากไป ขู่ฉาพลันเอ่ยเสียงดังลั่น “ข้ามีไขกระดูกบรรพชนเสวีย! กินแล้วช่วยเพิ่มอายุขัยให้ท่านได้”
“อะไรนะ? บรรพชนเสวียหรือ?” ใบหน้าชรากลับจับจ้องขู่ฉา
ขู่ฉาพยักหน้า “ขอรับ! ไขกระดูกบรรพชนเสวียเป็นยาชั้นเลิศ ช่วยเพิ่มอายุขัยท่านได้ 3 วัน บรรพชนเสวียบอกให้ข้าไปปลุกบรรพชนหมาน แต่ในเมื่อบรรพชนตื่นขึ้นมาแล้ว ขู่ฉาจึงขอมอบไขกระดูกนี้และขอร้องให้บรรพชนช่วยจัดการพวกมนุษย์ด้วยขอรับ!”
ใบหน้าชราก้มลงเข้าใกล้ “ไม่กลัวถูกข้าสังหารชิงสมบัติไป ทั้งยังไม่ช่วยเจ้าโจมตีงั้นหรือ?”
ขู่ฉาใจแข็งว่าต่อ “หากบรรพชนต้องการข้าก็มิกล้าขัด ไม่ว่าบรรพชนจะเต็มใจหรือไม่ คงต้องปล่อยให้เป็นไปตามโชคชะตา”
ใบหน้าชราจ้องขู่ฉาเขม็งอยู่นาน ทำเอาขู่ฉาขนลุกขนพอง
ใบหน้าชราพลันหัวเราะ “ส่งไขกระดูกมา”
ขู่ฉาส่งไปแต่โดยดี
ใบหน้าชราอ้าปากแล้วกลืนไขกระดูกลง น้ำเสียงพึงพอใจได้ยินมาจากหมู่เมฆ “ไม่เลว ๆ เป็นยาชั้นดีจริง ๆ หายากนัก หายากจริง!”
ขู่ฉาได้ยินก็พูดไม่ออกอยู่บ้าง ทว่าใบหน้าชรากลับถามอีกคำถามหนึ่งขึ้น “บรรพชนเสวียที่เจ้าว่าแข็งแกร่งมากเพียงไหน เหลือพลังชีวิตอีกมากเท่าไหร่?”
ขู่ฉาชะงัก “บรรพชน ท่านไม่เคยได้ยินชื่อบรรพชนเสวียมาก่อนหรือ?”
ใบหน้าชราตอบ “แล้วเจ้ารู้จักสัตว์อสูรที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเจ้าทุกตัวหรือไม่เล่า?”
แน่นอนว่าขู่ฉาย่อมไม่รู้จักราชันจักรพรรดิอสูรทุกตัวในเผ่าสัตว์อสูร แต่นำมาเปรียบเช่นนี้นับว่าไร้เหตุผล เทพอสูรบรรพกาลมีจำนวนน้อยกว่ามาก หากมีมากเท่าราชันจักรพรรดิอสูร ทวีปต้นกำเนิดก็คงถูกทำลายจนแยกเป็นสองส่วนแล้ว
แต่ขู่ฉาก็ไม่กล้าขัด ได้แต่เอ่ยเสียงอ่อนน้อม “บรรพชนเสวียคือค้างคาวชิงโลหิต สร้างร่างแยกได้นับหมื่น เปลี่ยนรูปร่างได้ง่ายดาย ในหมู่บรรพชนยังนับว่าทรงพลังมาก”
“อ้อ แล้วบรรพชนหมานเล่า?”
ขู่ฉาตอบ “บรรพชนหมานเป็น…”
ทันใดนั้นน้ำเสียงก็ติดอยู่ในลำคอ เขาจ้องใบหน้าชราที่เหี่ยวย่นด้วยความหวาดกลัว
“หยุดทำไมเล่า?” ใบหน้าชราคำรามเสียง
ขู่ฉาเริ่มตัวสั่น “เจ้า… เจ้าไม่ใช่บรรพชน!”
ในที่สุดเขาก็รู้ความจริง
ไม่มีบรรพชนท่านไหนที่ไม่รู้จักทั้งบรรพชนเสวียและบรรพชนหมานแน่นอน
เขาถูกหลอก!
“อ้อ? สุดท้ายก็มองออกหรือนี่?” น้ำเสียงแก่ชราแปรผันเป็นน้ำเสียงคุ้นหู
ใบหน้าชราเองก็เริ่มแปรเปลี่ยน เผยให้เห็นใบหน้ายิ้มแย้มของซูเฉิน
“ซูเฉิน!” ขู่ฉาร้องเสียงผวา
พอรู้ว่าซูเฉินทั้งหลอกและล่อเอาไขกระดูกไป เขาทั้งโกรธทั้งตกใจ “กล้าหลอกข้าหรือ? ข้าจะฆ่าเจ้า!”
ริ้วปราณสีดำแกมเขียวแทงใส่ชายหนุ่ม
“งั้นหรือ?” ซูเฉินพึมพำ “ถึงข้าจะไม่ใช่บรรพชน แต่เชื่อข้าเถอะ ข้าก็ขยี้เจ้าได้ง่ายดายเหมือนที่บรรพชนทำได้เหมือนกันนั่นล่ะ”
ว่าแล้วเขาก็ปล่อยหนึ่งฝ่ามือออกมา
มันสลายปราณสีดำแกมเขียวทันที จากนั้นทะลวงผ่านพื้นที่ คว้าเข้าที่ลำคอขู่ฉา
จังหวะที่ฝ่ามือนั้นกำรอบลำคอเขา ขู่ฉารู้สึกราวกับพลังถูกดูดออกจากร่างจนหมด
หากขู่ฉาเป็นมด เทพอสูรบรรพกาลก็คงเป็นช้างตัวใหญ่ ซูเฉินนั้นเหมือนสุนัขตัวหนึ่ง แม้จะยังไม่อาจเทียบชั้นกับเทพอสูรบรรพกาล แต่จะสังหารมดอย่างขู่ฉาก็ไม่ใช่ว่ายาก
เขายกตัวขู่ฉาขึ้นพลางเอ่ย “เจ้าพูดถูก ข้าไม่ควรโกหกเจ้า น่าจะจับมาทรมานจนกว่าจะเค้นเรื่องที่ข้าอยากรู้ทุกอย่างออกมาได้มากกว่า เช่นนั้นตรงไปตรงมาได้ผลมากกว่า ในเมื่อเจ้าดูไม่ชอบวิธีประนีประนอม ก็เอาตามที่เจ้าเสนอเป็นอย่างไร?”
ว่าแล้วเพลิงรุนแรงก็พุ่งเข้าไปในร่างขู่ฉา ความเจ็บปวดจากการถูกเผาไหม้อยู่ภายในทำให้ร่างกายเขาดิ้นไปมา ที่น่าตกใจไปกว่านั้นคือร่างกายไม่เป็นอะไรแม้สักนิด แต่ความเจ็บปวดจู่โจมเขาอย่างไม่หยุดยั้ง
ขู่ฉาได้รู้บทเรียนที่สองในวันนั้น เมื่อถูกศัตรูที่เก่งกาจมากหลอกเข้า ก็ควรจะดีใจไว้ ไม่ควรรู้สึกแย่ เพราะหากหลอกไม่สำเร็จมีแต่จะถูกทรมานมากกว่าเดิม
บ้าเอ๊ย!
เขาได้แต่ด่าตนเองในใจซ้ำไปซ้ำมา
เขารู้สึกเสียใจมาก หากเป็นไปได้ เขาทำเป็นไม่รู้เสียยังดีกว่า
น้ำเสียงซูเฉินดูเหมือนจะถูกปล่อยออกมาจากที่ไกล “พร้อมจะบอกสิ่งที่ข้าอยากรู้หรือยัง?”
“ข้าบอกแล้ว ๆ ข้าจะบอกเจ้าทุกอย่าง!” ขู่ฉาร้องโหยหวน “บรรพชนหมานเป็นทรราชเถื่อน มีพลังเหนือใคร ใจร้อนและบ้าเลือด”
“เชื่อฟังดีจริง ๆ” ซูเฉินเอ่ยพร้อมรอยยิ้มบาง
ว่ากันตามตรง ซูเฉินทำเพียงแต่หลอกอีกฝ่าย เพราะมันทั้งน่าสนใจและสนุกกว่า
“เจ้ากำลังไปปลุกบรรพชนหมานงั้นหรือ?”
“ถูกต้อง”
“เหตุใดไม่เป็นบรรพชนเสวียเล่า? เขาตื่นแล้วไม่ใช่หรือ?”
“ไม่ใช่ บรรพชนเสวียยังหลับใหลอยู่”
“แล้วเขาบอกเจ้าให้ปลุกบรรพชนหมาน ทั้งยังมอบไขกระดูกให้เจ้าได้อย่างไร?”
“บรรพชนเสวียสามารถแบ่งจิตสร้างร่างแยกขึ้นมาได้เป็นจำนวนมาก ในขณะที่ร่างจริงกำลังนอนหลับ ท่านสามารถปลุกจิตวิญญาณส่วนหนึ่งเพื่อใช้รับมือสถานการณ์ฉุกเฉินได้ ที่ตายไปคือวิญญาณส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่จะทำเช่นนี้นานไปก็ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะส่งผลต่อร่างหลัก สุดท้ายจะตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์ ตอนนี้ท่านเป็นบรรพชนตนเดียวที่ยังติดต่อกับพวกเราได้ในระดับหนึ่งทั้งที่จำศีลอยู่”
“เช่นนั้นเป็นเขาที่สั่งให้เจ้าทำหรือ? ในอดีตเป็นเขาที่ปลุกมังกรสุริยะด้วยหรือไม่?”
“ถูกต้องแล้ว ในอดีตบรรพชนเสวียอาจไม่ได้แกร่งที่สุด แต่ในช่วงจำศีล เขายังเป็นผู้เดียวที่ยังทรงพลังเหนือใครอยู่” ขู่ฉาบอกทุกอย่างที่รู้เพื่อเอาชีวิตรอดจริง ๆ
“อ้อ เช่นนี้เองหรือนี่!” ซูเฉินจึงปล่อยมือแล้วยกมือขึ้นลูบคางคิด
เขาปล่อยขู่ฉาไว้ ขู่ฉาไม่กล้าหนี ได้แต่มองซูเฉินบ้าง ก่อนหลบสายตาไปด้วยร่างกายสั่นเทา ราชันจักรพรรดิอสูรผู้อยู่เหนือเผ่าสัตว์อสูรทั้งหลายตัวสั่นราวกับกระต่ายน้อยยามอยู่ต่อหน้าซูเฉิน
น่าเสียดายที่มันเป็นความจริงอันโหดร้ายที่เขาต้องเผชิญ
หากไม่แกร่งพอก็มีแต่ต้องประสบเช่นนี้
ซูเฉินคิดครู่หนึ่ง จากนั้นเอ่ยขึ้น “รู้หรือไม่ว่ายังมีเทพอสูรและเทพอสูรบรรพกาลที่จำศีลอยู่อีกเท่าไหร่?”
ขู่ฉาคิดเล็กน้อยก่อนตอบ “เท่าที่รู้ ในยุคโบราณมีบรรพชนอยู่ราว 300 ท่าน มีผู้อาวุโสเรือนหมื่น แต่ผ่านไปหลายปี จำนวนบรรพชนก็ลดลง คงเหลือเพียง 30 ท่าน ผู้อาวุโส 300 ท่านเท่านั้น”
“30 กับ 300 งั้นหรือ? ก็ไม่ใช่น้อยนะ” ซูเฉินพึมพำ
ขู่ฉาทำใจกล้าว่าต่อ “ถูกต้อง ไม่ว่าบรรพชนท่านใดก็ทำลายล้างทัพมนุษย์ได้ทั้งนั้น ซูเฉิน ข้ารู้ว่าเจ้าทรงพลัง แต่เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของบรรพชนหรอก ถึงวันนี้ฆ่าข้าไป อสูรกายตัวอื่นก็มารับช่วงต่ออยู่ดี…”
“หนวกหูจริง” ซูเฉินเพียงโบกมือ ขู่ฉาหุบปากฉับทันใด “ข้าไม่ได้ถาม”
จากนั้นเอ่ยขึ้น “เจ้าควรรู้ว่าบรรพชนและผู้อาวุโสแต่ละตนหลับอยู่ที่ไหนใช่ไหม?”
ขู่ฉาจ้องซูเฉินตกตะลึง
เขาจะไม่เข้าใจได้อย่างไร?
ดูเหมือนอีกฝ่ายต้องการรู้สถานที่หลับใหลของเทพอสูรบรรพกาลและเทพอสูรเพื่อเตรียมลอบแผนสังหาร
ไม่ว่าเทพอสูรบรรพกาลจะเคยแกร่งเพียงไหน แต่ก็หลับใหลอยู่ ไม่อาจป้องกันตนได้ จึงเป็นเหตุผลให้เทพอสูรบรรพกาลคอยช่วยเหลืออสูรกายในยามยาก ดูบางมุมอสูรกายก็นับเป็นผู้พิทักษ์ของพวกมันเช่นกัน
ขู่ฉาส่ายหน้าแรง เสียงอู้อี้ดังออกจากปากยามพยายามตอบซูเฉิน
“เจ้าไม่รู้หรือ?” ซูเฉินโบกมืออีก ขู่ฉากลับมาพูดได้อีกครั้ง
ขู่ฉาเอ่ย “สถานที่จำศีลของบรรพชนและผู้อาวุโสถูกเก็บไว้เป็นความลับ ข้าจะรู้ได้หรือ?”
ซูเฉินถาม “แล้วเจ้ารู้สถานที่จำศีลของบรรพชนเสวียและบรรพชนหมานได้อย่างไร?”
ขู่ฉาตอบ “สัตว์อสูรทุกตัวรู้สถานที่หลับใหลของบรรพชนเสวีย เป็นที่เดียวที่รู้กันทั่ว ดังนั้นจึงห้ามไม่ให้เข้าไปโดยเด็ดขาด ไม่ว่าจะเกิดศึกถึงเพียงไหนก็ตามก็ไม่มีใครมีสิทธิ์เข้าใกล้ พวกเรารู้สถานที่ของบรรพชนและผู้อาวุโสท่านอื่นจากบรรพชนเสวีย ยามคับขันก็จะปลุกบรรพชนเสวียขึ้น เขาจะคอยบอกว่าให้ปลุกบรรพชนหรือผู้อาวุโสท่านใดบ้าง เป็นสิ่งที่เราทำกันมานับหมื่นปีแล้ว แต่ข้าก็รู้สถานที่หลับใหลของบรรพชนซู่ แต่นั่นก็เป็นเพราะข้าบังเอิญกินความตื่นรู้ของท่านเข้าไป ซึ่งก็เป็นเพียงเรื่องบังเอิญเท่านั้น ข้าไม่กล้าเปิดเผยสถานที่ให้สัตว์อสูรอื่นรู้”
“เป็นเช่นนี้เอง แล้วเหยี่ยวทองเล่า? เผ่าวิญญาณรู้จุดจำศีลและไปปลุกมันได้อย่างไร?”
ขู่ฉาตอบ “ผู้อาวุโสท่านนั้นคงไม่ได้จำศีลอยู่ในอาณาเขตสัตว์อสูร”
ซูเฉินเข้าใจ
เผ่าสัตว์อสูรครั้งหนึ่งเคยปกครองทั่วทั้งทวีป ทำให้เทพอสูรบรรพกาล เทพอสูรในตอนนี้จำศีลอยู่ทั่วพื้นที่ ทำเพียงแค่บอกสถานที่จำศีลที่ตนเองเลือกแก่บรรพชนเสวียเท่านั้นก็พอ
แต่เมื่อหลายปีผ่านไป เผ่าสัตว์อสูรเริ่มเสียเขตแดนไม่อาจชิงเอากลับมาได้ จึงไม่สามารถติดต่อเทพอสูรและเทพอสูรบรรพกาลที่จำศีลอยู่ใต้ดินส่วนนั้นได้
สัตว์อสูรโบราณขนาดใหญ่นี้จำศีลอยู่ใต้ดินลึก หาพบไม่ง่าย ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป สภาพภูมิประเทศโดยรอบผันเปลี่ยน จึงไม่แปลกที่บางส่วนจะถูกค้นพบ ส่วนมากถูกสังหารตอนที่ยังจำศีล แต่บางตัวก็รอดมาได้
ก็เหมือนกับเทพอสูรบรรพกาลในเขตมรณา และเทพอสูรคางคกพันพิษบนเขาพันพิษ
เหยี่ยวทองก็เช่นกัน มันสูญเสียการปกป้องจากอสูรกายไปนาน จำศีลสงบนิ่งอยู่ในดินแดนของเผ่าวิญญาณมานานแล้วแต่ก็ไม่เคยถูกปลุกตื่นขึ้นและถูกสังหาร
“เว้นเสียแต่จะพลิกดินทั้งแดนสัตว์อสูร ไม่งั้นก็คงหาไม่พบหรอก และถึงทำจริง จะหาทีละตัวก็ยากนัก” ขู่ฉาเอ่ย
“ข้ารู้” ซูเฉินว่าพร้อมยิ้มบาง “ข้าก็ไม่ได้คิดจะทำอยู่แล้ว ในเมื่อบรรพชนเสวียดูจะรู้เรื่องเหล่านี้ดี ไปเยี่ยมเขาสักหน่อยเป็นไร”