บทที่ 51 ตื่น
“อะไรนะ”
กู่ฮุยหมิง กู่ชิงลั่ว จูเซียนเหยา หลี่ฉงซาน และศิษย์ระดับสูงทั้งหลายต่างหันไปมองที่ซูเฉินเป็นตาเดียวด้วยความไม่เชื่อหูตัวเอง
“อย่ามองข้าแบบนั้นจะได้ไหม” ซูเฉินดูคร้านจะตอบ “ข้าแค่คิดว่าจะไปที่สระหินทรายแดง และเจรจากับบรรพชนโลหิตสักหน่อย”
“เขาเป็นเทพอสูรบรรพกาลนะ!” กู่ชิงลั่วกัดฟันกรอด “ท่านคิดจริง ๆ หรือว่าจะมีชีวิตรอดกลับมา”
คราวนี้ซูเฉินตอบกลับอย่างจริงจัง “ก็ถ้าข้าไม่หยุดขู่ฉาเสียวันนี้ เขาก็จะต้องไปปลุกเทพอสูรบรรพกาลขึ้นมาด้วยตัวเองอยู่ดี เจ้าคิดว่าเราจะเลี่ยงการเผชิญหน้ากับเทพอสูรบรรพกาลได้จริง ๆ หรือ?”
ทุกคนไม่ปริปาก
แต่กู่ชิงลั่วผู้ดื้อด้านยังไม่ละความพยายาม “นั่นมันต่างกันนะ อย่างน้อยเราก็ยังสามารถเผชิญหน้ากับมันพร้อมกันได้”
ซูเฉินส่ายหน้าเบา ๆ “แล้วอย่างไรล่ะ แล้วเราจะมีโอกาสชนะมากขึ้นหรือ และต่อให้เราชนะแล้วอย่างไรต่อล่ะ เราอาจทำในสิ่งที่แม้แต่อาณาจักรอาคาร์น่ายังไม่เคยทำสำเร็จมาก่อนได้ แต่แล้วอย่างไรล่ะ พวกนั้นก็แค่ปลุกเทพอสูรบรรพกาลขึ้นมาอีกสองหรือสามตนน่ะสิ! ถึงตอนนั้นเราจะยังสามารถเอาชนะพวกมันได้อีกหรือ”
กูชิงลั่วเดือดพล่าน “ซูเฉิน นี่มันหมายความว่าอะไรกัน ท่านกำลังบอกว่าเราจะพ่ายแพ้ในสงครามครั้งนี้อย่างแน่นอนอย่างนั้นหรือ ถ้าเป็นเช่นนั้น แล้วทำไมถึงพาพวกข้ามาถึงนี่ ทั้งยังเริ่มต้นด้วยการไปท้าทายพวกอสูรกายอีกต่างหาก”
“ทำไมน่ะหรือ” ซูเฉินหัวเราะก่อนจะตอบคำถาม “การต่อสู้ก็เป็นเหตุผลในตัวมันเองอยู่แล้วไม่ใช่หรือ เรารู้กันอยู่แล้วว่าเทพอสูรบรรพกาลแข็งแกร่งเพียงไร แต่เราเคยหดหัวหนีพวกมันด้วยหรือ เผ่าพันธุ์มนุษย์ยกระดับขึ้นมาได้ในหลายสิบปีที่ผ่านมานี้เพราะอะไรกัน เพราะพวกอสูรกายอ่อนแอลงหรือ? แน่นอนว่าไม่ใช่! แม้ศัตรูของเราจะแข็งแกร่งเสมอมา แต่มนุษย์ก็ยืนหยัดและยึดครองดินแดนมาได้ด้วยหยาดเหงื่อและน้ำตา! ความสำเร็จของเราสร้างขึ้นมาได้จากรากฐานที่บรรพบุรุษวางไว้ พวกเขาเองอาจยังสงสัยในความเป็นไปได้ในชัยชนะไม่ต่างกัน หากแต่ก็ยังหนักแน่นในเจตจำนงเสมอ คนเหล่านั้นรู้เพียงว่าจะต้องสู้เมื่อจำเป็น ต่อให้โชคชะตากำหนดให้เราพ่ายแพ้ เราก็ต้องสู้จนถึงที่สุด นี่คือวิธีที่เราจะสร้างรากฐานให้กับคนรุ่นต่อ ๆ ไปได้ เจ้าถามข้าว่าทำไมน่ะหรือ ก็เพราะอย่างนี้อย่างไรล่ะ!”
คำอธิบายยาวเหยียดของซูเฉินทำให้กู่ชิงลั่วและทุกคนพูดไม่ออก
แน่นอน…
การต่อสู้เป็นเหตุผลในตัวของมันเองอยู่แล้ว!
เมื่อต้องต่อกรกับศัตรูที่ทรงพลัง การมาถกกันเรื่องผลประโยชน์และความเสี่ยงก็เรียกได้ว่าไร้ค่า
สิ่งสำคัญเพียงอย่างเดียวก็คือพวกเขาจะต้องต่อสู้ให้ถึงที่สุด!
แม้ซูเฉินจะรู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางเอาชนะเทพอสูรบรรพกาลได้ แต่เขาก็ยังตัดสินใจเดินเส้นทางนี้
อาณาจักรอาร์คาน่ากับราชวงศ์เทพสวรรค์อันรุ่งโรจน์ตระกูลกู่ก็มีจิตวิญญาณนักสู้แบบนี้เช่นกัน ไม่ว่าศัตรูจะแกร่งเพียงไร พวกเขาก็ต้องมุ่งหน้าสู้ต่อไป และความพยายามในการวางรากฐานในการเรืองอำนาจให้กับเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ถูกเผยให้เห็นแล้ว!
ผู้นำมนุษย์คนอื่น ๆ ไม่มีเหตุผลใดที่จะสามารถคัดค้านคำพูดของซูเฉินได้
ซูเฉินยังกล่าวต่อไป “ดังนั้นก็ไม่มีประโยชน์ที่จะต้องมากลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าอย่างไรเราก็ต้องเผชิญหน้ากับเทพอสูรบรรพกาลอยู่ดี แต่จะเป็นตอนไหนก็ต้องรอดูกันต่อไป สวรรค์ให้โอกาสมาแล้วเราก็ต้องคว้ามันเอาไว้ ข้าจะไปเองคนเดียว…แบบนี้น่าจะดีกว่าการที่เราทั้งหมดไปพบเขาพร้อมกัน”
“นี่ท่านจะไปปลุกบรรพชนโลหิตขึ้นมาเพื่อสังหารเขาหรือ” กู่ฮุยหมิงถาม
ซูเฉินตอบกลับทันควัน “นั่นเป็นทางเลือกเพียงอย่างเดียว ถ้าบรรพชนโลหิตตายไป อสูรกายที่เหลือก็จะไม่รู้ว่าเทพอสูรบรรพกาลจำศีลอยู่ที่ไหนบ้าง นั่นทำให้เราเผชิญหน้ากับพวกมันได้ครั้งละเพียงตนเดียว แต่ก็มีความเป็นไปได้มากเช่นกันที่บรรพชนโลหิตจะส่งต่อข้อมูลพวกนี้ให้กับอสูรกายอื่น ๆ เผื่อเป็นที่พึ่งสุดท้ายในกรณีฉุกเฉิน อันที่จริงแล้วข้าไม่อยากฆ่าเขาหรอก”
“ถ้าอย่างนั้นท่ายหมายความว่า…”
ซูเฉินตอบกลับนิ่ง ๆ “สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับข้าในตอนนี้ก็คือการได้เจรจากับเขา…ถ้าเป็นไปได้”
ที่สระหินทรายแดง
ผนังของสระยังคงถูกทาด้วยสีแดงสดเช่นเดิม และกระแสพลังต้นกำเนิดแปรปรวนที่หมุนเวียนอยู่อย่างต่อเนื่องออกมาจากหลุมที่กลางสระ
ซูเฉินบังคับให้ขู่ฉาพาเขามาที่นี่ จากจุดที่ยืนอยู่ทำให้สระแห่งนั้นดูราวกับว่ามันโชกไปด้วยเลือด และดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าก็ยิ่งเน้นให้สีแดงของสระแห่งนั้นยิ่งสดมากขึ้นไปอีก
“อย่าเข้าไปที่รูนั่นโดยตรง เราต้องจอดที่ด้านนอกนี่และเดินเข้าไปข้างใน พยายามให้เกิดเสียงน้อยที่สุด พวกผู้คุ้มกันจะได้ไม่รู้…” ขู่ฉาเดินไปมา
ซูเฉินมองลงไปที่ด้านล่างก่อนจะหายวับไปและปรากฏกายขึ้นอีกครั้งที่ตรงหน้ารูสีเลือดในสระ
ขู่ฉาอ้าปากค้างด้วยความตะลึง
สระแห่งนี้น่าจะมีปฏิกิริยาต่อสิ่งรบกวนทุกชนิด เพราะหินสีแดงบางส่วนเริ่มขยับไปมาอย่างประหลาด ทันใดนั้นส่วนหัวและระยางค์ก็งอกออกมาจากหินเหล่านั้นและพลันกลายร่างไปเป็นสิ่งมีชีวิตที่วิ่งตรงเข้าหาซูเฉิน สิ่งมีชีวิตพวกนี้ไม่ใช่หุ่นเชิด แต่พวกมันคือ เต่าโลหิต ผู้คุ้มกันที่บรรพชนโลหิตสร้างขึ้นด้วยสายเลือดของตัวเอง ตราบใดที่พวกมันอยู่ไม่ห่างตัว เต่าพวกนี้ก็จะมีพลังในระดับราชันอสูร
การปรากฏตัวของซูเฉินทำให้เต่าโลหิตตื่นตกใจและพุ่งเข้าโจมตีผู้บุกรุกคนนี้ทันที
เสียงคำรามแหลมสูงของมันมีคุณสมบัติพิเศษ เต่าโลหิตสามารถใช้เสียงเพื่อโจมตีศัตรูและปลุกชิ้นส่วนวิญญาณของบรรพชนโลหิตขึ้นมาได้ แน่นอนว่าการปลุกเขาขึ้นมาอย่างกะทันหันก็ทำให้เกิดความเสียหายกับบรรพชนโลหิตด้วย เพราะขั้นตอนนี้ไม่มีการสังเวยใด ๆ เกิดขึ้นเลย ดังนั้นวิธีนี้จึงถูกใช้เมื่อไม่มีทางเลือกแล้วจริง ๆ เท่านั้น
เต่าโลหิตยังคงโจมตีซูเฉินด้วยเสียงแหลมสูงต่อไป ซึ่งทำให้การปลุกจิตวิญญาณเกิดขึ้นเร็วยิ่งขึ้นไปด้วย
ขณะที่ส่งเสียงร้องทำร้ายโสตประสาทของซูเฉิน พวกเต่าก็เร่งความเร็วและเริ่มใช้ร่างของมันกระแทกเข้าใส่เขา
วิธีการต่อสู้ของพวกมันเป็นเอกลักษณ์ยิ่งนัก เต่าโลหิตจะรวมตัวกันเป็นก้อนกลมและกลิ้งเข้าใส่ศัตรูเหมือนก้อนหิน แม้ว่าจะไม่ใช่การโจมตีที่ดูดีนัก แต่มันก็ทรงพลังไม่ใช่ย่อย
ซูเฉินเลิกคิ้วก่อนจะหัวเราะเยือกเย็น “ไม่เลวเลย”
ลักษณ์เจ็ดสายเลือดปรากฏขึ้นที่เบื้องหลังของชายหนุ่ม เต่าโลหิตกลิ้งตรงเข้าใส่ภาพวาดที่สร้างขึ้นจากลักษณ์นั้นและสิ้นความสามารถในการโจมตีไปในทันที
ขู่ฉาเพิ่งมาถึงและเหาะลงมายืนข้างซูเฉิน เมื่อเห็นว่ามีเต่าโลหิตหลายร้อยตัวกำลังขัดขวางชายหนุ่มอยู่ก็ต้องตกใจอีกครั้ง เขารู้ดีว่าพวกนี้แข็งแกร่งเพียงไร แต่แม้พวกมันจะรวมพลังกันต่อสู้แล้วก็ยังไม่สามารถต้านทานกระบวนท่าของซูเฉินได้เลยด้วยซ้ำ ทว่าเมื่อคิดทบทวนดูอีกครั้ง เขาก็นึกขึ้นได้ว่าเรื่องนี้ไม่ได้เหนือความคาดหมายเลย อย่างไรเสียซูเฉินก็เคยเอาชนะเทพอสูรมาแล้ว
ขู่ฉาตรงเข้ามาด้วยความร้อนใจ “ท่านผู้คุ้มกันที่เคารพ ได้โปรดอย่ากังวลไปเลย เขาไม่ได้เป็นมือสังหารหรอก”
หนึ่งในเต่าโลหิตที่กำลังกลิ้งเข้าใส่ภาพวาดของลักษณ์ร้องขึ้น “ไอ้คนทรยศ! เจ้าหักหลังบรรพชนโลหิตและบอกตำแหน่งที่อยู่ให้คนอื่นรู้!”
“ไม่ใช่อย่างนั้นเลย!” ขู่ฉายิ่งกระวนกระวายมากขึ้นเมื่อถูกกล่าวหาว่าเป็นคนทรยศ “นี่คือซูเฉิน ผู้นำของชาวมนุษย์ เขาเดินทางมาถึงที่นี่เพื่อเจรจากับบรรพชนโลหิต”
“อสูรกายกับมนุษย์ไม่มีอะไรที่จะต้องเจรจากัน” เต่าโลหิตคำรามเกรี้ยวกราด
ซูเฉินยื่นมือออกไปคว้าคอของเต่าโลหิตตัวนั้นไว้และดึงออกมาจากลักษณ์อย่างไม่ใส่ใจ “เจ้าเป็นแค่ผู้เฝ้ายาม มีสิทธิ์อะไรกันที่จะมาตัดสินใจว่าข้าจะได้เจรจากับบรรพชนของเจ้าหรือไม่ ไปปลุกบรรพชนของเจ้าซะ ข้ามีเรื่องที่ต้องคุยกับเขา”
“ฝันไปเถอะ!” เต่าโลหิตพยายามดิ้นให้หลุดจากเงื้อมมือของซูเฉินต่อไป แต่มือของชายหนุ่มคว้าคอเขาไว้แน่นเหลือเกิน
“เรื่องนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้า ขู่ฉา ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าการปลุกบรรพชนของเจ้าจะต้องมีการสังเวยใช่ไหม”
“ใช่” ขู่ฉาพยักหน้าตอบรับ “การสังเวยโลหิตเป็นวิธีที่ดีที่สุด หากผู้คุ้มกันพวกนี้ถูกปลุกขึ้นมาแล้ว ผลที่เกิดกับบรรพชนโลหิตก็จะมากกว่าปกติ วิธีนี้จะใช้ในยามฉุกเฉินเท่านั้น”
“เอาล่ะ ในเมื่อข้าเองก็มาเพื่อเจรจาอยู่แล้ว อย่างน้อยข้าก็ควรจะแสดงความจริงใจด้วยการสังเวย แต่ข้าไม่มีอสูรอยู่เลย ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะต้อง…” ซูเฉินเหลือบมองเต่าโลหิตในกำมือและกล่าวอย่างเยือกเย็น “ใช้เจ้านี่ละ”
ขู่ฉาตะลึง “พวกนี้เป็นผู้คุ้มกันส่วนตัวของบรรพชนโลหิตนะ! ไม่ได้หรอก…”
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบประโยค ซูเฉินก็สังหารเต่าโลหิตนั่นเสียแล้ว… ชายหนุ่มโยนมันลงไปในรูสีเลือดนั้นเป็นที่เรียบร้อย
เต่าโลหิตอีกมากมายถูกสังหารและโยนลงไปตาม ๆ กัน
เมื่อเต่าโลหิตกำลังจะถูกสังหารจนหมด รูสีแดงฉานก็ดูเหมือนจะมีปฏิกิริยาตอบสนองในที่สุด รังสีอันทรงพลังพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ห่อหุ้มทั้งสระหินทรายแดงไว้อย่างรวดเร็ว
“หือ ตื่นเร็วเชียว เจ้าบอกว่าปกติต้องใช้การสังเวยถึงหลายหมื่นครั้งไม่ใช่หรือ” ซูเฉินตะลึงเมื่อเห็นว่าบรรพชนโลหิตตื่นขึ้นไว้กว่าที่คาดเอาไว้
ขู่ฉาได้แต่สบถอยู่ในใจอย่างขมขื่น ‘การสังเวยหลายหมื่นครั้ง’ นั้นหมายถึงการใช้เครื่องสังเวยระดับล่างต่างหาก เต่าโลหิตพวกนี้ล้วนเป็นราชันอสูรระดับสูงสุดที่มีสายเลือดของบรรพชนโลหิตทั้งสิ้น เป็นธรรมดาที่จำนวนที่ต้องใช้ในการปลุกบรรพชนให้ตื่นขึ้นนั้นจะน้อยกว่า อันที่จริงแล้วซูเฉินโยนพวกมันลงไปมากกว่าที่จำเป็นเพราะว่าสังหารเต่าโลหิตได้เร็วเกินไปหน่อย และขู่ฉาก็กลัวเกินกว่าจะกล่าวอะไร จึงทำให้เกิดการสูญเสียโดยไม่จำเป็น
เสียงที่ฟังดูยิ่งใหญ่ดังขึ้น “ใครปลุกข้าอีกแล้ว ข้าเพิ่งจะหลับไป… หือ นี่เจ้าใช้อะไรในการปลุกข้าน่ะ ไอ้เวร นี่มันฝีมือใครกัน!”
เสียงทุ้มต่ำนั้นเริ่มแสดงโทสะ บรรพชนโลหิตรู้แล้วว่าสิ่งใดถูกใช้เป็นเครื่องสังเวยเพื่อปลุกตน
ซูเฉินตอบอย่างไม่รีบร้อน “ข้าเอง อย่าโมโหไปเลย เท่านี้น่าจะมากพอให้ท่านตื่นได้อีกสักหน่อยแล้วใช่ไหม ข้ามีหลายอย่างอยากถามท่าน คงไม่ปล่อยให้ท่านกลับไปนอนต่อง่าย ๆ หรอก”
“ไอ้มนุษย์!”
กลุ่มเมฆโลหิตปรากฏขึ้นเหนือรูนั้นและก่อตัวเป็นรูปใบหน้าขนาดยักษ์ที่มองมายังซูเฉินด้วยสายตามุ่งร้าย
“ข้ามีนามว่าซูเฉิน” เขากล่าวอย่างไม่เกรงกลัว
“ซูเฉิน…” บรรพชนโลหิตหยุดคิดก่อนจะนึกออกว่าเคยได้ยินชื่อนี้มาจากที่ไหน “เจ้าเป็นผู้ปกครองชาวมนุษย์หรือ”
เจตสังหารฉายในแววตาของเขา “เจ้านั่นเอง! เจ้าคือคนที่นำทัพมนุษย์ไปรุกรานดินแดนอสูรกาย ตอนนี้เจ้ายังกล้ามาที่นี่เพื่อปลุกข้าอีกอย่างนั้นหรือ ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วหรืออย่างไรกัน!”
มือขนาดยักษ์ยื่นออกมาจากกลุ่มเมฆและฟาดเข้าใส่ซูเฉินหวังจะบี้เขาให้แหลกละเอียด
ชายหนุ่มพลันตอบอย่างดูแคลน “หยุดเสแสร้งได้แล้ว ถ้าข้าเป็นคนปลุกท่านขึ้นมาจริง ๆ ข้าคงตายไปแล้วล่ะ แต่เพราะนี่เป็นแค่ชิ้นส่วนจิตวิญญาณของท่าน…ท่านก็เลยสังหารข้าไม่ได้”
สิ้นคำชายหนุ่มก็ใช้นิ้วมือแตะฝ่ามือยักษ์ของอีกฝ่าย ฝ่ามือนั้นแตกออกทันทีราวกับลูกโป่งที่แสนบอบบาง
“นี่เจ้า!” บรรพชนโลหิตสบถ
“ทำไมหรือ ข้าก็อยู่นี่แล้ว ทำไมไม่ตื่นขึ้นมาและสังหารข้าเสียเลยล่ะ” ซูเฉินยังคงรั้น
บรรพชนโลหิตสูดหายใจลึก
ไม่มีทางที่จะยอมให้ซูเฉินยั่วยุจนตนต้องตื่นขึ้นมาได้ง่าย ๆ แน่
ใบหน้าสีแดงฉานจ้องมาที่ซูเฉิน ก่อนจะเหลือไปมองขู่ฉาที่ยืนอยู่ไม่ห่างออกไป จากนั้นมันจึงเริ่มครุ่นคิดและกล่าวขึ้นในที่สุด “เจ้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อฆ่าข้าอย่างนั้นหรือ”
“ต้องอย่างนี้สิถึงเราจะเจรจากันได้” ซูเฉินหัวเราะและปรบมือถูกใจ
“เจรจาหรือ เจ้ามาที่นี่เพื่อเจรจากับข้า… มีเรื่องอะไรกัน” กลุ่มเมฆโลหิตมองชายหนุ่มหัวจรดเท้าราวกับว่ากำลังวัดขนาดร่างกายของชายหนุ่ม
“จะมีเรื่องอะไรให้ต้องพูดอีกล่ะ แน่นอนอยู่แล้วว่าต้องเกี่ยวกับเรื่องการเสื่อมของปราการเทพเจ้า และการกลับมาของพวกเขา ถ้าวันนั้นมาถึง ท่านเองก็จะดับสูญไปตลอดกาลเช่นกัน แทนที่เราทั้งสองจะต้องเสียเวลา เรามาร่วมมือกับต่อกรกับเทพเจ้าไม่ดีกว่าหรือ” ท่าทางของซูเฉินดูมั่นใจและเด็ดเดี่ยว
“หือ?” บรรพชนโลหิต มองหน้าชายหนุ่มด้วยท่าทีสนอกสนใจ “แล้วเจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับปราการเทพเจ้าบ้าง”
ซูเฉินเงียบ
เมื่อเห็นท่าทางของชายหนุ่ม บรรพชนโลหิตก็เข้าใจทันที
ใบหน้าสีโลหิตหัวเราะอย่างวางท่า “เจ้าไม่รู้อะไรเลยสินะ”