ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 52 ประวัติศาสตร์โบราณ (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 52 ประวัติศาสตร์โบราณ (1)

หน้าของบรรพชนโลหิตหัวเราะลั่น แต่ซูเฉินยังมีท่าทีสงบ “ท่านไม่เห็นต้องแปลกใจเลยที่ข้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อหลายหมื่นปีก่อน แต่เอาเถอะ ข้ารู้ความจริงที่สำคัญอยู่บ้าง อย่างเรื่องที่ว่าพวกนั้นจะทำลายปราการเทพเจ้าลงในอีกสิบปีข้างหน้าและจะกลับมาสู่โลกใบนี้ มันจะเป็นหายนะต่อเราทั้งสองฝ่าย ถูกไหมล่ะ”

บรรพชนโลหิตชะงักไป “สิบปีหรือ เจ้าไปรู้ระยะเวลานี่มาจากไหนกัน”

“เจ้าแห่งแดนฝันบอกข้ามา”

“เจ้าแห่งแดนฝันหรือ” บรรพชนโลหิตดูท่าทางสับสนราวกับว่าไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน

ซูเฉินเห็นดังนั้นจึงอธิบายต่อไป “เขาสามารถสร้างแดนฝันที่เชื่อมกับพลังจิตของสิ่งมีชีวิตสารพัดชนิดได้”

“อ้อ เจ้าแห่งฝันนั่นเอง ฮึ่ม ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าไอ้หมาแก่นั่นยังไม่ทรมานจนตายไปอีก เจ้านั่นคงกำลังทนทุกข์อยู่ในคุกเยือกแข็งสินะ” บรรพชนโลหิตกล่าวอย่างเย้ยหยัน

คุกเยือกแข็งอย่างนั้นหรือ?

มันคืออะไรกันนะ

ซูเฉินรู้สึกสงสัยแต่ทำได้เพียงพูดต่อไป “เขาไม่เพียงยังมีชีวิตอยู่ แต่ดูเหมือนว่าจะยังแข็งแรงและมีพลังล้นเหลืออีกด้วย ตอนนี้ สิ่งมีชีวิตทุกอย่างในทวีปต้นกำเนิดที่มีพลังพอสมควรล้วนสามารถเข้าสู่เครือข่ายที่เขาสร้างขึ้นและสื่อสารถึงกันได้ แม้จะเป็นเพียงการสื่อสารด้วยคำพูดเท่านั้นก็ตาม”

ซูเฉินอธิบายต่อไปว่าในหลายปีที่ผ่านมานี้เจ้าแห่งความฝันทำอะไรอยู่บ้าง

“โอ้! เพราะอย่างนี้เจ้านั่นถึงยังไม่ตายสินะ” บรรพชนโลหิตเข้าใจทันที “เจ้านั่นมีชีวิตอยู่รอดได้ด้วยการเสพพลังจิต และพลังจิตก็เป็นเพียงสิ่งเดียวที่จะสามารถส่งผ่านคุกพลังศักดิ์สิทธิ์ได้ แปลว่าเขามีชีวิตที่สุขสบายที่สุดในบรรดาเทพเจ้าทั้งหลายสินะ แดนฝันหรือ…หึ ๆ ข้าประทับใจจริง ๆ ที่เจ้านั่นหาหนทางสกัดพลังจิตจนได้”

คุกพลังศักดิ์สิทธิ์?

คืออะไรอีกล่ะ

ซูเฉินยิ่งสับสนมากขึ้นเมื่อบรรพชนโลหิตพูดถึงชื่อที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน ชายหนุ่มจึงถามกลับไปว่า “บรรพชนโลหิต คุกพลังศักดิ์สิทธิ์กับคุกเยือกแข็งคืออะไรกันหรือ”

“ก็คุกที่ขังพวกนั้นไว้อย่างไรล่ะ จะเป็นอะไรไปได้อีก เจ้าไม่เข้าใจความหมายของคำว่า ‘คุก’ หรือไรกัน” บรรพชนโลหิตตอบกลับอย่างดูแคลน

ซูเฉินนิ่งไปก่อนจะถามต่อ “ท่านหมายความว่า ตอนนี้พวกเทพเจ้าถูกขังอยู่ในคุกหรือ”

“ก็อย่างที่ข้าพูดนั่นล่ะ”

เสียงที่ไร้อารมณ์ของเขาทำให้ซูเฉินท้องไส้ปั่นป่วน

นี่มันอะไรกัน

ไม่ใช่ว่าพวกเทพเจ้าไปอยู่ที่อื่นกันหรอกหรือ

พวกนั้นโดนจับขังคุกตั้งแต่เมื่อไรกัน

ซูเฉินมองหน้าบรรพชนโลหิต…เขายังคงตกใจอยู่

บรรพชนโลหิตพูดต่อไป “ก่อนที่ข้าจะอธิบายสิ่งที่รู้ให้กับเจ้า บอกสิ่งที่เจ้ารู้มาก่อนสิ”

ซูเฉินปฏิเสธไม่ได้ จึงอธิบายสิ่งที่ตัวเองรู้ออกไป

เมื่อได้ยินสิ่งที่ซูเฉินรู้ บรรพชนโลหิตก็กล่าวด้วยความดูแคลน “เจียหลัวเป็นคนบอกเจ้านี่เอง เอาเถอะ ดูเหมือนว่าความเลอะเลือนจะทำให้ไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอยเสียแล้วล่ะ คุกเยือกแข็งคงไม่ได้มีประสิทธิภาพอย่างที่สุด พวกนั้นคงกำลังลำบาก…ลำบากมากเลยล่ะ ฮ่า ๆๆๆ!”

บรรพชนโลหิตเงยหน้าหัวเราะร่วนด้วยท่าทางพึงพอใจ

เต่าโลหิตที่ซูเฉินใช้สังเวยน่าจะทำให้เขาตื่นได้อีกสักพัก ดังนั้นชายหนุ่มจึงยินดีที่จะอดทนรอให้อีกฝ่ายระบายอารมณ์ออกมา

บรรพชนโลหิตเย็นลงในที่สุดและกล่าวกับชายหนุ่ม “เจียหลัวก็ไม่ได้ผิดเสียทั้งหมดหรอก แต่เราไม่ได้ถูกแยกออกจากพวกเทพเจ้าจริง ๆ”

“อะไรนะ ไม่ได้ถูกแยกหรือ”

“ถูกต้อง พวกเรา เทพอสูรบรรพกาล ก็เป็นสิ่งมีชีวิตโบราณของทวีปนี้เช่นกัน และเราทั้งสองก็อาศัยร่วมกันบนผืนแผ่นดินนี้” บรรพชนโลหิตกล่าวด้วยความมั่นใจ

“แต่เจียหลัวบอกว่ามีโลกที่เต็มไปด้วยพลังต้นกำเนิดอยู่ที่กลางทะเลพลังต้นกำเนิดที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่”

บรรพชนโลหิตหัวเราะ “เจ้าคิดว่าเขาหมายถึงโลกไหนกันล่ะ ก็โลกที่ใต้เท้าเจ้านี่อย่างไร!”

“อะไรนะ!!” ซูเฉินตะลึง

“ข้าบอกว่าทวีปต้นกำเนิดน่ะเป็นศูนย์กลางของทะเลพลังต้นกำเนิดอย่างไรล่ะ!” บรรพชนโลหิตประกาศด้วยเสียงดังก้อง

ทวีปต้นกำเนิดเคยถูกเรียกว่าแดนต้นกำเนิดมาก่อน

ตำแหน่งของมันยังตั้งอยู่ ณ จุดศูนย์กลางของทะเลพลังต้นกำเนิด ซึ่งแปลว่าดินแดนแห่งนี้อุดมไปด้วยพลังต้นกำเนิดอย่างไม่ต้องสงสัย

พลังต้นกำเนิดดิบ ๆ นั้นไม่เสถียรอย่างมาก และปริมาณที่มีอยู่มากเกินไปก็ยังทำให้เกิดสภาพอากาศที่วิปริตสุดขั้ว ซึ่งทำให้สิ่งมีชีวิตพัฒนาหรืออาศัยในบริเวณนี้ยากพิเศษ

หากจะทำได้ก็คงเป็นสิ่งมีชีวิตที่หาพบได้ยากยิ่ง

ซึ่งก็คือเทพเจ้านั่นเอง

เทพเจ้าองค์แรกที่ถือกำเนิดขึ้นในแดนต้นกำเนิดนั้นเรียกตัวเองว่าผู้ริเริ่ม (元) ซึ่งชื่อของเทพเจ้าองค์อื่น ๆ ก็ถูกตั้งขึ้นโดยเขาเช่นกัน

‘ผู้ริเริ่ม’ เป็นบรรพชนของแดนต้นกำเนิด และเป็นบรรพชนของเหล่าเทพเจ้าทั้งหมดด้วย

เขาถือกำเนิดขึ้นจากพายุและได้รับความสามารถในการควบคุมกฎแห่งพลังติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด

เขาเคยท่องไปทั่วแดนต้นกำเนิดเพียงคนเดียว ซึ่งไม่ว่าจะไปที่ไหน กฎแห่งพลังก็จะติดตามเขาไปและนำความสงบเรียบร้อยมาสู่ดินแดนรอบตัวเขา

และเมื่อดินแดนทั้งหลายเป็นระบบระเบียบมากขึ้น สิ่งมีชีวิตก็สามารถคงอยู่ในแดนต้นกำเนิดได้ง่ายมากขึ้นด้วย

เทพเจ้าถือกำเนิดมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่บนทวีปแห่งนี้

เทพเจ้าทั้งหลายสามารถเรียกลมเรียกฝนได้ตามที่ปรารถนา พวกเขาสามารถควบคุมสภาพแวดล้อมได้ราวกับว่าเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย แต่ไม่ว่าเทพเจ้าเหล่านี้จะแข็งแกร่งเพียงไร ก็ไม่มีใครที่จะเหนือไปกว่าผู้ริเริ่มเลย

เมื่อเวลาผ่านไปผู้ริเริ่มจึงกลายเป็น ‘บรรพชนต้นกำเนิด’ ไปในที่สุด

คนรุ่นหลัง ๆ นั้นไม่รู้ถึงความแตกต่างระหว่างชื่อทั้งสอง ซึ่งก็คือสาเหตุที่พวกเขารู้จักเพียงชื่อบรรพชนต้นกำเนิดเท่านั้น

ในความเป็นจริงแล้วมีบรรพชนต้นกำเนิดเพียงผู้เดียว ก็คือผู้ริเริ่มนั่นเอง

แน่นอน…การเหมารวมเทพเจ้าทั้งหมดว่าเป็นบรรพชนต้นกำเนิดนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่เข้าใจได้สำหรับคนรุ่นหลัง

เพราะเป็นยุครุ่งเรืองของแดนต้นกำเนิด เทพเจ้ามากมายท่องไปทั่วดินแดนและใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบสุข

จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อผู้ริเริ่มสิ้นชีพลง

การตายของเขาเกิดขึ้นจากสาเหตุตามธรรมชาติ เขาสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างยาวนานเป็นพิเศษก็จริง แต่ผู้ริเริ่มก็ไม่ได้เป็นอมตะ

ในวันที่เขาลาโลกนี้ไปนั้นเทพเจ้าทั้งหลายต่างพากันหวาดกลัว

เพราะพวกเขารู้แล้วว่าตัวเองก็อาจพบกับความตายได้เช่นกัน และแม้ว่าจะเป็นเทพเจ้าก็ไม่สามารถหนีจากความตายไปได้

การตายของผู้ริเริ่มเป็นครั้งแรกที่กฎแห่งพลังความตายเป็นที่ประจักษ์ในแดนต้นกำเนิด จากการตายครั้งนี้ ยมทูตเจียหลัวจึงได้ถือกำเนิดขึ้นและเป็นผู้กุมกฎแห่งชีวิตและความตาย จะบอกว่ายมทูตเจียหลัวเกิดจากผู้ริเริ่มก็คงไม่ผิดนัก

การตายของผู้ริเริ่มไม่เพียงเป็นการให้กำเนิดยมทูต แต่ยังสร้างชีวิตในรูปแบบใหม่ขึ้นด้วย

สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ไม่ต้องพึ่งพากฎแห่งพลังในการกำเนิด แต่พวกเขาเกิดขึ้นมาในแดนต้นกำเนิดด้วยวิธีการที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

สิ่งมีชีวิตแรกในแดนต้นกำเนิดที่ถูกค้นพบก็คือ เทพธิดาแห่งดวงจันทร์

วันหนึ่งขณะที่นางท่องไปในทะเลพลังต้นกำเนิด เทพธิดาก็พลันสังเกตเห็นเมล็ดพันธุ์ยางอย่างผุดขึ้นจากเกลียวคลื่น

ทะเลพลังต้นกำเนิดนั้นแปรปรวนและมีคลื่นแรง แต่เมล็ดพันธุ์นี้กลับไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ จากคลื่นเหล่านั้นเลยด้วยซ้ำ มันลอยไปมาอย่างสงบนิ่งบนผิวน้ำและปล่อยให้คลื่นซัดไปอย่างนั้น

เมล็ดพันธุ์นี้ไม่สะท้านต่อพลังต้นกำเนิดหรืออะไรก็ตามเลย

เทพธิดาแห่งดวงจันทร์รับเอาเมล็ดนั้นมาด้วยความสงสัยใคร่รู้

ในวันที่ 1,982 หลังจากที่นางได้เมล็ดพันธุ์มา สิ่งมีชีวิตบางอย่างก็ผุดขึ้นจากเมล็ดนั้น

สัตว์ชนิดแรกในแดนต้นกำเนิดปรากฏขึ้น

สัตว์ที่ว่านี้ก็คือปลานั่นเอง

เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ตั้งชื่อให้มันว่า ‘คุน’

คุนว่ายไปในทะเลพลังต้นกำเนิดได้ตามที่มันต้องการและมีชีวิตอยู่ได้ด้วยพลังต้นกำเนิด

ตอนแรกที่เกิดมานั้น คุนมีขนาดเพียงฝ่ามือหนึ่งเท่านั้น แต่ในไม่ช้ามันก็โตขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งมีขนาดใหญ่ที่กินพื้นที่ถึงหลายหมื่นลี้

แต่ไม่ว่ามันจะตัวโตขึ้นมาเพียงไร มันก็ยังมองว่าเทพธิดาแห่งดวงจันทร์เป็นแม่และพึ่งพานางเสมอ

สองชีวิตท่องไปทั่วแดนต้นกำเนิดด้วยกันอยู่นานพอสมควรจนกระทั่งวันหนึ่ง เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ก็รู้ตัวว่าตัวเองกำลังจะต้องตายจากไปในไม่ช้า

ในฐานะหนึ่งในเทพอายุมากที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่ นางจึงเป็นหนึ่งในกลุ่มของเทพเจ้าที่จะต้องตายตามผู้ริเริ่มไป

ในวันที่นางสิ้นใจ เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ยืนอยู่บนหลังของคุน

นางแปลงพลังศักดิ์สิทธิ์เป็นกลุ่มแสงมากมายที่ซึมซับเข้าไปในร่างกายของคุน

คุนสัมผัสได้ว่าแม่ของมันกำลังจะตาย ปลายักษ์เริ่มร้องไห้เศร้าโศกและว่ายลึกลงไปในทะเล มันอยู่นิ่งที่ใต้น้ำอย่างนั้นเป็นเวลานานเพราะความสูญเสียนี้

สามร้อยวันหลังจากที่เทพธิดาแห่งดวงจันทร์จากโลกไปนี้ไป คุนก็เริ่มกลายสภาพ

ปีกคู่หนึ่งงอกขึ้นที่หลังของมันโดยเกิดจากพลังศักดิ์สิทธิ์ของเทพธิดา ร่างของปลายักษ์ค่อย ๆ กลายไปเป็นนกยักษ์ในตำนาน จากนั้นมันจึงทะยานขึ้นไปบนฟ้าและโบยบินไกลออกไป… ไม่มีใครพบเห็นคุนอีกเลยนับแต่นั้น

ทว่าหลังจากที่นกยักษ์หายตัวไป ดินแดนใหม่ก็ผุดขึ้นไม่ไกลออกไปจากแดนต้นกำเนิด

ดินแดนแห่งนี้มีขนาดมากกว่าสามสิบไร่*[1]และตั้งอยู่ติดกับแดนต้นกำเนิด เขตแดนของมันติดกับผาทะเลสาบประทีปที่เทพธิดาแห่งดวงจันทร์มักชอบมาใช้เวลาอยู่

เทพเจ้าบางส่วนเชื่อว่าดินแดนแห่งนี้เกิดขึ้นจากร่างของคุนหลังจากที่มันตายไป

ดังนั้นพวกเขาจึงตั้งชื่อที่นี่ว่า ‘อาณาเขตคุน’

เวลาผ่านไปอีกเนิ่นนาน สัตว์ชนิดใหม่ ๆ ก็เริ่มปรากฏในอาณาเขตคุน

พวกมันคือเทพอสูรบรรพกาลนั่นเอง

เทพอสูรบรรพกาลทั้งหมดล้วนถือกำเนิดขึ้นในอาณาเขตคุนทั้งสิ้น เพราะมีเพียงที่นี่เท่านั้นที่พวกมันจะปลอดภัยจากพายุอันรุนแรงจากทะเลต้นกำเนิด

กฎแห่งพลังของผู้ริเริ่มและเจตจำนงของคุนเป็นสิ่งที่จะคอยกันไม่ให้พายุที่รุนแรงผ่านเข้ามาในอาณาเขตคุนได้

นอกจากนั้นแล้วอิทธิพลของกฎแห่งพลังในทวีปแห่งนี้ก็ยังอ่อนแอลงด้วยเช่นกัน และพลังต้นกำเนิดก็เสถียรมากขึ้น จึงทำให้เกิดสภาวะที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิตขึ้นในที่สุด

แต่ถึงอย่างนั้น สิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียวที่สามารถมีชีวิตอยู่รอดในดินแดนแห่งใหม่นี้ก็มีเพียงแต่เทพอสูรบรรพกาลที่แข็งแกร่งอย่างถึงที่สุดเท่านั้น อย่างไรแล้ว ‘ความสงบ’ ที่ว่านี้ก็ยังเป็นเพียงความวุ่นวายที่ชีวิตอื่น ๆ ในทะเลพลังต้นกำเนิดต้องประสบ เมื่อเทียบกับมาตรฐานในปัจจุบันนี้ สภาพแวดล้อมของอาณาเขตคุนในตอนนั้นก็ยังเรียกว่ารุนแรงอยู่มาก

ถึงตอนนี้ เทพอสูรบรรพกาลตนแรกที่ถือกำเนิดขึ้นได้ถูกลืมไปแล้วเพราะการหายตัวไปของมันเอง

พวกมันกำเนิดขึ้นมาจากสภาพแวดล้อมที่รุนแรงนั้นและยังครอบครองพลังที่ไร้ขีดจำกัด หากแต่ขาดสติปัญญา

หลังจากเทพเจ้าได้ค้นพบเหล่าเทพอสูรบรรพกาลเข้าพวกเขาก็รู้สึกขบขันกันไม่น้อย เทพทั้งหลายที่มีชีวิตอยู่กันมาอย่างโดดเดี่ยวได้พบกับความบันเทิงเข้าแล้วในที่สุด

ทั้งเทพเจ้าและเทพอสูรบรรพกาลมีตัวตนอยู่ร่วมกันมาได้อย่างสงบสุขทีเดียว

หากเทียบกับมนุษย์ก็คงคล้ายคลึงกับความสัมพันธ์ระหว่างสัตว์เลี้ยงกับเจ้าของ

เทพเจ้านั้นทรงพลังกว่าเจ้าของทั่ว ๆ ไป

แต่เหล่าเทพก็ไม่ได้ปรารถนาที่จะใช้พลังเหล่านั้น เพราะนอกจากความเป็นอมตะ…พวกเขาก็มีทุกอย่างที่ต้องการอยู่แล้ว

ทว่าในช่วงเวลานั้น การค้นพบครั้งใหม่ก็ได้เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างไป

การค้นพบในครั้งนี้มาจากเทพธิดาแห่งดวงจันทร์

หลังจากที่เทพธิดาแห่งดวงจันทร์องค์ก่อนตายจากไป ดินแดนต้นกำเนิดแห่งใหม่ก็ให้กำเนิดเทพธิดาแห่งดวงจันทร์องค์ใหม่ขึ้น

นางเองก็ไม่ต่างไปจากเทพธิดาแห่งดวงจันทร์องค์ก่อนที่ชอบและมีความสุขในการมีเทพอสูรบรรพกาลอยู่ข้างกาย

ซึ่งสัตว์เลี้ยงที่นางโปรดปรานที่สุดก็คือวานร

เทพอสูรบรรพกาลวานรนัยน์ตาเขียวนั่นเอง

ใช่แล้ว เป็นเทพอสูรบรรพกาลวานรนัยน์ตาเขียวที่ชาวอาร์คาน่าได้สืบสายเลือดมา

ในสายตาของเทพธิดาแห่งดวงจันทร์ เทพอสูรบรรพกาลวานรนัยน์ตาเขียวนี้ไม่ต่างอะไรไปจากลิงน้อยที่น่ารักและซุกซน

เทพธิดาแห่งดวงจันทร์รักและหวงแหนมันเป็นพิเศษ จึงเลี้ยงดูและประคบประหงมมันเป็นอย่างดี

ทั้งสองมักอยู่ด้วยกันเสมอและกลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันในไม่ช้า

อันที่จริงแล้ว เทพอสูรวานรนัยน์ตาเขียวเองก็มักลังเลที่จะห่างไปจากกายของเทพธิดาแห่งดวงจันทร์เช่นกัน และไม่ว่านางจะขอให้ทำอะไร เทพอสูรวานรก็จะทำให้เสมอ

เพื่อให้เทพธิดาแห่งดวงจันทร์พอใจ มันยังยอมที่จะโจมตีเทพอสูรบรรพกาลตนอื่น ๆ ด้วยซ้ำ

ในระหว่างนี้เองที่เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ได้ค้นพบพลังประหลาดที่เชื่อมโยงพวกเขาเข้าด้วยกัน

พลังนี้ไม่สามารถใช้คำพูดใด ๆ มาอธิบายได้ มันลึกลับและซับซ้อนเป็นอย่างมาก

ที่สำคัญไปกว่านั้น… มันยังเป็นพลังที่สามารถยืดอายุขัยให้กับเทพเจ้าได้ด้วย

หรือก็คือสามารถให้ชีวิตนิรันดร์กับพวกเขาได้นั่นเอง

*[1] ไร่ในที่นี้คือไร่จีน 30 ไร่มีเนื้อที่ประมาณ 20,000 ตารางเมตร