ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 53 ประวัติศาสตร์โบราณ (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 53 ประวัติศาสตร์โบราณ (2)

แม้แต่เทพเจ้าก็ไม่ได้มีชีวิตนิรันดร์

เพราะก่อนที่จะมีการค้นพบพลังศักดิ์สิทธิ์ เทพเจ้าที่ว่านี้ก็ไม่ได้เป็นเทพเจ้าจริง ๆ แต่อย่างใด

ก่อนที่เทพเจ้าจะค้นพบพลังศักดิ์สิทธิ์ ทั้งเทพเจ้าและเทพอสูรบรรพกาลนั้นถือว่าอยู่ในระดับเดียวกัน ทว่าฝ่ายเทพเจ้าถือกำเนิดขึ้นจากพายุพลังงานต้นกำเนิดและมีความสามารถในการใช้กฎแห่งพลัง

พลังศักดิ์สิทธิ์ก้อนแรกที่เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ได้รับนั้นมาจากเทพอสูรบรรพกาลวานรนัยน์ตาเขียวนั่นเอง

มันกระตุ้นความสนใจของนางได้เป็นอย่างดี จนเทพธิดาแห่งดวงจันทร์อดไม่ได้ที่จะใช้วิธีการมากมายเพื่อทดลองให้รู้ว่าพลังศักดิ์สิทธิ์นี้คืออะไร

ไม่ช้านางก็พบว่าพลังนี้ถูกสร้างขึ้นผ่านความศรัทธา หากปราศจากความศรัทธาแล้วก็จะไม่มีพลังศักดิ์สิทธิ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน

ดังนั้นเทพธิดาแห่งดวงจันทร์จึงเริ่มออกค้นหาและเกลี้ยกล่อมให้เทพอสูรบรรพกาลอื่น ๆ บูชานางให้ได้

เทพธิดาแห่งดวงจันทร์เริ่มสะสมพลังศักดิ์สิทธิ์ได้มากขึ้นอย่างรวดเร็วโดยที่นางเองก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นตามไปด้วย และที่สำคัญก็คือ…อายุของนางไม่ได้เพิ่มขึ้น เทพธิดาแห่งดวงจันทร์จะไม่มีวันตาย

นางพอใจกับมันเหลือเกิน

ในตอนนั้น เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าการมีชีวิตอยู่ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้

ทว่าเมื่อนานเข้า นางกลับเริ่มรู้สึกไม่พอใจกับมันเสียอย่างนั้น

เพราะหญิงสาวตระหนักแล้วว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ที่นางจะสั่งสมไว้ได้จากความศรัทธานั้นมีขีดจำกัด เมื่อเวลาผ่านไป พลังของนางเสื่อมลง ปริมาณของพลังศักดิ์สิทธิ์ที่จำเป็นจะต้องใช้เพื่อคงสภาพก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ หมายความว่ายิ่งนางมีชีวิตต่อไปนานขึ้น พลังศักดิ์สิทธิ์ที่จะต้องใช้ในการมีชีวิตอยู่ต่อไปก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วยนั่นเอง

จำนวนของเทพอสูรบรรพกาลนั้นมีจำกัด ดังนั้นพลังศักดิ์สิทธิ์ที่พวกมันจะให้กับเทพธิดาแห่งดวงจันทร์ได้ก็จำกัดด้วยเช่นกัน

เทพเจ้าคนอื่น ๆ ก็เริ่มล่วงรู้ความลับของนางและพากันรวมกลุ่มเทพอสูรบรรพกาลของตัวเองเพื่อให้พวกมันมอบความศรัทธาให้เช่นกัน

เพราะเหตุนี้เทพธิดาแห่งดวงจันทร์จึงเป็นกังวลยิ่ง

เทพเจ้าทั้งหลายเริ่มต่อสู้กันเองเพื่อแก่งแย่งเทพอสูรบรรพกาล ซึ่งพวกมันจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดีไม่ต่างไปจากสัตว์เลี้ยงที่ภักดีตัวหนึ่ง

ทุกอย่างจบสิ้นลงเมื่อเกิดการค้นพบขึ้นอีกครั้ง

ไม่มีใครรู้ว่าผู้ค้นพบในคราวนี้เป็นใคร แต่ข่าวลือก็แพร่ไปอย่างรวดเร็วเพราะเป็นสิ่งที่ไม่สามารถปกปิดให้พ้นจากสายตาผู้คนได้ และสิ่งนั้นก็คือการที่สังหารเทพอสูรบรรพกาลให้ตายเสีย จะมอบพลังศักดิ์สิทธิ์ให้มากยิ่งกว่า

ความศรัทธายังคงเป็นพื้นฐานของพลังศักดิ์สิทธิ์ แต่การซึมซับมันด้วยการสังเวยเช่นนี้เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพกว่ามาก

ปริมาณของพลังศักดิ์สิทธิ์จากการสังเวยของเทพอสูรบรรพกาลนั้นมหาศาล และทำให้เทพเจ้าองค์หนึ่งมีชีวิตอยู่ได้อีกนานขึ้นมาก คุณสมบัติของอาณาเขตคุนยังหมายความถึงการที่เทพอสูรบรรพกาลจะถือกำเนิดขึ้นได้เรื่อย ๆ อีกด้วย

วัฏจักรนี้ถูกเหล่าเทพเจ้าควบคุมในท้ายที่สุด เพื่อที่พวกเขาจะสามารถควบคุมสิ่งที่ต้องการจากมันได้นั่นเอง

ดังนั้นสถานะของเทพอสูรบรรพกาลจึงเปลี่ยนจากการเป็นสัตว์เลี้ยง ไปเป็นอาหารของเหล่าเทพเจ้าแทน

และเพื่อให้ได้มาซึ่งชีวิตนิรันดร์ เทพเจ้าทั้งหมด ไม่เว้นแม้กระทั่งเทพธิดาแห่งดวงจันทร์ที่ชื่นชอบการใช้เวลากับสัตว์เลี้ยง ก็เริ่มออกล่าเทพอสูรบรรพกาลกัน

การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของทิศทางความสัมพันธ์นี้สร้างบาดแผลให้กับเทพอสูรบรรพกาลอย่างสาหัส พวกมันไม่ยอมถูกล่าอีกต่อไป จึงเริ่มลุกขึ้นต่อต้านฝ่ายเทพเจ้า

แม้ว่าจะไม่มีพลังศักดิ์สิทธิ์หรือกฎแห่งพลัง แต่ทะเลพลังต้นกำเนิดก็มอบร่างกายขนาดใหญ่โตมโหฬารและความสามารถในการควบคุมพลังต้นกำเนิดได้อย่างสมบูรณ์แบบมาให้พวกมันแล้ว

สงครามบังเกิดขึ้นในไม่ช้า

สงครามในครั้งนี้ดุเดือดเหลือเกินจนทำให้ทั่วฟ้าดินต้องสะท้าน สุดท้ายแล้วฝ่ายเทพเจ้าก็เป็นผู้ได้รับชัยชนะไป

เทพอสูรบรรพกาลจำนวนมากถูกจับและกลายไปเป็นปศุสัตว์แสนเชื่องที่จะมอบพลังศักดิ์สิทธิ์ให้กับเทพเจ้าต่อไป มีเทพอสูรบรรพกาลเพียงไม่กี่ตนเท่านั้นที่หนีรอดไปได้และซ่อนตัวกันอยู่ภายในทะเลพลังต้นกำเนิด

ทว่าในไม่ช้าฝ่ายเทพเจ้าก็ค้นพบว่าตลอดการต่อสู้ที่ผ่านมานี้ ดินแดนที่อาศัยอยู่ได้รับความเสียหายอย่างมหาศาล ศูนย์กลางของทะเลพลังต้นกำเนิดได้กลายเป็นดินแดนอื่นไปเสียแล้ว ทำให้ความเข้มข้นของพลังงานต้นกำเนิดในดินแดนต้นกำเนิดลดลงไป

ในตอนแรกนั้นเรื่องนี้ควรเป็นสัญญาณที่ดี

การที่ความเข้มข้นของพลังงานต้นกำเนิดลดลงนั้นทำให้ความแปรปรวนของมันลดลงไปมาก ซึ่งก็ส่งผลให้ดินแดนต้นกำเนิดสงบขึ้นไปด้วย

ความสงบนี้ทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตมากมายขึ้นตามมาด้วย

เทพอสูรบรรพกาลถือกำเนิดในอาณาเขตคุนมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่พลังของพวกมันเสื่อมลงจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดเวลาของดินแดนต้นกำเนิด

แม้ว่าเทพเจ้าจะมีอิทธิพลเหนือเทพอสูรบรรพกาล แต่พวกเขาก็ยังไม่พอใจเพียงเท่านั้น

ความต้องการพลังศักดิ์สิทธิ์นั้นมากมายเหลือเกิน และเทพอสูรบรรพกาลที่มีก็น้อยเกินกว่าที่จะตอบสนองความต้องการเหล่านั้นได้ การขยายพันธุ์ของเทพอสูรบรรพกาลลดลงแล้ว และพวกมันก็ยังอ่อนแอกว่าเดิม จนเทียบได้กับเทพอสูรในปัจจุบันเลยก็ว่าได้

เทพเจ้าต่อสู้กันเพื่อแก่งแย่งการควบคุมเทพอสูรบรรพกาล จนในตอนนี้เทพอสูรบรรพกาลได้กลายเป็นทรัพยากรที่ต้องต่อสู้เพื่อให้ได้มาไปเสียแล้ว

สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นต่อไปจนกระทั่งเทพธิดาแห่งท้องนภาองค์ที่สองปรากฏกายขึ้น

เทพธิดาแห่งท้องนภาองค์นี้ถือกำเนิดขึ้นหนึ่งพันปีหลังจากเทพธิดาแห่งท้องนภาองค์แรกจากโลกใบนี้ไป ในฐานะที่เป็นเทพเจ้าเกิดใหม่ นางจึงอ่อนแอกว่าเทพเจ้าองค์อื่น ๆ อยู่มาก และโอกาสที่จะได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์จากเทพอสูรบรรพกาลก็น้อยนิดเหลือเกิน นางทำได้เพียงแค่รักษาเสือเขี้ยวดาบแสงต้นกำเนิดตัวเดียวที่มีในครอบครองไว้เป็นอย่างดีเท่านั้น

เทพธิดาแห่งท้องนภาองค์ที่สองตกอยู่ในความมืดมัวเช่นนี้อยู่เป็นเวลานานทีเดียว

จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อเทพทรราชผู้แสนป่าเถื่อนพยายามจะข่มขืนเทพธิดาแห่งท้องนภา…

น่าตกใจนักที่เขากลับเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไป

อีกทั้งยังเป็นการพ่ายแพ้จากการโจมตีด้วยนิ้วมือของหญิงสาวเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

ในตอนนั้นเอง เทพเจ้าคนอื่น ๆ ก็ตระหนักแล้วว่าเทพธิดาแห่งท้องนภานางนี้มีพลังศักดิ์สิทธิ์มากมายในครอบครอง พลังที่แท้จริงของนางยิ่งใหญ่จนทำให้นางเป็นหนึ่งในเทพเจ้าที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนแห่งนี้เลยด้วยซ้ำ

แต่นางกลับมีเทพอสูรบรรพกาลอยู่ในครอบครองเพียงตนเดียวเท่านั้น แล้วนางไปเอาพลังมากมายขนาดนั้นมาจากไหนกัน

เทพเจ้าที่สงสัยใคร่รู้พากันสังเกตการกระทำและการเคลื่อนไหวทุกอย่างของนางจนกระทั่งค้นพบความลับในที่สุด

ครั้งหนึ่งเทพธิดาแห่งท้องนภาได้สร้างชีวิตใหม่ขึ้น

สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ทั้งอ่อนแอและมีขนาดเล็กยิ่งนัก แต่พวกมันให้ประโยชน์มหาศาลอยู่ข้อหนึ่ง ซึ่งก็คือการที่มันสามารถขยายพันธุ์ได้ด้วยตัวมันเองโดยไม่ต้องอาศัยสภาพแวดล้อมโดยรอบเลย และเพราะสิ่งมีชีวิตเหล่านี้อ่อนแอเหลือเกิน ทั้งยังมีช่วงชีวิตแสนสั้น อัตราการขยายพันธุ์ของพวกมันจึงสูงเป็นพิเศษ ภายในเวลาเพียงหนึ่งร้อยปีก็มีประชากรของพวกมันเพิ่มขึ้นจนน่าตกใจ

แม้ว่าหนึ่งหน่วยของสิ่งมีชีวิตที่ว่านี้จะให้พลังศักดิ์สิทธิ์น้อยกว่าเทพอสูรบรรพกาล แต่เมื่อจำนวนที่มากมายของมันรวมเข้าด้วยกันแล้วก็สามารถทดแทนกันได้ และนี่เองคือสาเหตุที่พลังศักดิ์สิทธิ์ของเทพธิดาแห่งท้องนภาพุ่งสูงขึ้น

นี่คือความลับที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังของพลังศักดิ์สิทธิ์มหาศาลของนางนั่นเอง

ไม่นานหลังจากนั้น เทพเจ้าทั้งหลายก็ยังค้นพบอีกว่าเทพธิดาแห่งท้องนภาได้ผสานสายเลือดของนางเข้ากับอสูรเสือเขี้ยวดาบและสร้างสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ขึ้นมา

เมื่อรู้ดังนั้นแล้วเหล่าเทพเจ้าก็เริ่มทำการทดลองลับของตัวเองบ้าง เพื่อสร้างเผ่าพันธุ์ที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งกว่าที่จะช่วยเสริมพลังศักดิ์สิทธิ์ให้กับพวกเขาได้

เทพธิดาแห่งท้องนภากลายเป็นที่รู้จักในชื่อ ‘พระแม่’ ในที่สุด

ไม่ช้าอสูรเกราะวิเศษและสายเลือดพระเจ้าแห่งความฝัน ที่รวมเข้าด้วยกันก็สร้างชนเผ่าลึกลับขึ้น ส่วนอสูรวิชชาอำมฤตที่ผสานกับสายเลือดพระเจ้าแห่งธรรมชาติ ก็ได้สร้างชนเผ่าพันธุ์ไม้ วานรนัยน์ตาเขียวกับสายเลือดของพระแม่ก็สร้างเผ่าวิญญาณขึ้น ในขณะที่อสูรทรราชอำมหิตกับสายเลือดเทพเจ้าแห่งสงครามรวมกันเป็นเผ่าคนเถื่อน อสูรแห่งฝันร้ายที่รวมเข้ากับสายเลือดเทพเจ้าแห่งความมืดเกิดเป็นเผ่าวิญญาณทมิฬ อสูรขนนกลวงตากับสายเลือดเทพธิดาแห่งท้องนภารวมกันเป็นเผ่าอาร์คาน่า และมังกรเกล็ดวารีกับสายเลือดเทพเจ้าแห่งท้องทะเลรวมกันเป็นชาวสมุทร

สุดท้ายแล้วเผ่าพันธุ์นับร้อยก็ได้บังเกิดขึ้นในดินแดนต้นกำเนิด เทพเจ้าแต่ละองค์ต่างมีเผ่าพันธุ์ของตัวเอง บางคนมีมากกว่าหนึ่งเผ่าพันธุ์ด้วยซ้ำ

พระแม่เองก็เป็นเทพเจ้าองค์หนึ่งที่ได้รับการนับถือและบูชาจากหลายเผ่าพันธุ์ โดยมีเผ่าอาร์คาน่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดตั้งแต่นางเคยสร้างมา

ความสำเร็จสำหรับเทพเจ้านั้นเป็นตัววัดพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เผ่าพันธุ์ดังกล่าวจะสร้างให้พวกเขา

เหล่าเทพเจ้าต่างพยายามที่จะเพิ่มพลังศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองให้ได้มากที่สุดโดยใช้เผ่าพันธุ์เหล่านี้

ไม่ช้าเทพเจ้าทั้งหลายก็พบว่าปริมาณของพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เผ่าพันธุ์หนึ่งสามารถมอบให้ได้นั้นไม่เพียงสัมพันธ์กับความแข็งแกร่งของสิ่งมีชีวิตนั้น แต่ยังสัมพันธ์กับสติปัญญาของเผ่าพันธุ์นั้น ๆ ด้วย

ยิ่งคุณสมบัติทั้งสองนั้นมีคุณภาพมากขึ้น พลังศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าพันธุ์นั้นก็จะมากขึ้นตามไปด้วย

ด้วยเหตุนี้พระแม่จึงสามารถใช้เผ่าพันธุ์ที่อ่อนแอกว่าเพื่อทดแทนเทพอสูรบรรพกาลได้ เพราะแม้พวกนั้นอ่อนแอกว่า แต่สติปัญญาที่มีก็ถือว่าสูงกว่าเทพอสูรบรรพกาล

การเพาะและขยายเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรมหาศาล ในขณะที่สิ่งมีชีวิตอัจฉริยะนั้นใช้ทรัพยากรจำนวนน้อยกว่ามากเพื่อให้ได้มาซึ่งพลังศักดิ์สิทธิ์แบบเดียวกัน

ดังนั้นเมื่อเทียบอัตราของราคาที่จะต้องจ่ายกับพลังที่จะได้มา สิ่งมีชีวิตอัจฉริยะจึงถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

เมื่อเป็นเช่นนั้นเทพเจ้าทั้งหลายจึงพากันเร่งสร้างเผ่าพันธุ์อัจฉริยะขึ้นมาเรื่อย ๆ

ในระหว่างนี้ ศักยภาพในการมอบพลังศักดิ์สิทธิ์ของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายนั้นเรียกได้ว่าขึ้นอยู่กับระดับสติปัญญา ดังนั้นแล้วเผ่าพันธุ์อัจฉริยะของเหล่าเทพเจ้าจึงกลายเป็นมาตรฐานในการวัดพลังของพวกเทพเจ้าไปด้วยในตัว

พระแม่ พระเจ้าแห่งความฝัน และเทพธิดาแห่งดวงจันทร์ ที่เคยถ่อมตัวเหลือเกินในอดีต กลับพุ่งขึ้นไปอยู่ในจุดสูงสุดเพราะการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นหลังจากได้รับพลังมา

พระแม่นั้นเป็นคนแรกที่สร้างเผ่าพันธุ์ผู้รับใช้ขึ้น พระเจ้าแห่งความฝันพึ่งพาพลังจิตที่มีคุณสมบัติพิเศษเพื่อเพิ่มสติปัญญาให้กับสิ่งมีชีวิตของตน ส่วนเทพธิดาแห่งดวงจันทร์ก็ใช้พลังมนตร์ของนางเพื่อให้สิ่งมีชีวิตทั้งหลายยอมสังเวยให้นางมากขึ้น ซึ่งหลังจากนั้น พระแม่เองก็ได้นำวิธีการนี้มาใช้เพื่อเพิ่มพลังให้กับตัวเองด้วยเช่นกัน

ช่วงนี้เองที่ดินแดนต้นกำเนิดอยู่ในยุคเฟื่องฟู ซึ่งก็เป็นช่วงเวลาที่เหล่าเทพเจ้าทำสิ่งต่าง ๆ ไว้มากที่สุดอีกด้วย

เทพอสูรบรรพกาลเป็นปศุสัตว์ และเผ่าพันธุ์อัจฉริยะถือเป็นอาหาร ทั้งหมดนี้เองที่ช่วยให้อายุขัยของเทพเจ้ายืดยาวมากขึ้น

แม้กระนั้นเมื่อพากันไปถึงยังจุดสูงสุดของชีวิตแล้วก็ไม่มีทิศทางใดที่จะไปได้อีกนอกจากกลับลงมา

ดินแดนต้นกำเนิดออกห่างจากศูนย์กลางของทะเลพลังต้นกำเนิดมากขึ้นเรื่อย ๆ ดินแดนของพลังต้นกำเนิดบางลงทุกทีไม่เพียงเพราะการที่มันเคลื่อนออกห่างมากขึ้น แต่เป็นเพราะมันกำลังสูญเสียการช่วยเหลือจากทะเลพลังต้นกำเนิด

จนกระทั่งวันหนึ่งดินแดนต้นกำเนิดได้ล่มสลายไปในที่สุด

จากนั้นเป็นต้นมา พลังงานต้นกำเนิดก็มีแต่หลั่งไหลออกไปเท่านั้นและไม่หวนคืนสู่ดินแดนแห่งนั้นอีกเลย

การเสื่อมลงอย่างรวดเร็วของพลังต้นกำเนิดยังส่งผลกระทบกับเหล่าเทพเจ้า ทำให้พวกเขาต่างตื่นตระหนกไปตาม ๆ กัน

ทุกองค์อยากกลับไปยังทะเลพลังต้นกำเนิด การมีพลังศักดิ์สิทธิ์โดยไม่มีพลังงานต้นกำเนิดนั้นไม่ต่างไปจากการกินเนื้อโดยไม่กินผัก ซึ่งการกินอาหารในลักษณะนี้ไปนานเข้าก็จะส่งผลต่อสุขภาพ

แต่ก็สายเกินไปแล้วที่จะหาทางแก้ไขในตอนนี้

ทะเลพลังต้นกำเนิดไม่เคยสงบ แม้แต่เทพเจ้าก็ยังถูกฉีกร่างออกเป็นชิ้น ๆ ด้วยพลังที่รุนแรงของลมพายุ และแม้ว่าจะเป็นอมตะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไร้เทียมทาน

เมื่อถึงตอนนั้น ความคิดที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อนก็ถูกนำมาเสนอ

อาณาเขตคุนนั่นเอง!

อาณาเขตคุนเป็นเพียงที่เดียวที่ไม่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงของลมพายุในทะเลพลังต้นกำเนิด

หากสามารถเปลี่ยนอาณาเขตคุนให้เป็นเรือได้และใช้มันเพื่อลากดินแดนต้นกำเนิดกลับไปยังจุดศูนย์กลางของทะเลพลังต้นกำเนิดแล้ว ทุกอย่างก็จะกลับเป็นเหมือนเดิม

โดยหลักการแล้วนี่ถือเป็นความคิดที่ดีทีเดียว แม้ว่าอาณาเขตคุนจะอ่อนแอเกินกว่าจะสามารถลากทั้งดินแดนได้ด้วยตัวมันเอง แต่เทพเจ้าทั้งหลายก็สามารถช่วยกันทำให้มันเกิดขึ้นได้

อาณาเขตคุนจะช่วยป้องกันเหล่าเทพเจ้าจากลมที่รุนแรงและทะเลที่แปรปรวน ในขณะที่ฝ่ายเทพเจ้านั้นก็จะส่งพลังที่จำเป็นต่อการเคลื่อนย้ายไปให้กับอาณาเขตคุน

พลังของเทพเจ้าถูกแสดงให้เห็นแล้วว่าทำเช่นนั้นได้จากการที่พวกเขาสามารถเคลื่อนดินแดนต้นกำเนิดไปได้เล็กน้อย

ดินแดนต้นกำเนิดค่อย ๆ ขยับเข้าใกล้ทะเลพลังต้นกำเนิดทีละน้อยอย่างมั่นคง แม้ว่าจะต้องใช้พลังไปมากพอสมควร แต่แผนการครั้งนี้ก็ถือว่าสำเร็จ

ทว่าไม่มีใครได้คาดการณ์ถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นถัดไป

เทพอสูรบรรพกาลที่เป็นฝ่ายด้อยสติปัญญามาตลอดกลับมีสติปัญญาและสามารถคิดวิเคราะห์ได้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น ซึ่งนั่นทำให้พวกมันเริ่มลุกขึ้นต่อต้านฝ่ายเทพเจ้า

การก่อกบฏของพวกมันเรียบง่ายนัก แต่ก็มีประสิทธิภาพทีเดียว

เหล่าเทพอสูรบรรพกาลสามารถทำลายการเชื่อมต่อระหว่างอาณาเขตคุนกับดินแดนพลังต้นกำเนิดลงได้ในทันที อาณาเขตคุนกลายเป็นพันธนาการขนาดใหญ่ที่จะต้องถูกทิ้งไว้อย่างโดดเดี่ยวในความรุนแรงของทะเลพลังต้นกำเนิดตลอดกาล

แต่เทพเจ้านั้นแข็งแกร่งมาก พวกเขามีปฏิกิริยาโต้ตอบต่อการโจมตีของเทพอสูรบรรพกาลในทันใด

ขณะที่อาณาเขตคุนกำลังจะหายไป เทพเจ้าทุกคนก็ร่วมมือกันรวมอาณาเขตคุนให้ติดเข้ากับดินแดนต้นกำเนิดจากด้านล่าง จึงทำให้แผ่นดินทั้งสองผืนกลับกลายเป็นผืนเดียวกันอีกครั้ง

แต่เพราะตอนนี้พวกเขาจมลึกอยู่ในทะเลพลังต้นกำเนิดแล้ว แม้แต่อาณาเขตคุนเองก็ไม่สามารถป้องกันของเหลวจากทะเลพลังต้นกำเนิดที่เดือดพล่านได้ เทพเจ้าทั้งหลายจำเป็นต้องสร้างเกราะกำบังขึ้นเพื่อแยกตัวเองออกจากสภาพแวดล้อมโดยรอบและความแปรปรวนของพลังงานต้นกำเนิด นี่เป็นวิธีเดียวที่ทำให้พวกเขามีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้

นี่คือที่มาที่ไปของปราการเทพเจ้า

ปราการเทพเจ้าเป็นกรงที่ขังเหล่าเทพเจ้าเอาไว้ก็จริง แต่มันก็เป็นที่ที่จะทำให้พวกเขาได้มีชีวิตอยู่ต่อไป