บทที่ 54 วิธีการรับมือ
“อย่างนี้นี่เอง”
ซูเฉินรู้สึกกระจ่างแจ้งทันทีเมื่อได้ฟังคำอธิบายของบรรพชนโลหิต
แม้ว่าเทพอสูรบรรพกาลจะไม่สามารถกำจัดเหล่าเทพเจ้าออกไปได้สำเร็จ แต่กลับกลายเป็นว่าพวกนั้นถูกบังคับให้ต้องเข้าสู่การจำศีล เพราะแผนการโยกย้ายดินแดนต้นกำเนิดกลับไปสู่ศูนย์กลางของทะเลต้นกำเนิดก็ไม่สำเร็จ
แต่ก่อนหน้านั้นพวกเขาก็อยู่กันมาอย่างสงบสุขทีเดียว
ไม่ต่างไปจากเหล่าเทพเจ้าที่นำเอาอสูรทั้งหลายมาเป็นทาสรับใช้ เทพอสูรบรรพกาลก็ใช้อานุภาพของตัวเองในการกักขังพวกเทพเอาไว้หลายพันปี ส่วนเผ่าพันธุ์อัจฉริยะนั้น… นี่ถือเป็นยุคมืดในประวัติศาสตร์ของพวกเขา
บางครั้งการทรมานก็เป็นสาเหตุของความรุนแรง แทนที่จะเป็นการเห็นใจกันมากขึ้น
“ข้าไม่รู้” บรรพชนโลหิตส่ายหน้า “นั่นน่าจะเกิดขึ้นหลังจากที่พวกเทพเจ้าถูกขังอยู่ในอาณาเขตคุน”
ซูเฉินจึงถามใหม่ “บางทีข้าอาจต้องเรียบเรียงคำใหม่ พวกเทพเจ้าถูกขังไว้ในนั้นอย่างน้อยราวหนึ่งแสนปีที่ผ่านมาสินะ เมื่อไม่มีแหล่งของพลังศักดิ์สิทธิ์ พวกนั้นก็ไม่น่าจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานขนาดนั้น แล้วทำไมถึงยังไม่ตายล่ะ หรือว่ามีเทพเจ้าใหม่ ๆ เกิดขึ้นมาอีก? แล้วเทพเจ้าที่มีอยู่ปัจจุบันนี้เป็นเทพเจ้าที่พวกท่านเคยสู้ด้วยหรือเปล่า”
บรรพชนโลหิตตอบทันควัน “เป็นไปไม่ได้แน่นอน สภาพแวดล้อมของคุกเยือกแข็งน่ะไม่เอื้อต่อการกำเนิดของเทพหรอก พวกนั้นจะต้องเป็นเทพเจ้าคนเดียวกับที่ข้าเคยเห็นแน่ มีสิ่งเดียวเท่านั้นที่จะอธิบายถึงการมีชีวิตอยู่ของพวกนั้นได้… พวกเทพจะต้องมีแหล่งพลังศักดิ์สิทธิ์หลงเหลืออยู่อย่างแน่นอน”
ซูเฉินพลันนึกถึงการสังเวยของราชันจักรพรรดิอสูรดวงจันทร์ รูปปั้นเรืองแสงประหลาดที่ในนิกายแห่งพระแม่ และความงดงามของแดนฝันที่สร้างขึ้นโดยเจ้าแห่งแดนฝัน
ซูเฉินเข้าใจสถานการณ์พอสมควรและกำลังวิเคราะห์มันอย่างหนัก “ดังนั้นปราการเทพเจ้าก็ไม่ได้ตัดพวกเขาออกจากดินแดนต้นกำเนิดอย่างสิ้นเชิง พวกเทพเจ้าจะต้องสามารถหาช่องโหว่ได้จนเจอไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ระหว่างแดนฝันของเจ้าแห่งความฝัน มนตร์สะกดของเทพธิดาแห่งดวงจันทร์ และลัทธิของพระแม่… พวกนั้นล้วนมีวิธีการมากมายที่จะได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะไม่ได้มากมายนัก แต่ก็มากพอที่จะทำให้มีชีวิตต่อไปได้”
“อาณาเขตคุนจะต้องให้กำเนิดสิ่งอื่นนอกจากเทพอสูรบรรพกาลแน่… ถึงแม้จะไม่ได้มีเทพเจ้าใหม่ ๆ กำเนิดขึ้น แต่อสูรมากมายก็ยังปรากฏให้เห็นมากขึ้นเรื่อย ๆ ตราบใดที่พวกเขาใช้ทรัพยากรที่มีอย่างประหยัด ก็น่าจะรอดชีวิตกันได้”
“แต่หากนั่นยังไม่มากพอ พวกเทพเจ้าก็ยังสามารถควบคุมการใช้ทรัพยากรของพวกเขาได้อยู่ดี” บรรพชนโลหิตกล่าว
“พวกนั้นทำแบบนั้นได้อย่างไรกัน” ซูเฉินถามด้วยความใคร่รู้
บรรพชนโลหิตหัวเราะชั่วร้าย “อาณาเขตคุนที่เล็กกระจ้อยร่อยไม่สามารถค้ำจุนเทพเจ้าหลายร้อยชีวิตได้หรอก แต่หากน้อยกว่านั้นก็ไม่แน่”
ซูเฉินนึกขึ้นได้ถึงสถานะปัจจุบันของเจียหลัวขึ้นมาในทันที
ใครกันที่ทำให้ยมทูตนั่นกลายเป็นรูปปั้น
ในตอนแรกนั้นชายหนุ่มคิดว่าจะต้องเป็นฝีมือของเทพอสูรบรรพกาลแน่
แต่ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่าไม่ใช่
เป็นฝีมือของเทพเจ้าด้วยกันเองต่างหาก
ขณะที่เหล่าเทพพยายามจะเพิ่มอิทธิพลของดินแดนต้นกำเนิด พวกเขาก็ต่อสู้กันเองเพื่อแย่งชิงทรัพยากรและเทพอสูรบรรพกาลที่มีอยู่อย่างจำกัดในอาณาเขตคุน พวกนั้นลดการใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ด้วยการลดจำนวนของเทพเจ้าในอาณาเขตนั่นเอง!
สายตาของซูเฉินดูเยือกเย็นขึ้น “ข้าคิดว่าข้าเริ่มจะเข้าใจแล้วล่ะว่าสนธิสัญญานิรันดร์กาลมีขึ้นเพื่ออะไร”
“อา…” ดูเหมือนว่าบรรพชนโลหิตก็จะเข้าใจเช่นกัน “มันจะต้องมีขึ้นเพื่อปกป้องพวกเขาเองเหมือนกับปราการเทพเจ้าแน่”
“เป็นไปได้สูงที่เดียวที่จะเป็นเช่นนั้น” ซูเฉินยิ้มและเห็นด้วย “แต่ข้าก็ไม่แปลกใจเลยที่พวกเทพเจ้าจะไม่ยินดีลงมือทำอะไรเลยเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอด”
“จริงของเจ้า” บรรพชนโลหิตพยักหน้า “ตอนนี้เวลาผ่านมาร่วมแสนปีแล้ว อาณาเขตคุนก็เริ่มจะผสานเข้ากับดินแดนต้นกำเนิดอีกครั้ง และไม่จำเป็นที่จะต้องมีปราการเทพเจ้าอยู่อีกต่อไป เมื่อมันถูกทำลายลงแล้วอย่างสมบูรณ์ พวกเทพเจ้าก็จะกลับมา”
“พวกนั้นสามารถทำลายมันได้ด้วยตัวเองหรือ”
“ปราการนั่นถูกสร้างขึ้นโดยเทพเจ้าหลายร้อยชีวิต ด้วยพลังระดับสูงสุดของพวกเขา ข้าไม่รู้ว่ามีเทพเจ้าเหลืออยู่เท่าไรในตอนนี้ แต่คิดว่าคงไม่มีพลังมากพอที่จะทำลายมันได้ ด้วยเหตุนี้พวกเทพก็เลยไม่มีทางเลือกนอกจากรอให้เวลากัดเซาะมันไปเรื่อย ๆ”
ความพยายามทั้งหมดที่ได้ลงแรงไปเพื่อป้องกันตัวเองได้พาพวกเขาไปพบกับจุดจบที่ต้องถูกกักขังเอาไว้ ปราการกำลังจะถูกทำลายลงจากความรุนแรงของพลังงานต้นกำเนิดก็จริง แต่นั่นก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้เหล่าเทพเจ้าได้กลับมา
เมื่อเวลาผ่านไป ผู้ครอบครองดินแดนต้นกำเนิดคนใหม่ก็ไม่ได้ต้องการให้ผู้ที่เคยเป็นอาจารย์กลับมาอีกแล้ว
ซูเฉินกล่าวขึ้น “ถ้าเป็นเช่นนั้น ทำไมเราไม่มาร่วมมือกันล่ะ ท่านยังอยากคัดค้านอยู่อีกหรือ”
บรรพชนโลหิตหัวเราะและตอบกลับอย่างเยือกเย็น “ร่วมมือกันอย่างนั้นหรือ ที่ข้าบอกเจ้าทั้งหมดนี่ยังไม่เข้าใจอีกหรือไรกัน พวกเราทั้งสองฝ่ายไม่มีคุณสมบัติที่จะไปเป็นคู่ต่อสู้ของพวกนั้นหรอก ต่อให้เป็นเมื่อก่อน พวกเทพก็ยังคงทำแบบนั้นเพราะพวกเขาสามารถควบคุมพลังศักดิ์สิทธิ์และกฎแห่งพลังได้ อย่าหลอกตัวเองและคิดว่าเจ้าจะสามารถเอาชนะพวกนั้นได้เพียงเพราะเจ้ามีพัฒนาการในการฝึก ต่อให้เป็นเมืองล่องนภา ข้าก็คงประทับใจไม่น้อยเลยถ้าพวกนั้นจะเอาชนะหนึ่งในบรรพชนอย่างพวกข้าได้ ส่วนพวกเทพเจ้าน่ะหรือ…อย่าไปพูดถึงเลย”
ซูเฉินตอบกลับอย่างเคร่งขรึม “พวกเทพไม่อ่อนแอลงหรอกหรือ หลังจากที่ถูกขังไว้ในคุกเยือกแข็งมานานนับแสนปี”
บรรพชนโลหิตตอบ “ข้าเข้าใจเจ้า ถูกแล้ว พลังของพวกนั้นจะต้องเสื่อมลงจริง อาจถึงจุดที่พวกเขาอ่อนแอพอกับเทพอสูรเลยก็ได้ แต่เชื่อข้าเถอะ ที่ข้าบอกว่าความแข็งแกร่งของเทพเจ้าน่ะไม่ได้ขึ้นอยู่กับพลังของพวกเขาเองเท่านั้น สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือศักยภาพที่ไร้ขีดจำกัดของพวกเทพต่างหาก หากพวกเขากลับมาก็จะได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์มากมายในทันที พวกนั้นจะได้มันจากการต่อสู้และการสังหาร แล้วก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ จนไม่มีใครสามารถหยุดได้ เว้นแต่ว่าเจ้าจะรู้วิธีการสังหารพวกนั้นทั้งหมดในคราวเดียว ก็ไม่มีสิ่งอื่นใดแล้วล่ะที่จะทำได้นอกจากคอยดูพวกเขาแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ จนเหนือกว่าที่เจ้าจะจินตนาการได้ ถึงตอนนั้นแล้วเจ้าจะรู้จักว่าความสิ้นหวังที่แท้จริงมันเป็นอย่างไร!”
ซูเฉินเงียบ
บรรพชนโลหิตพูดถูก
เทพเจ้าอาจอ่อนแอลงก็จริง แต่เมื่อกลับมา พลังของพวกเขาก็จะถูกฟื้นฟูอย่างแน่นอน
สังหารให้หมดในคราวเดียวหรือ?
ไม่มีทางเป็นไปได้แน่ ต่อให้เทพเจ้าอ่อนแอพอกับเทพอสูร แล้วซูเฉินสังหารเทพอสูรด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวได้หรือ
แน่นอนว่าไม่
แม้แต่บรรพชนโลหิตเองก็ยังทำไม่ได้
ดังนั้นเมื่อทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่สามารถทำอะไรได้ทั้งนั้น แปลว่าเทพเจ้าก็จะได้แสดงให้ซูเฉินเห็นในไม่ช้าว่าพลังสูงสุดของพวกเขามีอานุภาพเพียงไร
อัตราการพัฒนาของพวกเขาเพียงอย่างเดียวก็มาพอแล้วที่จะทำให้สิ้นหวังได้
ไม่มีอะไรน่าแปลกใจสักนิด
การเผชิญหน้ากับเทพอสูรบรรพกาลนั้นมากพอที่จะทำให้ทัพชาวมนุษย์ตกอยู่ในความสิ้นหวังได้แล้ว หากเป็นการเผชิญหน้ากับเทพเจ้าที่แข็งแกร่งยิ่งกว่านั้นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ซูเฉินยังคงเงียบ
แม้ว่าจะรู้อยู่แล้วว่าเทพเจ้าแข็งแกร่งเพียงไร ข้อมูลมากมายที่เพิ่งได้รับมาก็ทำให้ซูเฉินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหมือนถูกกดทับโดยแรงกดดันมหาศาล
มันหมายความว่าเขาจะต้องยอมแพ้อย่างนั้นหรือ
ซูเฉินไม่ยินดีที่จะยอมรับข้อนี้
เขาต่อสู้เพื่อมวลมนุษยชาติอย่างกล้าหาญมาโดยตลอด
เขาสร้างวิชาการฝึกไร้สายเลือดทั้งหมดขึ้นมา ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีใครเคยคิดว่าจะเกิดขึ้นได้มาก่อน และตอนนี้เส้นทางของการฝึกก็เปิดรับทุกคนแล้ว
เผ่าพันธุ์มนุษย์กำลังจะเข้าสู่การพัฒนาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
และตอนนี้กลับมีคนมาบอกให้ยอมแพ้อย่างนั้นหรือ
ซูเฉินไม่ต้องการอย่างนั้นเลยแม้แต่น้อย
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะไม่ยอมรับเรื่องนี้
ขณะที่เขากำลังครุ่นคิด ฝ่ายบรรพชนโลหิตก็เงียบและกำลังครุ่นคิดอยู่เช่นกัน
บรรพชนโลหิตจะยอมรับมันง่าย ๆ เช่นนี้ได้อย่างไรกัน
เทพอสูรบรรพกาลมีอิทธิพลมานานนับแสนปีก็เพื่อหยุดการกลับมาของเทพเจ้าไม่ใช่หรอกหรือ
แต่ในตอนนี้เมื่อการกลับมาของเทพเจ้าได้ใกล้เข้ามา เจตจำนงของบรรพชนโลหิตกลับถูกทำลายลงเพราะขาดความมั่นใจและสงสัยในตัวเองเสียอย่างนั้น
ต่อสู้กับเทพเจ้าหรือ?
นั่นมันยากเกินกว่าที่จะทำได้!
พลังของเทพพวกนี้ฝังใจเขาตลอดมา แม้เวลาจะผ่านไปนับแสนปีก็ไม่สามารถลบมันออกไปได้เลย
สิ่งที่บรรพชนโลหิตต้องการนั้นก็เพียงแต่การต่อต้าน ไม่ได้คิดจะเอาชนะแต่อย่างใด
ความหวาดกลัวได้ทำลายความหวังในการได้รับชัยชนะไปหมดแล้ว
นี่ยังอาจเป็นสาเหตุที่เขายินดีจะอธิบายเรื่องเหล่านี้ให้กับซูเฉินอย่างละเอียดด้วยก็เป็นได้
เมื่อการล่มสลายของปราการเทพเจ้าใกล้เข้ามา สงครามระหว่างอสูรกายกับเผ่าพันธุ์อัจฉริยะก็ไม่สำคัญอีกต่อไป
แต่การที่บรรพชนโลหิตยอมแพ้ ก็ไม่ได้แปลว่าซูเฉินจะต้องยอมแพ้ตามไปด้วย
หลังจากคิดคำนวณดูแล้ว ชายหนุ่มก็กล่าวขึ้นในที่สุด “มีอย่างหนึ่งที่ข้าไม่เข้าใจนัก”
“ว่ามาสิ”
“สติปัญญาของท่านมาจากไหนกันหรือ”
เทพอสูรบรรพกาลเคยขาดสติปัญญามาก่อน เช่นเดียวกับเทพอสูร ที่มีเพียงสัญชาตญาณและความสามารถทางด้านจิตใจในระดับต่ำ
การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วฉับไวของระดับสติปัญญาและสาเหตุที่เหล่าอสูรได้มันมานั้นน่าตกใจทีเดียว
คำถามของซูเฉินทำให้บรรพชนโลหิตถึงกับเสียหลัก เขาเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนจะตอบคำถามของชายหนุ่มในท้ายที่สุด “ว่ากันตามตรงเลยนะ ข้าเองก็ไม่มั่นใจนักหรอก ข้าจำได้เพียงว่า จู่ ๆ ข้าก็มีมันขึ้นมา ราวกับว่าได้ตรัสรู้อะไรบางอย่างในชั่วข้ามคืน”
“แต่ขนาดท่านเพิ่งจะมีสติปัญญาขึ้นมาเพียงชั่วข้ามคืน ยังสามารถคิดแผนการได้เร็วถึงเพียงนั้นได้อย่างไรกัน” ซูเฉินยังถามต่อไป
สติปัญญานั้นเทียบไม่ได้เลยกับการมีพื้นฐานประสบการณ์และความรู้ แม้แต่คนที่มีสติปัญญาดีที่สุดในโลกนี้ก็คงไม่ต่างจากคนเถื่อนหากขาดทั้งสองสิ่งนี้
การทำลายการเชื่อมต่อระหว่างดินแดนต้นกำเนิดกับอาณาเขตคุนนั้นไม่ใช่ความคิดที่จะเกิดขึ้นได้จากการมีสติปัญญาเพียงอย่างเดียว
บรรพชนโลหิตไม่มีคำตอบให้กับคำถามนี้ของซูเฉิน
แม้แต่เทพอสูรบรรพกาลโบราณก็ยังไม่รู้ความลับทั้งหมดของจักรวาลนี้
แต่ดูเหมือนว่าซูเฉินจะตระหนักบางอย่างขึ้นได้จากคำตอบของอีกฝ่ายแล้ว
ชายหนุ่มถามขึ้นอีกครั้ง “ถ้าเช่นนั้นแล้วเทพอสูรบรรพกาลกับเทพเจ้าองค์ใดกันหรือที่สร้างมนุษย์ขึ้น”
สีหน้าของบรรพชนโลหิตดูครุ่นคิด
เขาค่อย ๆ ตอบหลังจากที่เว้นช่วงไปอีกครั้ง “ประหลาดแท้ ทำไมข้าถึงจำไม่ได้เลยนะ เหมือนว่า…”
“เหมือนว่ามีใครบางคนลบความทรงจำบางส่วนของท่านไปหรือ” ซูเฉินแทรกขึ้น
บรรพชนโลหิตอ้าปากและหุบปากสลับไปมาอยู่หลายหนราวกับพูดอะไรไม่ออก แต่เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธสิ่งที่ซูเฉินกล่าวแต่อย่างใด
ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็เผยยิ้มบางเบา
ยิ้มนั้นแสดงให้เห็นถึงความยินดีและความมั่นใจของตัวเอง…
ราวกับว่าฤดูใบไม้ผลิได้มาถึงหลังจากฤดูหนาวอันเนิ่นนาน เหมือนแอ่งน้ำที่อยู่กลางทะเลทราย หรือหัวใจที่ป่วยหนักกลับมาเต้นได้อีกครั้ง…
ความปรีดาในคราวนี้มาจากการที่ซูเฉินมองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์แล้วนั่นเอง!
บรรพชนโลหิตสับสนกับท่าทางของซูเฉินเหลือเกิน “เจ้ายิ้มอะไรกัน ข้าพูดอะไรที่ทำให้เจ้าต้องยินดีหรือไร”
ซูเฉินตอบกลับไปอย่างไม่ลงรายละเอียด “มีบางคำถามที่ข้าไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลย แต่ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าคำตอบมันอยู่ตรงหน้าข้านี่เอง ข้าถึงได้ยินดีอย่างไรล่ะ”
“คำตอบอะไรกัน”
“คำตอบของคำถามแสนยากที่ข้าค้นหามาตลอดชีวิต และคำตอบสำหรับการเอาชนะศัตรูของเรา”
บรรพชนโลหิตไม่เข้าใจคำตอบส่วนแรกที่คลุมเครือของซูเฉิน แต่ส่วนหลังนั้นเขาเข้าใจแจ่มแจ้ง
“อะไรนะ วิธีการเอาชนะศัตรูของเราอย่างนั้นหรือ” บรรพชนโลหิตรีบถามอย่างคาดหวัง
“ใช่แล้ว วิธีการเอาชนะศัตรูของเรา อาจมีวิธีที่เราจะเอาชนะพวกเทพเจ้าอยู่ก็ได้” ซูเฉินตอบอย่างมั่นใจ
“ฮ่า ๆๆๆ!” บรรพชนโลหิตหัวเราะร่วน ซึ่งนั่นไม่ใช่เพราะความยินดี หากแต่กำลังดูแคลนซูเฉิน “โอหังนัก เจ้าจะใช้วิธีการแบบไหนกันที่จะเอาชนะเทพเจ้าได้ ไหนบอกข้ามาหน่อยซิ หยุดพล่ามไร้สาระได้แล้ว เจ้าไม่มีทางรับมือกับพวกนั้นได้หรอก”
“อ้อ อย่างนั้นหรือ” ซูเฉินสวนกลับ “แล้วถ้าข้าทำสำเร็จล่ะ”
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะยินดีเชื่อฟังเจ้าอย่างไม่มีข้อกังขา และจะให้เจ้าออกคำสั่งกับเทพอสูรบรรพกาลทั้งหมดเองผ่านทางข้า! การจะเอาชนะเทพเจ้าได้น่ะ ข้ายินดีที่จะพลีชีพเลยด้วยซ้ำ” บรรพชนโลหิตตอบอย่างหนักแน่น
นี่ไม่ใช่การพูดพล่อย ๆ อย่างแน่นอน อย่างไรแล้วในสถานการณ์ใด ๆ ก็ตาม เทพอสูรบรรพกาลก็จะต้องตายอยู่ดีหากอยู่ในภาวะจำศีลนานเกินไป
หากพวกเขาจะทำบางอย่างได้สำเร็จก็คงลงมือทำไปแล้วก่อนที่ความตายจะมาเยือน ดังนั้นความตายจึงถือว่าเป็นราคาที่คุ้มค่าสำหรับบรรพชนโลหิต
ซูเฉินกล่าวต่อไป “วิธีของข้าเรียบง่ายมาก ในเมื่อเทพเจ้าจะได้ฟื้นฟูพลังศักดิ์สิทธิ์อีกครั้งก่อนที่จะกลับมา ทำไมเราไม่บุกสังหารพวกนั้นตั้งแต่ที่ยังไม่มีโอกาสได้ฟื้นฟูพลังล่ะ”
บุกสังหาร!
นี่เองคือวิธีการของซูเฉิน
แทนที่จะรอให้เทพเจ้ากลับมา ทำไมไม่คว้าโอกาสนี้ไว้และเป็นฝ่ายโจมตีก่อนล่ะ
บรรพชนโลหิตดูประหลาดใจกับคำตอบของซูเฉินอย่างเห็นได้ชัด “แต่ปราการเทพเจ้ายังทำงานอยู่ เราจะข้ามไปที่ฝั่งนั้นได้อย่างไรกัน เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าปราการนั่นตั้งอยู่ที่ไหน”
“ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องขอความช่วยเหลือจากเพื่อนข้าสักหน่อย”
“เพื่อนที่ไหนกัน”
“ก็เพื่อนที่เคยข้ามผ่านปราการเทพเจ้ามาก่อนอย่างไรล่ะ!”