ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 55 มั่นคง

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 55 มั่นคง

ฤดูใบไม้ผลิมาเยือนในที่สุด เมื่อผืนดินเริ่มอบอุ่นขึ้น สิ่งมีชีวิตมากมายที่จำศีลในช่วงฤดูหนาวก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

เมืองหลินเป่ยก็คึกคักไปด้วยกิจกรรมต่าง ๆ นานาของผู้คน เทศกาลดาบวสันต์ประจำปีกำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า บ้านเรือนทุกหลังก็ตกแต่งด้วยโคมสีสันสดใสดูงดงามนัก เสียงหัวเราะและการเฉลิมฉลองดังก้องไปทั่ว

แต่ในปีนี้บรรยากาศดูจะแตกต่างออกไปสักหน่อย

ข่าวที่น่ายินดีเรื่องชัยชนะของเผ่าพันธุ์มนุษย์แพร่ออกไปไกลแสนไกลแล้ว ณ ตอนนี้

กองทัพของนิกายไร้ขอบเขตไม่เพียงบุกฝ่าที่อยู่อาศัยของอสูรกาย แต่ยังกำราบเผ่าปักษาและกำจัดเทพอสูรไปอีกจำนวนมาก

นอกจากนั้นประกาศสุดท้ายในวันนี้ก็สำคัญไม่แพ้กัน นั่นคือการจัดเก็บภาษีและการรับราชการทหารจะถูกงดเว้นเป็นเวลาสามปี เพื่อให้ผู้คนได้พักผ่อน

สำหรับใครหลายคน การประกาศนี้สำคัญยิ่งกว่าชัยชนะของเผ่าพันธุ์มนุษย์เสียด้วยซ้ำ ไม่แปลกเลยที่การเฉลิมฉลองในปีนี้จะดูครึกครื้นกว่าปกติ

การตัดสินใจในคราวนี้เกิดขึ้นเพราะการได้รับทรัพยากรล้ำค่าจากพื้นที่ที่เหล่าอสูรกายเป็นผู้ควบคุมมาเป็นจำนวนมากอย่างแทบไม่ทันตั้งตัว

นิกายไร้ขอบเขตปล่อยวิชาการฝึกไร้ซึ่งสายเลือดออกไปอย่างสมบูรณ์แล้ว ตอนนี้ไม่ว่าใครในอาณาจักรทั้งเจ็ดก็สามารถฝึกวิชานี้ของซูเฉินได้

ในอดีตนั้น การจัดหาทรัพยากรในการฝึกถือเป็นสิ่งที่ยากยิ่ง แต่ตอนนี้เมื่อเรื่องงดเว้นภาษี และพรมแดนป่าของอสูรกายอยู่ในความควบคุมแล้ว ทรัพยากรก็เพิ่มปริมาณขึ้น ทำให้ผู้ฝึกตนพัฒนาง่ายขึ้นตามไปด้วย

กระนั้นเจ้านิกายก็ยังไม่พอใจ เขาเดินทางไปพบกับชาวสมุทรด้วยตัวเองและยังพยายามจะเปิดเส้นทางการค้าเพิ่มอีกหนึ่งเส้นทาง

ตอนนี้ทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่ภายใต้กฎของเจ้านิกายแล้ว

แม้ว่าอาณาจักรทั้งเจ็ดจะยังคงอยู่ และทุกอาณาจักรก็มีผู้ปกครองของตัวเอง แต่ทุกคนก็รู้ว่าเจ้านิกายคือผู้ที่อยู่ ณ จุดสูงสุด

โรงน้ำชา โรงเหล้า และที่พบปะทั้งหลายเต็มไปด้วยบรรยากาศที่คึกคัก แม้แต่ขอทานตามถนนและโสเภณีในหอนางโลมก็ยังรู้สึกยินดีไปด้วย เพราะการยกเว้นการรับราชการทหารทำให้ชีวิตของพวกเขาง่ายขึ้น และจะทำให้ทุกคนเก็บเงินได้มากกว่าเดิม

อาจมีเพียงคนกลุ่มเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้มีส่วนในการเฉลิมฉลองในครั้งนี้

ตระกูลซูนั่นเอง

ในทางทฤษฎีแล้ว สถานะของตระกูลซูพุ่งทะยานขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะสถานะในปัจจุบันของซูเฉิน

แต่ในความเป็นจริงแล้ว ซูเฉินเองนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย

ไม่มีสมาชิกคนใดของตระกูลเลยที่ได้ยกระดับสถานะจนสูงลิ่ว หรือมีสถานะดิ่งลงเหว

ตระกูลซูก็ยังคงเป็นตระกูลซูที่มั่นคงและเฉื่อยชาอย่างเดิมจนแทบจะเรียกได้ว่าละทิ้งสถานะตระกูลใหญ่ของเมืองหลินเป่ยไปแล้ว อันที่จริงในตอนนี้ความมั่งคั่งและสถานะของพวกเขาก็ยังเหมือนเดิมทุกประการด้วยซ้ำ

แน่นอนว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะซูเฉิน

มีบางคนถามว่าซูเฉินจะจัดการกับตระกูลซูอย่างไร

คำตอบของซูเฉินก็คือจะไม่ได้มีการสนับสนุนหรือกดดันใด ๆ พวกเขา ตระกูลซูจะได้รับการปฏิบัติเหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็น

ดังนั้นแล้วตระกูลซูจึงได้รับการปฏิบัติอย่างยุติธรรมที่สุดอย่างที่เห็นในปัจจุบัน

ไม่มีใครที่จะไปรังแกพวกเขาก็จริง แต่ก็ไม่มีใครจะให้สิทธิพิเศษใด ๆ แก่ตระกูลซูเช่นกัน

อันที่จริงแล้วการปฏิบัติอย่างยุติธรรมนี้ติดจะสุดโต่งไปเสียจนน่าขนลุก

ทาสรับใช้ของตระกูลซูสามารถซื้อผักในราคาตลาดเท่านั้น…ไม่มีราคาที่สูงกว่าหรือต่ำกว่า

พวกเขาจะได้รับการปฏิบัติอย่างสุภาพและเป็นทางการเมื่อมีการติดต่อธุรกิจ

ตระกูลซูจะได้รับเชิญไปยังงานสำคัญของเมืองเสมอ และสถานะของพวกเขาก็จะได้รับเกียรติ แต่กระนั้นก็ไม่มีใครเลยที่จะเชิญคนตระกูลซูไปในการพบปะส่วนตัว

ราวกับว่าพวกเขาไม่ได้มีตัวตนอยู่อย่างไรอย่างนั้น!

สถานการณ์เช่นนี้ทำให้สมาชิกตระกูลซูลำบากใจเหลือเกิน

แต่มันก็ไม่ใช่ปัจจัยที่สำคัญที่สุด

สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ความดูแคลน การเยาะเย้ย และเหยียดหยามที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากแห่งความสงบนี้ต่างหาก

ความสัมพันธ์ระหว่างซูเฉินกับตระกูลซูไม่ได้ถูกปกปิดเป็นความลับในเมืองหลินเป่ย ทุกคนในเมืองต่างรู้เรื่องราวดี

ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงพากันรังเกียจตระกูลซูที่บีบเสาหลักของเมืองออกไป หลายคนรู้ความจริงข้อนี้ดี แม้จะไม่มีใครพูดมันออกมาอย่างเปิดเผยก็ตาม

หากสามารถได้ยินความคิดของผู้คนได้ ทั้งเมืองหลินเป่ยคงเต็มไปด้วยเสียงเยาะเย้ยและถากถาง

แล้วสมาชิกตระกูลซูจะมีใจยินดีได้อย่างไรกัน

“ถุย!”

ซูฮ่าวถ่มน้ำลายลงบนพื้นและมองไปยังเมืองที่วุ่นวาย เขาสะบัดแขนเสื้อและหันหลังเดินกลับเข้าไปในโถง

โถงของตระกูลซู่ก็วุ่นวายไม่แพ้กัน

คนตระกูลซูมารวมตัวกันที่โถงเพื่อฉลองปีใหม่

ซูเฟยหูนั่งอยู่บนที่นั่งสูงสุดและทักทายแขกเหรื่อทุกคน ร่างหนุ่มแน่นที่เขาเคยมีเสื่อมสภาพลงเพราะอายุที่เพิ่มขึ้น เขายังฉลาดปราดเปรื่องเหมือนเคยและวันนี้ก็เป็นวันที่อารมณ์ดีเสียด้วย เมื่อสมาชิกรุ่นเยาว์พากันโค้งคำนับเพื่อแสดงความเคารพ ซูเฟยหูก็ยิ้มพลางกล่าวขึ้น “ดีมาก เยี่ยมมาก”

เมื่อได้รับการทักทายแล้ว ทุกคนก็นั่งลงตามลำดับที่นั่งของตัวเอง

ซูเฟยหูมองไปรอบ ๆ แล้วจึงถามขึ้น “ทำไมพี่ใหญ่ไม่อยู่ที่นี่ล่ะ”

เขากำลังถามหาซูเฉิงอัน

หนึ่งในผู้รับใช้ลุกขึ้นตอบ “นายท่านรู้สึกไม่ค่อยดีนักขอรับ ตอนนี้ท่านกำลังพักผ่อนอยู่ในห้อง”

ซูเฟยหูส่ายหน้า “รู้สึกไม่ค่อยดีหรือ ข้าว่าความรู้สึกนั่นคงเกิดเพราะความไม่สบายใจเสียมากกว่า นี่ก็หลายปีแล้วนะ แต่เขายังไม่สามารถลืมมันได้อีกหรือ เอาเถอะ ปล่อยให้ทำตามที่เขาต้องการก็แล้วกัน”

“รับทราบขอรับ”

สายตาของซูเฟยหูกวาดไปมองทุกคน “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าทุกคนเกลียดผลของเหตุการณ์นี้ ยิ่งสถานะเขาสูงขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งยากต่อเจ้าที่จะต้องรับมันให้ได้ แต่เชื่อข้าเถอะ แบบนี้ดีที่สุดแล้ว”

ทั้งหมดได้แต่ก้มหน้าเงียบ ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครอยากรับฟังคำพูดนั้นของซูเฟยหู

ภรรยาของซูเฟยหูจึงกล่าวต่อไป “เอาล่ะ ๆ วันนี้ควรเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลอง ลืมเรื่องหนักใจพวกนี้เสียเถอะ เร็วเข้า ทานอาหารกัน”

ทุกคนยังคงก้มหน้า แต่ก็เริ่มรับประทานอาหารของตัวเอง

แม้กระทั่งบรรยากาศมื้ออาหารก็ยังดูเฉื่อยชานัก

ซูเฟยหูเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่ได้ใส่ใจ

หลังจากกินเสร็จเขาก็ตรงออกไปยังลานกว้างเพื่อจิบชาและสูดกลิ่นหอมของกุหลาบที่ปลูกไว้

ขณะที่กำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศอยู่นั่นเอง สายลมก็พัดผ่านเขาไป

ซูเฟยหูพบว่ารอบตัวเขามีแต่ความเงียบ… ราวกับว่าเวลาได้หยุดเดินลง

ดอกไม้ทุกดอกนิ่งสนิท สายน้ำก็หยุดไหล และแม้แต่ลมเอื่อย ๆ ก็ยังหดหาย

ซูเฟยหูไม่ได้แปลกใจแต่อย่างใด เขายิ้มและกล่าวขึ้น “เฉินเอ้อร์ เจ้ากลับมาแล้วหรือ”

ไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ

ซูเฟยหูหัวเราะ “ออกมาเถอะน่า ข้ารู้ว่าเป็นเจ้า”

ยังคงไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ ทว่าไม่ช้าร่างของซูเฉินค่อย ๆ ปรากฏขึ้น

เขายืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่ปริปาก… ราวกับว่าได้ยืนอยู่ตรงนั้นมานานแล้ว

เมื่อเห็นชายหนุ่ม ซูเฟยหูก็หัวเราะ “ในที่สุดเจ้าก็รู้จักกลับมาเยี่ยมบ้าง นี่ก็ผ่านไปสามปีแล้วใช่ไหมตั้งแต่ที่เจ้ามาที่นี่ครั้งสุดท้าย”

ในหลายปีที่ผ่านมานี้ ซูเฉินแอบกลับมายังเมืองหลินเป่ยอยู่หลายครั้งเพื่อมาดูซูเฟยหู ทว่าในแต่ละครั้งนั้นทั้งสองจะคุยกับเพียงสั้น ๆ เท่านั้น แล้วซูเฉินก็จะจากไป

เพราะชายหนุ่มจะมาที่นี่ทุกวันปีใหม่ ซูเฟยหูจึงคุ้นเคยกับการปรากฏตัวของซูเฉินเแล้ว ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่รู้ได้ง่ายเพียงนี้อย่างแน่นอนว่าผู้มาเยือนเป็นใคร

“ช่วงนี้ข้ายุ่ง ๆ ก็เลยไม่มีเวลามาพบท่านลุง” ซูเฉินเดินเข้ามาและนั่งลงข้างซูเฟยหู

สายลมเอื่อยกลับมา ดอกไม้เริ่มขยับและสายน้ำก็ไหลรินอย่างที่มันควรจะเป็น ทว่าคนที่ผ่านไปมาไม่สามารถมองเห็นซูเฉินที่นั่งอยู่ตรงนั้นได้

ซูเฟยหูหัวเราะอีกครั้ง “ความสามารถในการซ่อนตัวของเจ้าดูเหมือนจะพัฒนาไปอีกแล้วสินะ”

ซูเฟยหูพูดเช่นนั้นก็เพราะว่าแม้คนอื่นจะมองเห็นตัวเขา แต่ก็ไม่สามารถมองเห็นว่าเขากำลังพูดคุยกับซูเฉินอยู่ ถือว่าเป็นความสำเร็จที่ไม่ธรรมดาเลย

ซูเฉินตอบ “ถ้าท่านลุงอยากเรียนรู้บ้าง ข้าก็จะสอนให้”

ซูเฟยหูโบกมือพร้อมกับหัวเราะร่วน “ไม่จำเป็นหรอก ข้าแก่หง่อมแล้ว ไม่มีแก่ใจจะมาพัฒนาอะไรอีกแล้วล่ะ ข้าแค่อยากมีชีวิตที่สงบจนวันสุดท้ายก็เท่านั้น แค่นี้ก็ดีพอแล้ว”

“แค่เพราะท่านชอบแบบนี้ ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะชอบเหมือนท่านเสียหน่อย” ซูเฉินกล่าวตอบ

อันที่จริงแล้วซูเฉินให้อภัยในสิ่งที่ตระกูลซูทำกับเขามานานแล้ว ชายหนุ่มได้พยายามแล้วที่จะปลดปล่อยให้พวกเขาหลุดพ้นจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้วเช่นกัน

แต่ซูเฟยหูกลับไม่ได้ต้องการเช่นนั้น

เขาเป็นคนเสนอความคิด ‘ไม่สนับสนุนหรือกดดัน’ นั้นด้วยตัวเอง

เมื่อได้ยินคำของซูเฉิน ซูเฟยหูก็ตอบกลับไปอย่างเหยียดหยัน “ใครจะไปสนว่าพวกนั้นจะชอบไหม พวกนั้นแค่อยากจะใช้อิทธิพลของเจ้าเพื่อยกระดับตัวเองเท่านั้น ข้าไม่มีทางให้ยอมให้ทำแบบนั้นหรอก เฉินเอ้อร์ การไปถึงจุดสูงสุดนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย วีรบุรุษที่เก่งกาจและแข็งแกร่งตั้งกี่คนแล้วที่มีคนรอบตัวเป็นตัวถ่วง เครือญาติของเจ้าไม่สามารถช่วยเจ้าได้ในเวลาที่เจ้าต้องการ แต่ตอนนี้เมื่อเจ้าประสบความสำเร็จ พวกนั้นกลับพากันกรูเข้ามาราวกับยุงที่กระหายเลือด ยิ่งเจ้าทำดีกับพวกเขาเท่าไร ก็ยิ่งเป็นการเอาปัญหาเข้ามาใส่ตัวมากขึ้นเท่านั้น แน่นอนว่าถ้าเจ้าต้องการ เจ้าจะพาตระกูลซูยกระดับไปง่าย ๆ เลยก็ยังได้ แต่พวกนั้นจะดูดเลือดใครล่ะ ไม่เพียงแต่เจ้าที่จะโดนสูบเลือดเนื้อ แต่ทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์เลยต่างหาก! และชื่อเสียงของใครกันที่พวกนั้นจะทำลาย ก็แน่นอนว่าเป็นเจ้า! ข้ายินดียิ่งนักที่เจ้าให้อภัยพวกเขาในสิ่งที่กระทำกับเจ้าในอดีต แต่ข้าไม่ยอมให้เจ้าต้องรับภาระคนพวกนี้หรอก ถึงข้าจะช่วยเจ้าได้ไม่มาก แต่อย่างน้อยข้าก็แน่ใจว่าคนพวกนี้จะไม่ไปวุ่นวายกับเจ้าอีก”

ซูเฉินหันไปมองและพบว่าดวงตาของซูเฟยหูมีน้ำตารื้น

ซูเฟยหูเป็นห่วงชายหนุ่มจริง ๆ ด้วยเหตุนี้เขาถึงได้ไม่อยากให้ตระกูลซูมาเป็นภาระของซูเฉิน และจึงตัดสินใจตัดความสัมพันธ์เสีย

ซูเฉินอยากจะบอกเหลือเกินว่าเขาสามารถหลีกเลี่ยงสิ่งที่ซูเฟยหูคิดว่าจะเกิดขึ้นได้ด้วยการปฏิบัติกับพวกเขาอย่างรุนแรงกว่านี้ แต่เขารู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้

อย่างไรแล้วเงินก็ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้จ่าย อำนาจก็เช่นกัน

ไม่เช่นนั้นแล้วจะต้องขวนขวายทั้งสองสิ่งนี้มาเพื่ออะไรกัน

ความทะเยอทะยานของซูเฉินสูงนัก และเขาไม่มีเวลาจะมากังวลเรื่องการดูแลคนเหล่านี้ แม้แต่ซูเฟยหูเองก็อาจไม่ต้องการด้วยซ้ำ เขาดูแลตระกูลซูมาเป็นเวลานานเหลือเกินแล้ว และเขาก็รู้ใจคนพวกนี้ที่ได้คืบจะเอาศอกอย่างแน่นอน

การปฏิบัติอย่างรุนแรงมากขึ้นหรือตัดขาดพวกเขาอย่างสิ้นเชิงนั้นล้วนไร้ประโยชน์

สถานะที่เป็นอยู่ในตอนนี้ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว

“อันที่จริงการที่ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไปอย่างนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแย่ ยิ่งเจ้าอยู่สูงขึ้น ลมก็แรงขึ้น ไม่มีใครรู้ว่าจะมีปัญหาอะไรมาถึงตัวเจ้าอีก อย่างน้อยที่สุดก็ไม่มีใครคิดจะมาวุ่นวายกับเรา และไม่มีใครคิดจะใช้เราเพื่อจัดการกับเจ้า ตระกูลซูอยู่ในที่ปลอดภัย ความปลอดภัยแบบนี้ไม่ใช่หรือที่หลายคนต่อสู้เพื่อให้ได้มา ข้าชอบทุกอย่างที่เป็นในตอนนี้อยู่แล้ว หากพวกนั้นต้องการจะมีชีวิตที่สูงส่งกว่านี้ก็ต้องหาทางกันเอง การละทิ้งคนที่คิดแต่จะเกาะเป็นตัวถ่วงเจ้าไปน่ะไม่ใช่เรื่องแย่หรอก” ซูเฟยหูกล่าวต่อ

ซูเฉินพยักหน้า “ถ้าท่านลุงว่าเช่นนั้นข้าก็จะเชื่อฟัง แล้วเขาเป็นอย่างไรบ้างล่ะ”

ซูเฟยหูรู้ทันทีว่าชายหนุ่มกำลังถามถึงซูเฉิงอัน

เขาถอนใจและตอบกลับไป “ปมในใจของเขายิ่งแน่นขึ้นทุกวันในหลายปีที่ผ่านมานี้ ข้าคิดว่าเขาคงอยู่ได้ไม่นานแล้วละ”