ตอนที่ 1162 ยังกล้ายอมรับอีก

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

เฮยเย้าดูเป็นผู้ใหญ่กว่าเด็กทั่วไปมาก เผชิญหน้ากับการท้าทายของมังกรทองผู้นี้ เขาก็เพิกเฉยต่อมังกรทองน้อยผู้นี้ไปโดยตรง

มังกรน้อยแอบกัดฟันกรอด ไม่รับคำท้างั้นรึ เช่นนั้นเขาก็จะใช้วิธีการยั่วอารมณ์

“ทำไม เจ้าไม่กล้าอย่างนั้นเหรอ หรือว่าเจ้ามันอ่อนแอเกินไป! ผู้ที่มีสายเลือดมังกรดำอย่างเจ้าก็อย่างน่ะนะ จะมาสู้ผู้ที่มีสายเลือดมังกรบริสุทธิ์อย่างข้าได้เช่นไรกันล่ะ”

พวกเขาทั้งสองยังเด็ก และเด็กก็มักจะใช้อารมณ์ มู่เฉียนซีกลัวว่าเฮยเย้าจะผลีผลามตอบรับคำท้าออกไป

ทันทีที่ข้อมือของนางขยับ เข็มยาเข็มหนึ่งก็พุ่งออกไป “เฮยเย้าจะลดตัวไปต่อสู้กับคนอย่างเจ้าทำไม?”

หญิงสาวตรงหน้าถึงแม้ว่าจะดูหน้าตางดงาม แต่ท่าทางความกำเริบเสิบสานนั้นทำให้เขาเกลียดชังจนอยากจะถลกหนังนางยิ่งนัก

ทันใดนั้นเอง เขาก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้น แผลเล็กมากไม่เห็นแม้แต่รอยเลือด

เขากล่าว “นี่เจ้าทำอะไรข้า?”

เข็มยานั้นพุ่งกลับไปอยู่ในมือของมู่เฉียนซี ด้านในยังติดเลือดสีทองมาด้วย

มู่เฉียนซีใส่ยาเข้าไปในเข็มนั้น ชั่วพริบตาเดียวเลือดสีทองนั้นก็พลันเปลี่ยนเป็นสีม่วงทันที

“ที่แท้เจ้าก็คือมังกรม่วงนี่เอง ปลอมตัวมาเป็นมังกรทอง นับว่าไม่เลวเลย เกรงว่าคงจะมีคนช่วยเจ้ากระมัง!”

สีหน้าของคนผู้นี้พลันเปลี่ยนไปทันที “เจ้าพูดจาเหลวไหล ข้าจะเป็นมังกรม่วงไปได้ยังไง เห็น ๆ กันอยู่ว่าข้าคือมังกรทอง”

สุ่ยอู๋ซินกล่าว “ความจริงปรากฏให้เห็นอยู่ทนโท่ ต่อให้เจ้าเถียงไปมันก็ไร้ประโยชน์ นึกไม่ถึงเลยว่าเผ่ามังกรม่วงจะกล้าทำเรื่องเลวทรามเช่นนี้”

“โจมตีพวกมันให้ออกไปจากเกาะราชามังกรเดี๋ยวนี้” สุ่ยอู๋ซินออกคำสั่ง

คนของกลุ่มเทพเหล่านี้ถูกจับได้แล้ว อีกทั้งพลังความแข็งแกร่งก็ไม่อาจสู้พวกเขาได้ จึงทำได้เพียงแค่หนีออกไปจากเกาะราชามังกร

มู่เฉียนซีกล่าว “เฮยเย้า ตอนนี้เจ้าสามารถรับพลังของท่านราชามังกรได้แล้ว”

เฮยเย้ากล่าว “อืม! ข้าจะไม่ทำให้ท่านมู่ผิดหวัง”

เมื่อมรดกเปิดออกมันกลับไม่ง่ายอย่างที่ได้จินตนาการเอาไว้

ราชามังกรผู้นั้นได้ทิ้งพลังเอาไว้ให้บุตรชายของตนเอง ไม่ใช่ทิ้งเอาไว้ให้หลาน

พลังของเฮยเย้าในตอนนี้อ่อนด้อยกว่าจินหลิวกวงมากเกินไปแล้ว

พลังนั้นไหลเข้าสู่ร่างกายของเฮยเย้าราวกับจะทำลายร่างของเขาก็มิปาน

มู่เฉียนซีเห็นสถานการณ์ของเฮยเย้ายิ่งแย่ลงเรื่อย ๆ เช่นนี้ นางจึงตะโกนขึ้นว่า “เฮยเย้า หยุดเดี๋ยวนี้ เจ้าต้องปรับพลังให้แข็งแกร่งกว่านี้ก่อนถึงจะรับมรดกพลังนี้ได้”

สุ่ยอู๋ซินเดินไปข้างกายมู่เฉียนซีและกล่าวว่า “ท่านมู่ นี่เป็นเรื่องที่เฮยเย้าต้องยอมรับมัน อย่าลืมว่าเขานั้นมีสายเลือดมังกรทองอยู่ เขาต้องผ่านมันไปได้”

ความเจ็บปวดทรมานในครานี้เลวร้ายกว่าความเจ็บปวดในสถานที่ฝึกฝนของเผ่ามังกรอัคคีหลายเท่านัก

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเขาก็มีความสัมพันธ์กับมังกรดำมาตั้งแต่เด็ก ได้รับความยากลำบากมามากมาย ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาจะไม่ยอมแพ้เป็นอันขาด

แสงสีทองได้รวมตัวกันในร่างของเฮยเย้า และแสงนั้นก็เริ่มสลัวมากขึ้นเรื่อย ๆ

หลังจากที่แสงสีทองนั้นได้สลายหายไป เฮยเย้าก็ได้หมดสติล้มลงไปในกองซากปรักหักพังนั้น

มู่เฉียนซีพบว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรมาก อีกอย่างพลังก็แข็งแกร่งขึ้นด้วย เขาเพียงแค่เหน็ดเหนื่อยและหลับใหลไปก็เท่านั้น

หัวหน้าเผ่ามังกรอัคคีกล่าวว่า “เด็กน้อยผู้นี้ทำได้ไม่เลวเลย!”

มู่เฉียนซีกล่าว “พาเขาไปพักก่อนเถอะ รอให้เฮยเย้าฟื้นขึ้นมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

“อืม!”

ถึงแม้ว่าเกาะราชามังกรจะแห้งแล้ง แต่พวกเขาก็ได้จัดเตรียมที่พักเอาไว้

เฮยเย้าหลับใหลไปเป็นเวลาสามวันเต็ม เมื่อเขาฟื้นขึ้นมานั้น พลังอำนาขของผู้เป็นราชาในร่างของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นมาก

ราวกับว่าเขาได้กลายเป็นราชาแห่งเผ่ามังกรไปแล้ว

ทันใดนั้น ท้องฟ้าก็พลันมืดครึ้มขึ้น เมฆดำได้ปกคลุมไปทั่วทั้งเกาะราชามังกร

เหตุการณ์วิปริตเช่นนี้พวกเขาคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง

หัวหน้าเผ่ามังกรอัคคีอุทานขึ้นว่า “เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ แสดงว่ามีมังกรเลื่อนขั้นเป็นสัตว์เทพแล้ว”

“อัสนีขั้นสัตว์เทพกำลังจะบังเกิดขึ้น”

หัวหน้าเผ่ามังกรดินกล่าวเชื่องช้าว่า “เด็กน้อยผู้นั้นเลื่อนขั้นแล้ว แดนมังกรของพวกเราไม่มีมังกรเลื่อนขั้นเป็นสัตว์เทพมานานมากแล้ว”

เฮยเย้าได้รับพลังของท่านปู่ตนเองมาในปริมาณมาก เขาใช้เวลาเพียงแค่สามวันพลังนั้นก็หลอมรวมเข้ากับร่างกายของเขาได้แล้ว ดังนั้นเขาจึงเลื่อนขั้นได้แล้ว

มู่เฉียนซีกล่าวถามว่า “สุ่ยอู๋ซิน ระดับอัสนีของเผ่ามังกรพวกเจ้าอันตรายหรือไม่ ?”

“เราเกิดมาก็เป็นสัตว์เทพ ตรงหน้ากลับไม่ได้มีอัสนีขั้นสัตว์เทพ ในตอนนี้เนื่องจากเผ่ามังกรมีความเปลี่ยนแปลงจึงมีอัสนี แต่นั่นก็ไม่สามารถทำอะไรพวกเราได้ ถึงอย่างไรร่างกายมังกรก็เป็นร่างกายที่แข็งแกร่งที่สุด”

ได้ยินคำพูดนี้ของสุ่ยอู๋ซิน ถึงแม้ว่ามู่เฉียนซีจะวางใจแล้ว แต่นางก็ยังคงเตรียมยาลูกกลอนและยาแผนปัจจุบันให้กับเฮยเย้าเอาไว้ไม่น้อย

ตูม เปรี้ยง เปรี้ยง! จากนั้นมังกรเงินก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าและพุ่งลงมาอย่างกะทันหัน และเฮยเย้าก็ได้กลายร่างเป็นมังกรดำดวงตาสีทองพัวพันกับมังกรเงินตัวนั้น

เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง! แสงสีเงินฟาดไปที่ร่างของเฮยเย้า มังกรดำขลับตัวนั้นกลับต่อสู้กลับอย่างไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใดเลย

โชคดีที่เป็นเพียงแค่อัสนีสายหนึ่งเท่านั้น

เมื่ออัสนีนั้นได้ผ่านไป ท้องฟ้าก็กลับมาแจ่มใสอีกครั้ง และเฮยเย้าก็ลงมาจากกลางอากาศ

เขากล่าว “ท่านมู่ ข้าได้กลายเป็นสัตว์เทพแล้ว ให้ข้าพาท่านท่องนภาเป็นเช่นไร”

สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ท่องนภานางเคยนั่งมาแล้ว แต่สัตว์เทพกลับไม่เคยนั่งมาก่อน

และนึกไม่ถึงเลยว่าในตอนนี้เอง จิ่วเยี่ยจะปรากฏตัวขึ้นด้านหลังมู่เฉียนซี

“ไม่ต้อง ความเร็วของข้าเร็วกว่าเจ้ามาก ส่วนเจ้าก็เอาเวลาไปคิดเถอะว่าคลังเก็บของล้ำค่าของเผ่ามังกรอยู่ที่ใด เมื่อข้ากลับมา จะต้องได้คำตอบ”

กล่าวจบ เขาก็ได้พามู่เฉียนซีอันตรธานหายไปต่อหน้าพวกเขาทันที

ความเร็วของจิ่วเยี่ยนั้นรวดเร็วกว่าสัตว์เทพมาก แต่เมื่อถูกนำตัวออกมาเช่นนี้ มู่เฉียนซีก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

“จิ่วเยี่ย เรารีบกลับกันเถอะนะ!”

“ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะกลับ”

“แล้วเมื่อไหร่กันล่ะ?”

“แน่นอนว่า…” แสงสลัววาบผ่านดวงตาของจิ่วเยี่ย

มู่เฉียนซีคิดจะหนีตอนนี้ก็ไม่ทันเสียแล้ว

เมื่อพวกเขากลับมาก็เป็นเวลาดึกสงัดแล้ว

เฮยเย้ารอพวกเขากลับมาอยู่นาน เมื่อได้เห็นเงาร่างสองร่างกลับมา เฮยเย้าก็กล่าวว่า “ข้ารู้แล้วว่าคลังเก็บของล้ำค่าอยู่ที่ไหน คลังเก็บของล้ำค่าของเผ่ามังกรอยู่ในซากปรักหักพังของสุสานมังกร”

“ซากปรักหักพังสุสานมังกร”

“ซากปรักหักพังสุสานมังกรเป็นมิติหนึ่งที่เผ่ามังกรเอาไว้ฝังตัวเอง มิตินี้จะปรากฏขึ้นตามโอกาส แม้แต่เผ่าราชาอย่างพวกเราก็ไม่สามารถควบคุมได้ บางทีมันอาจจะทำให้พวกท่านรอนาน” เฮยเย้ากล่าว

มู่เฉียนซีกล่าว “เช่นนั้นเราก็จะรอ”

“ครึ่งเดือนหากยังไม่ปรากฏ พวกเราจะไปจากที่นี่” จิ่วเยี่ยกลับกล่าวออกมาเช่นนี้

“ทำไมล่ะ?”

“แดนมังกรไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะสมในการฝึกฝนของซี”

“ใครบอกว่าแดนมังกรไม่เหมาะกับการฝึกของข้า ที่อื่นไม่เหมาะ แต่ก็ยังมีเกาะมังกรวารีไม่ใช่หรอกเหรอ?”

สุ่ยอู๋ซินก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าและกล่าวว่า “ใช่ เกาะมังกรวารีเป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การฝึกฝนของท่านมู่ที่สุด และท่านมู่ก็จะอยู่นานเพียงใดก็ได้”

คำพูดนี้เป็นผลให้จิ่วเยี่ยมองสุ่ยอู๋ซินด้วยสายตาที่เย็นยะเยือก เขากล่าว “เจ้าก็น่าจะรู้ดีว่าสภาพแวดล้อมของเผ่ามังกรมันแย่เพียงใด ไม่เหมาะสมกับซีเลยแม้แต่น้อย”

สุ่ยอู๋ซินพยักหน้าและกล่าวว่า “ท่านจิ่วเยี่ยพูดถูก ขออภัยด้วยที่ข้าคิดไม่รอบคอบ”

“ไม่ได้ หากพลาดโอกาสไปจะทำเช่นไรล่ะ?”

“ข้าย่อมมีวิธีให้พวกเขาส่งข่าวให้ข้าทันทีเมื่อซากปรักหักพังของสุสานมังกรนั้นเปิดขึ้น”

มู่เฉียนซีถลึงตาใส่เขา ก่อนจะกล่าวว่า “แล้วยังไง! เจ้าคิดจะหาวิธีมาที่นี่คนเดียวใช่หรือไม่”

จิ่วเยี่ยกล่าว “อืม!”

“นี่เจ้ายังกล้ายอมรับอีกเหรอ!” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง