จิ่วเยี่ยกล่าวเสียงขรึมว่า “เมื่อคัมภีร์หมื่นคำสาปปรากฏ ข้าก็จะเป็นผู้ที่อันตรายมาก เผ่ามังกรจะดับสูญหรือไม่นั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ข้าไม่อยากให้เกิดเรื่องขึ้นกับซี”

ผลที่เลวร้ายที่สุดก็คือเผ่ามังกรจะถูกทำลาย เมื่อการสังหารสะสมจนถึงขั้นนั้นก็น่าจะเพียงพอที่จะสนองคำสาปแล้ว และทุกอย่างก็จะสงบลง

ตราบใดที่มู่เฉียนซีไม่อยู่ นางก็จะไม่มีอันตราย

สุ่ยอู๋ซินที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ได้ยินคำพูดนี้มุมปากก็กระตุกขึ้นเล็กน้อย บอกว่าเผ่ามังกรจะดับสูญก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญต่อหน้าเขาผู้เป็นหัวหน้าเผ่ามังกรวารีเช่นนี้ มันน่าฟังเหรอ

มู่เฉียนซีกล่าว “ก็ได้! หลังจากนี้ครึ่งเดือนเจ้าก็ตีหัวข้าให้สงบแล้วค่อยส่งข้ากลับไปก็แล้วกัน มิเช่นนั้นก็อย่าหวังเลยว่าจะให้ข้าไปจากที่นี่ได้ ในเมื่อเจ้าได้คิดแผนเลวที่สุดเช่นนี้ออกมาแล้ว ข้าก็คงจะห้ามเจ้าไม่ได้แล้ว”

“ข้าไม่อยากทำร้ายซี!”

มู่เฉียนซีกล่าวต่อว่า “อ๋อใช่! แล้วก็อย่าคิดว่าข้าจะกลับมาไม่ได้ล่ะ เจ้าคอยดูเองก็แล้วกัน! เมื่อถึงตอนนั้นข้าก็จะคอยดูว่าคนอย่างองค์ชายจิ่วเยี่ยจะถูกคำสาปในร่างกลืนกินเช่นไร เจ้าว่าดีหรือไม่!”

เผชิญหน้ากับมู่เฉียนซีที่เป็นเช่นนี้ จิ่วเยี่ยรู้สึกจนปัญญาเป็นอย่างมาก

หากเป็นซีคนเดียว เขาก็สามารถส่งกลับไปได้อย่างง่ายดาย แต่นี่นางกลับมีพันธสัญญามากมายและรับมือได้ยากมาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดอกบัวหงส์เก้ากลีบผู้ที่ควบคุมมิติ

ถึงแม้ว่าพลังของนางในตอนนี้จะไม่แข็งแกร่ง แต่หากซีต้องการมาแดนมังกร เพียงแค่เอ่ยปากบอกก็สามารถมาได้แล้ว

“ซี…”

เขายังไม่ทันได้กล่าวคำพูดออกมาก็รู้สึกได้ว่าใบหน้าของมู่เฉียนซีขยับเข้ามาใกล้แล้ว

มู่เฉียนซีได้จูบริมฝีปากของเขา อย่างไรเสียการกระทำนี้มักจะเป็นเขาที่เป็นคนทำ

ในวันนี้นางได้รักษาเขาด้วยวิธีการของเขา

มู่เฉียนซีเป็นฝ่ายจูบเขาก่อน ทำให้จิ่วเยี่ยได้เก็บคำพูดที่จะพูดออกมานั้นกลับไป

ดูเหมือนว่าเขาต้องมนต์สะกดก็มิปาน เขาทำได้เพียงแค่ลิ้มรสอันหอมหวานนั้นเข้าปาก

ทั้งสองได้จูบกันอยู่นาน และในที่สุดริมฝีปากของทั้งสองก็แยกออกจากกันแล้ว

มู่เฉียนซีกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “ต่อให้ผลสุดท้ายมันจะอันตรายมากแค่ไหน ข้าก็อยากจะเผชิญมันไปด้วยกันกับเจ้าอยู่ดี หวงจิ่วเยี่ย เราตกลงกันแล้วนะ รอให้เจ้าหายดี เจ้าเป็นของข้า”

“ข้าไม่มีทางยอมให้เจ้าปฏิเสธหรอกนะ ราตรีสวัสดิ์!” กล่าวจบมู่เฉียนซีก็หันหลังเดินไป

ปิดประตูและเข้านอน!

แน่นอนว่าต่อให้นางปิดประตูก็ไม่สามารถขวางคนอย่างจิ่วเยี่ยได้

จิ่วเยี่ยบุกเข้าไปในห้องของมู่เฉียนซี แม้ว่ามู่เฉียนซีจะรู้ว่ามีคนเอนกายนอนข้างกายนาง แต่นางก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น

แกล้งหลับอย่างนั้นเหรอ

จิ่วเยี่ยคว้านางมากอดเอาไว้ในอ้อมแขน เขารู้ดีว่าหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมกอดผู้นี้ยังไม่หลับ เพียงแค่ไม่อยากจะสนใจเขาก็เท่านั้น

เขาไม่ได้เปิดโปงนาง ก็ปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไปก็แล้วกัน!

สำหรับหญิงสาวที่เป็นหัวแก้วหัวแหวนของตนเอง เขาไม่อยากใช้ไม้แข็ง

มู่เฉียนซีแนบกายนอนหลับในอ้อมกอดอันคุ้นเคยนั้นแล้ว หลังจากที่นางหลับไป จิ่วเยี่ยก็กล่าวขึ้นเสียงเบาว่า “สุ่ยจิงอิ๋ง!”

ทั่วทั้งห้องก็ปรากฏแสงสว่างขึ้นราวกับแขวนดวงไฟผลึกวารีสีฟ้าอ่อนเอาไว้ก็มิปาน

สุ่ยจิงอิ๋งกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “จิ่วเยี่ย ข้าเข้าใจ!”

“เพียงแค่เอากลีบดอกที่อยู่ในร่างของเจ้ากลีบนั้นกลับมาอยู่ในร่างของซีเอ๋อร์ ข้าก็สามารถพาซีเอ๋อร์จากไปได้ เพียงแต่ว่าต่อไปหลังจากนี้การที่เจ้าจะกลับไปอยู่ข้างกายซีเอ๋อร์ มันก็จะไม่ได้สะดวกเหมือนอย่างเคย”

ถึงแม้ว่าองค์ชายจิ่วเยี่ยจะสามารถข้ามทะลุมิติได้ แต่การที่เขาจะปรากฏตัวข้างกายมู่เฉียนซีได้อย่างแม่นยำเหมือนในทุก ๆ ครั้ง มันกลับไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไปแล้ว

แต่หากมีการช่วยเหลือจากดอกบัวหงส์เก้ากลีบอย่างสุ่ยจิงอิ๋งแล้วนั้น มันไม่เหมือนกัน

จิ่วเยี่ยกล่าว “เช่นนั้นก็ดี!”

สุ่ยจิงอิ๋งกล่าว “จิ่วเยี่ย เจ้ายอมจำนนแล้ว”

“ก็มีเพียงแค่นางคนเดียวเท่านั้นที่สามารถทำข้ายอมจำนนได้” มุมปากของจิ่วเยี่ยยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย

“ซีเอ๋อร์ให้ความสำคัญกับเจ้ามากนะ” สุ่ยจิงอิ๋งกล่าวด้วยความอ่อนโยน

หลังจากที่นางได้กล่าวคำพูดนี้ออกมา นางก็นิ่งเงียบลงอีกครั้ง

และจิ่วเยี่ยก็กอดนางเอาไว้แน่น จากนั้นก็ผล็อยหลับไป

เช้าวันต่อมา ดูเหมือนว่าทั้งสองจะลืมตาขึ้นมาพร้อมกัน ก่อนจะมองสบตากัน

จิ่วเยี่ยมองนางและเงียบไป ไม่ได้เปล่งเสียงกล่าวแต่อย่างใด

มู่เฉียนซีจึงทำได้เพียงแค่ปริปากกล่าวขึ้นก่อนว่า “อันที่จริงก็ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาเป็นครึ่งเดือนเช่นนั้นแล้ว หากว่าเจ้าไม่ต้องการให้ข้าเผชิญความยากลำบากไปด้วยกันกับเจ้าแล้วละก็ เจ้าก็ส่งข้ากลับดินแดนสี่ทิศไปเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยก็ได้”

“การจะตีหัวให้ข้าสลบไปนั้นมันก็ดูจะเจ็บไปสักหน่อย หรือว่าข้าจะใช้เข็มยาที่ไม่เจ็บให้เจ้าได้ลงมือ เจ้าว่าเป็นเช่นไร…”

ในที่สุดจิ่วเยี่ยก็เข้าใจแล้ว จากนั้นมู่เฉียนซีก็ถูกของหนักบางอย่างกดทับจนหายใจไม่สะดวก

“เจ้าบอกข้ามาดีกว่าว่าตกลงแล้วเจ้าจะทำเช่นไรกันแน่ ให้ข้าได้มีเวลาเตรียมใจสักหน่อย…อือ…”

สองมือของนางได้ถูกกดทับเอาไว้ และจูบอันบ้าคลั่งที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ก็กดทับลงมาที่ริมฝีปากของนาง

อุณหภูมิทั่วทั้งห้องก็พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง…

ยากมากกว่าที่จิ่วเยี่ยจะปล่อยมู่เฉียนซี แต่มู่เฉียนซีในตอนนี้ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะเปล่งเสียงพูดแล้ว

มู่เฉียนซีถลึงตาจ้องมองจิ่วเยี่ย ต้องการจะพูดกับเขา…มุมปากของจิ่วเยี่ยยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย “ในเมื่อซีอาลัยอาวรณ์ข้ามากถึงเพียงนี้ ต่อไปข้าจะอยู่ชิดใกล้ซี หวังว่าซีจะมีความสุข!”

แน่นอนว่ามู่เฉียนซีเข้าใจในความคิดของจิ่วเยี่ย เจ้าผู้ที่มีความคิดชั่วร้ายผู้นี้!

นางไม่อยากไป เขาก็จะตอบแทนนางเช่นนี้ มันช่างดียิ่งนัก!

“ข้า ข้าไม่…อือ…”

จิ่วเยี่ยจะยอมให้นางปฏิเสธอย่างนั้นเหรอ ไม่มีทาง!

ไม่นานนักริมฝีปากของนางก็ถูกประกบลง อยากจะเปล่งเสียงพูดก็ไม่สามารถพูดออกมาได้แล้ว

และในขณะที่นางเหน็ดเหนื่อยจนจะหลับไปนั้น จิ่วเยี่ยก็กล่าวว่า “ข้ารู้ว่าซีเขินอาย และรู้สึกตื่นเต้นมาก ข้าเข้าใจดี!”

มู่เฉียนซีอยากจะตบหน้าเจ้าหมอนี่เสียจริง ๆ!

หลังจากนั้นจิ่วเยี่ยก็ทำตามในสิ่งที่เขาพูด อยู่ต่อหน้าคนอื่นก็เช่นกัน ท่านจิ่วเยี่ยนั้นมีความรักอันลึกซึ้งต่อท่านมู่

เรื่องของเผ่ามังกรพวกเขาไม่ได้สนใจ เพียงแค่รอเวลาให้ซากปรักหักพังของสุสานมังกรปรากฏขึ้นพลางแสดงความรักต่อกัน

ในระหว่างที่เกาะราชามังกรกำลังสร้างขึ้นใหม่ เฮยเย้าก็ได้รับการยอมรับจากทั้งสี่เผ่าโดยสมบูรณ์แล้ว

เจ็ดวันต่อมา เสียง ตูม! ก็ได้ดังสนั่นขึ้น พายุฝนฟ้าคะนองดังขึ้นไปทั่วทั้งแดนมังกร

นี่ไม่ใช่อัสนีที่แสดงให้เห็นว่ามีมังกรเลื่อนขั้นเป็นสัตว์เทพแต่อย่างใด แต่เป็นการเคลื่อนไหวต่อการปรากฏของคลังเก็บของล้ำค่านั่นเอง

ครืน เปรี้ยง เปรี้ยง! สายฟ้าที่ฟาดลงมานี้ไม่เพียงแต่จะฟาดลงมาแค่ครั้งเดียวเท่านั้น มันได้ฟาดลงมาสองครั้ง สามครั้ง และอีกนับไม่ถ้วนอย่างต่อเนื่อง และนี่ก็แค่เริ่มต้นเท่านั้น

นี่ไม่ใช่ของล้ำค่าธรรมดาทั่วไป แต่เป็นการแสดงให้เห็นว่ามีบางอย่างที่ต้านสวรรค์กำลังจะปรากฏขึ้น

และในตอนนี้เอง จิ่วเยี่ยก็รู้สึกว่าคำสาปในร่างของตนเองนั้นเริ่มส่งเสียงร้องขึ้นแล้ว

ดูเหมือนว่ามันตอบสนองถึงบางสิ่งบางอย่าง ต้องการจะออกจากร่างของคนผู้นี้ การควบคุมมันเอาไว้ทำให้เขาบ้าคลั่งขึ้นมา

จิ่วเยี่ยกลับใช้พลังของตนเองยับยั้ง ใช้สติปัญญาของตนเองระงับมันเอาไว้ จิ่วเยี่ยกล่าวเสียงขรึมว่า “ซี ซากปรักหักพังของสุสานมังกรปรากฏขึ้นแล้ว คัมภีร์หมื่นคำสาปได้เผยกลิ่นอายออกมาแล้ว ช่วยข้า…”

มู่เฉียนซีกล่าว “อืม! เราสองคนต้องช่วยกันยับยั้งมันเอาไว้ให้ได้ ห้ามแพ้เด็ดขาด!”

มู่เฉียนซีกับจิ่วเยี่ยพยายามยับยั้งคำสาปเอาไว้อย่างสุดชีวิต เฮยเย้าเองก็รับรู้ได้ถึงบางอย่างแล้วเช่นกัน เขาจึงรีบมาหามู่เฉียนซีทันที

“ท่านมู่ การเคลื่อนไหวนี้เก้าในสิบส่วนบอกว่าซากปรักหักพังของสุสานมังกรได้ปรากฏขึ้นแล้ว แล้วเราจะทำเช่นไรต่อไป?”

ซากปรักหักพังของสุสานมังกรปรากฏขึ้นเช่นนี้ สุ่ยอู๋ซินเองก็ตื่นเต้นมากเช่นกัน

เพราะนั่นมันหมายถึงได้หาคลังเก็บของล้ำค่าของเผ่ามังกรเจอแล้ว จากนั้นก็จะได้ไข่มุกมังกรวารีศักดิ์สิทธิ์มา และช่วยท่านมังกรวารีฟื้นฟูพลังกลับมาดังเดิม

“นี่ซากปรักหักพังของสุสานมังกรปรากฏขึ้นแล้วจริง ๆ เหรอ เมื่อก่อนซากปรักหักพังของสุสานมังกรก็เคยปรากฏมาแล้ว แต่ก็ไม่เคยเกิดการเคลื่อนไหวที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้มาก่อนเลย” สุ่ยอู๋ซินกล่าวด้วยความประหลาดใจ

เมื่อก่อนไม่เคยเกิดการเคลื่อนไหวที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้มาก่อนนั่นอาจเป็นเพราะว่าคัมภีร์หมื่นคำสาปอยู่อย่างสงบมาโดยตลอด ทว่า ตอนนี้กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้ว คัมภีร์หมื่นคำสาปได้รวมตัวกันกับคำสาปที่น่ากลัวที่สุด จึงทำให้เกิดการเคลื่อนไหวที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ขึ้น และนี่ก็นับว่าเป็นการเคลื่อนไหวที่เล็กน้อยเท่านั้น