ตอนที่ 970 หรือว่านี่จะเป็นภาพมายา?
“นั่นมันมนุษย์นี่หว่า?”
หลินเป่ยเฉินมีดวงตาเป็นประกายด้วยความดีใจ
สิ่งมีชีวิตที่เดินลาดตระเวนอยู่บนกำแพงเมืองมีลักษณะคล้ายกับมนุษย์ทุกประการ
หรือหากอธิบายให้ถูกต้องก็คือ พวกเขาไม่ได้คล้ายกับมนุษย์ แต่พวกเขาเป็นมนุษย์จริง ๆ
รูปร่างหน้าตาล้วนไม่ต่างไปจากมนุษย์ทั่วไป
บรรดาผู้คนที่ประจำการอยู่บนกำแพงเมือง น่าจะเป็นเหล่านายทหารของมนุษย์เผ่าพันธุ์นี้
พวกเขามีผมสีดำ ผิวสีเหลือง รูปร่างโดยเฉลี่ยสูงประมาณหกเซี๊ยะครึ่ง ร่างกายสวมใส่เกราะหนังสัตว์ครอบคลุมช่วงเอวและสะโพก หน้าอก และอวัยวะจุดสำคัญอื่นๆ อย่างเรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพ ส่วนแขนกับขาเปลือยเปล่าอุดมกล้ามเนื้อแข็งแกร่ง ไม่ต่างจากหุ่นหินที่อยู่บนกำแพงเมืองเหล่านั้น
มนุษย์เหล่านี้ใช้อาวุธที่ทำขึ้นมาจากหินสีดำ รูปทรงของอาวุธเรียบง่ายไม่ซับซ้อน และบางส่วนถึงกับเลี้ยงนกยักษ์เอาไว้ใช้งานด้วยเช่นกัน
สิ่งเหล่านี้บ่งบอกว่าชาวเมืองโบราณแห่งนี้มีสติปัญญาฉลาดเฉลียว
หลินเป่ยเฉินรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที
ในที่สุด เขาก็ได้เจอสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นนอกเหนือจากอสูรหน้าตาอัปลักษณ์พวกนั้นสักที
นี่คือเมืองที่กองทัพเป่ยไห่ต้องบุกมายึดครองใช่หรือไม่?
แต่ดูจากสภาพแวดล้อมการดำรงชีวิตที่มีอารยธรรม มนุษย์เหล่านี้ก็น่าจะสื่อสารกันได้ไม่ใช่หรือ?
มันต้องมีวิธีอื่นที่สามารถยึดครองเมืองได้โดยไม่ต้องฆ่าฟันกันสิ
หากหลินเป่ยเฉินสามารถหาวิธีเอาชนะใจชาวเมืองเหล่านี้ได้ กองทัพเป่ยไห่ก็จะไม่ต้องเสียเลือดเนื้อโดยไม่จำเป็น
หลินเป่ยเฉินมีความชำนาญเรื่องการหว่านเสน่ห์อยู่แล้ว
เด็กหนุ่มถือคติที่ว่า ‘หากเจ้าไม่ทำร้ายข้า ข้าก็ไม่ทำร้ายเจ้า แต่หากเจ้าหาเรื่องข้า ข้าจะฆ่าเจ้าซะ’ ตราบใดที่ชาวเมืองเหล่านี้ไม่ได้มีกิริยาท่าทีคุกคามใด ๆ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องลงมือทำเรื่องราวรุนแรง
ในเมื่อชาวเมืองโบราณอาจจะมีสติปัญญามากพอสำหรับการเจรจาต่อรอง แล้วยังจะทำสงครามสู้รบกันไปเพื่ออะไรอีก?
แค่ทำให้ชาวเมืองหลงรักเขาเท่านั้นก็พอแล้วไม่ใช่หรือ?
หลินเป่ยเฉินบินสังเกตการณ์รอบเมือง
เขาต้องการดูความแข็งแกร่งของกองทัพชาวเมืองเหล่านี้
หลินเป่ยเฉินพยายามบินสำรวจอย่างระมัดระวัง ไม่อยากให้ผู้ใดพบเห็นการมาถึงของตนเอง
เขามองลงไปจากท้องฟ้า
พื้นที่ด้านหลังกำแพงเมืองยังคงเต็มไปด้วยไร่เกษตรกรรม กว่า 90 ส่วนของพื้นที่ทั้งหมดในเมืองกลายเป็นพื้นที่เพาะปลูกลักษณะเดียวกันกับที่หลินเป่ยเฉินเคยเห็นนอกกำแพงเมือง แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ต้นไม้ในกำแพงเมืองจึงมีสภาพเหี่ยวแห้งใกล้ตายน่าอนาถ…
กระท่อมที่ก่อสร้างด้วยก้อนหินสีดำตั้งกระจัดกระจายอยู่ทั่วเขตพื้นที่เกษตรกรรม กระท่อมบางหลังมีลักษณะคล้ายกับบ้านสองชั้น เช่นเดียวกับสิ่งปลูกสร้างที่มีความซับซ้อนก็ปรากฏให้เห็นในสายตาเช่นกัน
แต่สิ่งที่ทำให้หลินเป่ยเฉินแปลกใจก็คือจำนวนประชากรของเมืองนี้ ดูจะน้อยกว่าที่เขาประเมินเอาไว้ในตอนแรกมากทีเดียว
“มีแค่ 500 – 600 คนเองเหรอเนี่ย?”
นับว่าเป็นจำนวนประชากรที่น้อยเกินไป
เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรของมนุษย์ม้า เรียกได้ว่าเป็นจำนวนประชากรที่เทียบกันไม่ได้เลย
หลินเป่ยเฉินซ่อนตัวอยู่ในความมืดและสังเกตการณ์ต่อไป
“พลังในการต่อสู้ของคนพวกนี้สู้อสูรในป่าพวกนั้นไม่ได้….”
“พวกแม่ทัพที่เก่งที่สุดกลับมีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์เท่านั้น…”
“แต่ดูเหมือนจะได้รับการฝึกวิทยายุทธ์กันเป็นอย่างดี…”
“ชาวเผ่าพวกนี้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีพลังเทียบเท่าได้กับขั้นเซียน”
“บางทีพวกคนเก่ง ๆ อาจจะซ่อนตัวอยู่ก็ได้ แต่คงมีน้อยมากแหละมั้ง เพราะเราบินสำรวจมาแทบจะรอบเมืองแล้ว ยังไม่รู้สึกถึงรังสีอันตรายใด ๆ เลย…”
“ถ้าเมืองนี้ไม่ได้ตั้งอยู่บนยอดเขาประหลาดลูกนี้ละก็ มนุษย์เผ่านี้คงสูญพันธุ์ไปนานแล้วแน่ ๆ…”
“ยังมีอะไรอีกหรือเปล่านะ?”
“ความจริง อสูรในป่าพวกตัวที่แข็งแกร่งเทียบเท่าได้กับผู้มีพลังขั้นเซียนระดับห้าหรือระดับหก กำแพงเมืองต่อให้สูงสักแค่ไหนก็คงต้านพวกมันเอาไว้ไม่ได้ หรือว่ามนุษย์เผ่านี้มีอาวุธลับอะไรซ่อนอยู่อีก?”
หลินเป่ยเฉินขบคิดเรื่องนี้อย่างไม่เข้าใจ
มีคำถามมากมายเกิดขึ้นในใจของเขา
แต่หลังจากตรึกตรองดูอยู่ครู่ใหญ่ หลินเป่ยเฉินก็ตัดสินใจยังไม่ลงไปสืบดูข้อมูลในตัวเมือง แต่เขาเลือกที่จะบินผ่านภูเขาประหลาดลูกนี้ไปทางกำแพงเมืองด้านหลัง เพื่อสำรวจสภาพแวดล้อมของเมืองลับแลขนาดเล็กแห่งนี้ต่อไป
และทันทีที่ไปถึงกำแพงเมืองด้านหลัง เด็กหนุ่มก็ต้องตกตะลึง
ปรากฏว่าหลังภูเขาลูกนี้คือชายหาดขนาดใหญ่
สายลมโชยพัด
หาดทรายสีทองคำเต็มไปด้วยเปลือกหอยหลากสีสัน พวกมันส่องแสงเป็นประกายระยิบระยับ ทำให้หลินเป่ยเฉินรู้สึกอยากจะวิ่งเข้าไปหยิบจับมาพลิกดูเพื่อซึมซับความงดงามของโลกธรรมชาติ แบบที่พวกพระเอกในอนิเมะชอบทำกัน
แต่สิ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มตกตะลึงมากที่สุดก็คือพื้นที่ถัดจากชายหาดออกไป กลับกลายเป็นความว่างเปล่าที่ไม่มีสิ่งใดตั้งอยู่เลย
ไม่มีทะเล ไม่มีเกลียวคลื่น ไม่มีพื้นดิน…
มีเพียงท้องฟ้าสีดำที่เต็มไปด้วยดวงดาว!
และที่น่าประหลาดมากไปกว่านั้นก็คือน้ำทะเลไม่ได้ไหลมาจากท้องฟ้าสีดำผืนนี้ แต่มันกลับไหลซึมออกมาจากที่ห่างไกล คล้ายกับว่าเป็นน้ำทะเลที่ไหลผ่านมาจากอีกมิติหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
ภาพที่แปลกประหลาดอย่างมีเสน่ห์นี้ ทำให้หลินเป่ยเฉินหยุดยืนตกตะลึงอยู่กับที่
นี่คือสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์
ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยหลักตรรกะใด ๆ
ต่อให้เป็นโลกแห่งวรยุทธ์ สถานที่เช่นนี้ก็ไม่สมควรมีอยู่จริง
หรือว่านี่จะเป็นภาพมายา?
เป็นภาพที่เกิดขึ้นจากค่ายอาคม?
ไม่ใช่!
ไม่ใช่แน่ ๆ!
หลินเป่ยเฉินรู้สึกอย่างชัดเจนว่าภาพที่ตนเองกำลังเห็นนี้เป็นของจริง
มันเป็นเขตชายแดนที่ขีดกั้นระหว่างเมืองโบราณแห่งนี้กับสิ่งที่อยู่ภายนอก
พื้นที่อันเวิ้งว้างว่างเปล่าด้านนอกนั้น อาจจะเป็นเส้นขอบโลกของอาณาเขตแห่งนี้ก็เป็นได้
หลินเป่ยเฉินพยายามบินข้ามแนวชายหาดออกไปเพื่อสำรวจดูท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ด้านนอก แต่เขากลับทำไม่ได้
เนื่องจากมีมวลพลังมหาศาลขวางกั้น ไม่เขาบินออกไปจากชายหาดได้สำเร็จ
หลังพยายามอยู่หลายครั้งแต่ไม่เป็นผล เด็กหนุ่มก็ยอมแพ้
หลินเป่ยเฉินบินกลับไปที่ตัวเมืองอีกครั้ง เขาซ่อนอยู่ในกลุ่มเมฆหนา จ้องมองลงไปจากท้องฟ้าพลางขมวดคิ้วขบคิดว่า
“ภารกิจของเราคือการสำรวจดูข้อมูลของเมืองโบราณประจำเขตตะวันตก ถ้าเราสามารถสืบรู้ได้ว่ามนุษย์เผ่านี้มีพลังการต่อสู้อยู่ในขั้นไหน มีทัศนคติอย่างไรกับคนนอก และมีจุดอ่อนทางใจอยู่ที่เรื่องอะไรบ้าง งานของกองทัพเป่ยไห่ก็น่าจะง่ายขึ้นเยอะ”
“ถ้าอย่างนั้นเราคงต้องลงไปสำรวจดูในเมืองสักหน่อยแล้ว”
“ใช้โอกาสนี้โปรยเสน่ห์ใส่ชาวเมืองเลยละกัน จะได้ไม่เสี่ยงต่อการเกิดสงครามนองเลือดในภายหลัง”
หลินเป่ยเฉินตัดสินใจได้แล้ว
แต่ทันใดนั้น เขาก็เห็นประตูเมืองฝั่งตะวันออกเปิดออกอย่างรวดเร็ว กลุ่มชาวเมือง 60 ชีวิตโดยสารเกวียนเล่มหนึ่งที่มีนกอสูรเป็นสัตว์ฉุดลากมุ่งหน้าตรงไปสู่ด้านในหุบเขา ซึ่งเป็นพื้นที่ใกล้เคียงกับไร่เกษตรกรรมนอกกำแพงเมือง…
ชาวเมืองทั้ง 60 ชีวิตนั้นประกอบไปด้วยนักรบในชุดเกราะหนังสัตว์ เช่นเดียวกับคนแก่ชราและบรรดาเด็กหนุ่มเด็กสาว
พวกเขากำลังจะออกไปเก็บเกี่ยวผลผลิต
“ใช้วิธีนี้ดีกว่า”
หลินเป่ยเฉินยิ้มออกมาเล็กน้อย ในสมองคิดแผนการบางอย่างขึ้นมาได้อีกครั้ง