ตอนที่ 971 เผ่าจันทราขาว
“เร็วเข้า เร่งมือหน่อย”
“รีบเก็บให้เร็วกว่านี้อีก”
“ก่อนที่พวกอสูรในป่าจะมาถึง เรามีเวลาเพียงสามก้านธูปเท่านั้นในการเก็บเกี่ยวผล ‘ลูกฉุย’ ให้เสร็จสิ้น โปรดจำเอาไว้ว่าจงเลือกเก็บแต่ผลที่สุกงอมแล้วเท่านั้น ห้ามเก็บผลที่ยังไม่สุกมาเด็ดขาด เมื่อครบกำหนดเวลา พวกเราจะถอนกำลังกลับทันที”
“แย่แล้ว ท่านลุงซานเยว่ กำแพงสวนฝั่งตะวันออกเขตหนึ่งถล่มลงมาตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ ผลไม้ของพวกเราทั้ง 16 ต้นถูกทำลายไม่เหลือเลย… น่าจะเป็นฝีมือของพวกหมูป่าอสูรนั่นแหละขอรับ…”
“ท่านลุงซานเยว่ กำแพงสวนเขตสามเกิดความชำรุดทรุดโทรม จำเป็นต้องได้รับการซ่อมแซมขอรับ…”
เสียงรายงานด้วยความร้อนรนดังขึ้นไม่หยุดยั้ง
ไป๋ซานเยว่แก้ไขปัญหาแต่ละอย่างด้วยความเยือกเย็น
เขาเป็นชายชราวัย 68 ปี เป็นผู้อาวุโสสูงสุดของเผ่าจันทราขาว
และเป็นผู้ดูแลฝ่ายเก็บเกี่ยวผลผลิต
ไป๋ซานเยว่ไม่มีขาซ้าย ไม่มีแขนขวาตั้งแต่ข้อศอกลงมา ใบหน้าของเขาโค้งมนราวกับทำมาจากเหล็กกล้า รอยแผลเป็นที่น่ากลัวปรากฏขึ้นบริเวณตาขวา มันเป็นรอยแผลที่เกือบทำให้กะโหลกศีรษะของชายชราต้องแตกกระจาย ไม่มีผู้ใดทราบเลยว่าไป๋ซานเยว่สามารถรอดพ้นมาจากอาการบาดเจ็บสาหัสครั้งนั้นได้อย่างไร
แน่นอนว่าท่านผู้เฒ่าไม่ได้เป็นเช่นนี้มาแต่กำเนิด
ครั้งไป๋ซานเยว่ยังหนุ่มแน่น เขาทั้งหล่อเหลาและแข็งแกร่ง เป็นหนึ่งในนักรบชื่อดังประจำเผ่า ไม่ทราบเลยว่ามีอสูรจำนวนเท่าไหร่ที่ต้องตายด้วยฤทธิ์ขวานคู่ของเขา ไป๋ซานเยว่จึงได้รับความเคารพและการสนับสนุนจากคนในเผ่าเป็นอย่างดี เขาคือยอดชายชาตรีในดวงใจของสตรีในเผ่า และช่วงเวลานั้น ไป๋ซานเยว่ก็ถูกคาดการณ์ว่าจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าเผ่าคนต่อไป
ทว่า 20 ปีก่อน เพื่อปกป้องผลผลิตทางการเกษตรของเผ่าจันทราขาว ไป๋ซานเยว่จึงต้องเสียแขนและขาไปอย่างละข้างระหว่างต่อสู้กับยักษ์ตาเดียว และนับจากนั้นเป็นต้นมา ชีวิตของไป๋ซานเยว่ก็ไม่เหมือนเดิมอีกเลย
เขานอนอยู่ในบ้านพักให้หมอผีประจำเผ่ารักษาตัวอยู่สิบวันสิบคืนเต็ม ๆ และหลังจากดื่มยาสมุนไพรไปเป็นจำนวนมาก ไป๋ซานเยว่ก็สามารถรอดชีวิตมาได้อย่างปาฏิหาริย์
แต่หลังจากนั้น เขาก็จำต้องถอนตัวออกมาจากสนามรบ และกลายเป็นเพียงผู้เฒ่าที่คอยดูแลการเพาะปลูก เก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตรและคอยฝึกสอนนักรบรุ่นใหม่ ๆ เท่านั้น
ขวานคู่ซึ่งเคยเป็นอาวุธคู่กายของไป๋ซานเยว่ก็ถูกนำไปหลอมรวมกลายเป็นอาวุธชิ้นใหม่ในมือของนักรบรุ่นต่อไปเรียบร้อยแล้ว…
แต่ชายชราไม่เคยสำนึกเสียใจ
เพียงมีชีวิตอยู่รอดมาจนถึงอายุ 68 ปีได้ในโลกที่แสนอำมหิตโหดร้ายใบนี้ ก็นับว่าไป๋ซานเยว่ได้รับการประทานพรจากองค์เทพเจ้าแห่งแดนรกร้างมากพอแล้ว
เพราะผู้คนในรุ่นเดียวกันกับไป๋ซานเยว่ล้วนตกตายไปหมดสิ้นตั้งแต่ 30 ถึง 40 ปีก่อน
ดังนั้น ชายชราจึงใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในทุก ๆ วัน
เขาทำงานหนักเพื่อให้ตนเองมีชีวิตอยู่รอด เขาอุทิศตนเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวมของเผ่าจันทราขาว ชายชราคอยช่วยเหลือคนหนุ่มคนสาวรุ่นใหม่เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่เผ่าจันทราขาวต่อไป!
ทันใดนั้น ได้ยินเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา
“ท่านปู่เจ้าคะ ยังพอมีเวลาอยู่บ้าง พวกเราไปเก็บหญ้าดาราแก้วดีหรือไม่ เมื่อวานนี้ท่านป้าตาบอดบอกว่าสมุนไพรในไหของนางใกล้หมดแล้ว…”
ไป๋เสี่ยวเซียวผู้เป็นหลานสาวคนเล็กวิ่งเข้ามาหาด้วยความกระตือรือร้น
นางเป็นเด็กสาวอายุ 14 ปี ใบหน้ารูปไข่งดงามสะสวย ผิวพรรณเกลี้ยงเกลาปราศจากราคี
ไป๋เสี่ยวเซียวได้รับมรดกความหน้าตาดีมาจากไป๋ซานเยว่สมัยหนุ่มมาไม่น้อย นางมีดวงตาเป็นประกายแวววาว จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากสีชมพูสด ร่างสูงระหงเพรียวบาง ด้วยเหตุนี้ ไป๋เสี่ยวเซียวจึงมีสถานะเป็นหนึ่งในสาวงามประจำเผ่าจันทราขาวเรียบร้อยแล้ว
ไป๋ซานเยว่รักหลานสาวคนนี้ยิ่งกว่าชีวิต
ดวงตาของเขาปรากฏความลังเลเล็กน้อย หลังจากตัดสินใจได้ เขาก็ใช้ขาข้างเดียวกระโดดขึ้นไปยืนบนกำแพงหิน และกวาดสายตามองทั่วพื้นที่นอกกำแพง เมื่อไม่เห็นร่องรอยของพวกอสูร ชายชราจึงพยักหน้ากล่าวว่า “ไปสิ รีบไปรีบกลับ อย่าออกไปไกลนัก… ระวังตัวด้วย”
ช่วงหลายวันที่ผ่านมา พื้นที่เพาะปลูกของพวกเขาเกิดปัญหาใหญ่ พืชสมุนไพรหลายชนิดในตัวเมืองเกิดภาวะเหี่ยวแห้ง ไม่เพียงพอต่อการนำไปใช้ปรุงอาหารของชาวเมือง แม้แต่ท่านหมอผีก็เริ่มวิตกกังวลแล้ว
นักรบประจำเผ่าจำนวนมากต้องออกมานอกกำแพงเมือง เพื่อเก็บสมุนไพรไปรักษาคนที่เจ็บไข้ได้ป่วย
หญ้าดาราแก้วคือหนึ่งในส่วนผสมสำคัญที่ท่านหมอผีต้องนำไปทำเป็นผงยา ต้นหญ้าชนิดนี้เป็นที่ต้องการของใครหลายคน โชคดีที่รอบ ๆ พื้นที่เพาะปลูกนอกกำแพงเมืองของพวกเขา ยังพอมีกอหญ้าดาราแก้วขึ้นอยู่ให้พวกของไป๋เสี่ยวเซียวออกไปเก็บได้บ้าง
“อิอิ ท่านปู่ไม่ต้องเป็นห่วง…”
เมื่อได้รับคำอนุญาตจากชายชรา ไป๋เสี่ยวเซียวพร้อมด้วยเพื่อนสนิทก็วิ่งออกไปนอกเขตพื้นที่เพาะปลูกเพื่อเก็บหญ้าดาราแก้วอย่างมีความสุข
พวกนางส่งเสียงหัวเราะเจื้อยแจ้ว กระโดดโลดเต้นด้วยความดีอกดีใจ ไม่ต่างไปจากนกน้อยที่ได้หลุดออกจากกรงขัง
“เสี่ยวเฉา เดือนหน้าจะมีการคัดเลือกตัวแทนไปฝึกวิชาที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ครั้งใหม่ เจ้าอยากจะลองเข้าคัดเลือกดูหรือไม่?”
“ข้าต้องเข้าคัดเลือกอยู่แล้ว ตราบใดที่พวกเราสามารถผ่านการคัดเลือกได้สำเร็จ ก็มีโอกาสที่เราจะได้พบกับท่านพี่ชินหยุนอีกครั้ง”
“เฮ้อ พูดถึงเรื่องนี้แล้วข้าก็คิดถึงท่านพี่ชินหยุนเหลือเกิน นี่นางไม่ได้กลับมาหาพวกเรานานนับปีแล้วกระมัง!”
“ข้าได้ยินพวกท่านปู่กล่าวว่าท่านพี่ชินหยุนทำได้ดีมากในแดนศักดิ์สิทธิ์ นางคือผู้ที่ถูกเลือกจากองค์เทพของพวกเรา ไม่ทราบเลยว่าอีกนานแค่ไหน กว่าที่นางจะกลับมาหาพวกเราได้อีก…”
“เมื่อคืนนี้ข้าฝันถึงท่านพี่ชินหยุนด้วยล่ะ”
“เมื่อไหร่นางจะกลับมานะ? ข้าได้ยินมาว่ามารดาของท่านพี่ชินหยุนถึงกับร้องไห้จนดวงตามืดบอดไปแล้ว…”
“เหลวไหล ท่านป้าตาบอดเพราะสมุนไพรพิษต่างหาก ท่านพี่ชินหยุนได้ไปฝึกยุทธ์อยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์ แล้วท่านป้าจะร้องไห้ทำไม?”
“โอ๊ะ ตรงนั้นมีหญ้าดาราแก้วอยู่เยอะเลย… พวกเราไปเก็บกันเถอะ”
“ดูสิ ข้าเจออะไร? นั่นมันต้นหางจระเข้นี่นา…”
เมื่อได้ค้นพบสมุนไพรเพิ่มเติม เด็กสาวทั้งสองคนก็ร่ำร้องออกมาด้วยความดีใจ
พวกนางเดินออกไปพ้นเขตปลอดภัยโดยไม่รู้ตัว
“หลานปู่ พวกเจ้าออกไปไกลเกินไปแล้วนะ รีบกลับมาได้แล้ว”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ท่านปู่ แถวนี้มีสมุนไพรขึ้นเยอะเลย พวกเรา…” ไป๋เสี่ยวเซียวยืดตัวขึ้นปาดเหงื่อออกไปจากหน้าผาก รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้า
แต่พูดมาถึงตรงนี้ สีหน้าของเด็กสาวก็ต้องเปลี่ยนไป คำพูดขาดหายอยู่ในลำคอ
เพราะว่าพื้นดินกำลังสั่นสะเทือนเล็กน้อย
ไป๋เสี่ยวเซียวไม่ทันได้ทำสิ่งใด เสียงตะโกนของไป๋ซานเยว่ก็ดังลงมาจากกำแพงหินที่อยู่ห่างไกลว่า “เร็วเข้า รีบวิ่งกลับมา… วิ่งกลับมาเดี๋ยวนี้…”
หัวใจของเด็กสาวเต้นระรัว
นางรับรู้ว่ามีบางอย่างอยู่ทางด้านหลัง ไป๋เสี่ยวเซียวหันหน้ามองกลับไปอย่างช้า ๆ พื้นดินยังคงสั่นสะเทือนไม่หยุดยั้ง
ห่างออกไปในขณะนี้ กองทัพหนูอสูรขนเหล็กจำนวนนับร้อยตัวกำลังวิ่งตะบึงพุ่งตรงมาหาพวกนางอย่างบ้าคลั่ง
หนูอสูรขนเหล็กคือหนึ่งในศัตรูอันดับหนึ่งของชาวเผ่าจันทราขาว
พวกมันที่โตเต็มวัยต่อให้ยามวิ่งด้วยสี่เท้า ก็ยังมีความสูงเท่ากับกระท่อมหินสองชั้น ขนแหลมบนแผ่นหลังชโลมไปด้วยพิษ กรงเล็บและเขี้ยวแหลมมีความแข็งแกร่งในชนิดที่ว่าสามารถกัดทะลุก้อนหินได้โดยไม่เป็นปัญหา แม้แต่กลุ่มนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าจันทราขาว ก็ยังไม่อยากเผชิญหน้ากับหนูอสูรขนเหล็กเหล่านี้…
“วิ่ง!”
ไป๋เสี่ยวเซียวร้องเตือนเพื่อนสนิทของตนเองเสียงดังสนั่น
แต่เด็กสาวไม่รู้ตัวเลยว่าเสี่ยวเฉา เพื่อนสนิทของตนเองหนีไปเก็บสมุนไพรคนเดียวตั้งแต่เมื่อไหร่ ขณะนี้ นางจึงอยู่ห่างจากฝูงหนูอสูรขนเหล็กไม่มากแล้ว…
“เสี่ยวเฉา…”
ไป๋เสี่ยวเซียวคิดอะไรไม่ออก ไม่รู้เลยว่าความกล้าหาญของตนเองมาจากไหน นางโยนตะกร้าสมุนไพรในมือทิ้งไป และวิ่งเข้าไปหาสหายรักอย่างไม่คิดชีวิต
เด็กสาวดึงตัวเพื่อนสนิทออกวิ่ง
“แย่แล้ว”
เมื่อเห็นภาพนี้ ไป๋ซานเยว่ก็ใจหายวาบ
ประสบการณ์ต่อสู้ที่โชกโชนบอกเขาว่าทั้งหลานสาวของตนเองและเด็กสาวที่ชื่อเสี่ยวเฉาคนนั้น ต่างก็ไม่มีใครช่วยเหลือใครได้ทั้งสิ้น
ต่อให้หน่วยเก็บเกี่ยวผลผลิตทั้ง 60 คนรวมตัวกันออกไปเผชิญหน้ากับหนูอสูรขนเหล็กฝูงนี้ ก็ยังไม่สามารถต้านทานพวกมันได้อยู่ดี และนี่ก็สายเกินไปที่จะร้องขอความช่วยเหลือจากในตัวเมือง
แต่โบราณกล่าวไว้ว่าเลือดย่อมข้นกว่าน้ำ ชายชราจึงตัดสินใจขั้นเด็ดขาด
“ทุกคนกลับไปหลบหลังกำแพงหิน…”
เมื่อออกคำสั่งให้คนอื่น ๆ กลับไปอยู่หลังกำแพงหินในพื้นที่เพาะปลูกเรียบร้อย ไป๋ซานเยว่ก็กระโดดลงมาจากกำแพงหินพลางระเบิดพลังลมปราณออกมาจากร่างกายที่พิกลพิการ ก่อนพุ่งตัวไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงสุด เพื่อคุ้มครองหลานสาวที่กำลังจะตกเป็นเหยื่อของฝูงหนูอสูรขนเหล็กเหล่านั้น!!