ตอนที่ 972 อัจฉริยะทางด้านภาษามือ
หูของไป๋ซานเยว่แทบไม่ได้ยินอะไรอีกแล้ว
ดวงตาของเขาจ้องมองไปที่หลานสาวของตนเอง
ชายชราจะปล่อยให้เกิดเหตุร้ายขึ้นกับเด็กสาวไม่ได้เป็นอันขาด
อย่าว่าแต่นางจะเป็นหลานสาวของเขา แต่ไป๋เสี่ยวเซียวเป็นถึงยอดหญิงงามประจำเผ่าจันทราขาว ซ้ำยังมีระดับพลังไม่ต่ำต้อย สมควรได้เข้าไปฝึกวิชาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่มาตายอยู่ที่นี่
แต่มันก็สายเกินไปเสียแล้ว
เพราะจุดที่หลานสาวสุดที่รักอยู่ในขณะนี้ ช่างห่างไกลไม่ต่างจากเส้นขอบฟ้า
ต่อให้ย้อนสภาพกลับไปเป็นหนุ่มแน่นได้อีกครั้ง ในสถานการณ์เช่นนี้ ไป๋ซานเยว่ก็คงไม่สามารถช่วยเหลือไป๋เสี่ยวเซียวออกมาจากฝูงหนูอสูรขนเหล็กได้อีกแล้ว นับประสาอะไรกับบัดนี้ที่เขามีดวงตา แขน และขา เหลืออยู่เพียงอย่างละข้างเดียวเท่านั้น?
สี่เท้าของบรรดาหนูอสูรขนเหล็กทำให้เศษฝุ่นฟุ้งตลบขึ้นไปในอากาศ พวกมันวิ่งเข้ามาถึงตัวเสี่ยวเฉาและไป๋เสี่ยวเซียวอย่างรวดเร็ว…
“ไม่นะ…”
ไป๋ซานเยว่ได้แต่ร่ำร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก
แต่จังหวะที่เด็กสาวทั้งสองคนกำลังจะถูกกลืนหายไปภายใต้ฝูงหนูปีศาจ เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันพลันเกิดขึ้น
วูบ!
รังสีกระบี่สาดประกายเจิดจ้า
พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ!
บรรดาหนูอสูรขนเหล็กที่วิ่งอยู่แถวหน้าร่างกายระเบิดกระจายกลายเป็นเศษเลือดเศษเนื้อในอากาศ
นี่มันอะไรกัน?
ไป๋ซานเยว่เบิกตาโต
และเขาก็ได้เห็นร่างของเด็กหนุ่มในชุดสีขาวผู้หนึ่งทิ้งตัวลงมาจากท้องฟ้าด้วยความเร็วราวสายฟ้าฟาด หลังจากนั้น เด็กหนุ่มลึกลับก็กระโจนเข้าไปหาเสี่ยวเฉากับไป๋เสี่ยวเซียวซึ่งกำลังนั่งกอดกันกลมบนพื้นดิน ก่อนกระชากเส้นผมของพวกนางฉุดลากลอยออกมาจากบริเวณนั้น
“กรี๊ด…”
เด็กสาวทั้งสองส่งเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจ
พวกนางไม่รับรู้เรื่องราวอันใดอีกแล้ว ทั้งสองคนรู้เพียงแต่ว่ามีใครคนหนึ่งฉุดดึงเส้นผมของตนเองและลากพวกนางออกมาจากใจกลางเขตแดนอันตราย เด็กสาวรู้สึกว่าร่างกายหมุนคว้างอย่างรวดเร็ว และเมื่อรู้ตัวอีกที ตนเองก็ถูกโยนทิ้งลงมาเบื้องหน้าไป๋ซานเยว่แล้ว
เมื่อชายชราหลุดออกจากภวังค์แห่งความตกตะลึง เขาก็รีบช่วยเหลือไป๋เสี่ยวเซียวและเสี่ยวเฉาวิ่งตรงไปทางกำแพงหินทันที
ห่างออกไป
ฝูงหนูอสูรขนเหล็กกำลังต่อสู้อยู่กับเด็กหนุ่มชุดขาวด้วยความดุเดือด
คมกระบี่สาดประกายวูบวาบ
หนูอสูรขนเหล็กล้มลงตายตัวแล้วตัวเล่า
แน่นอนว่าเด็กหนุ่มชุดขาวผู้นี้ย่อมต้องเป็นหลินเป่ยเฉิน
“พวกท่านรีบกลับไปหลบอยู่หลังกำแพง”
เขาร้องตะโกนโดยไม่มองกลับหลัง พร้อมกับสะบัดกระบี่ฆ่าฟันหนูอสูรต่อไป
“ไม่ต้องเข้ามาช่วยข้า…”
“ที่นี่อันตรายเกินไป”
“พวกท่านไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอก… ความปลอดภัยของพวกท่านสำคัญที่สุด”
หลินเป่ยเฉินร้องตะโกนไม่หยุด ทุกครั้งที่กระบี่สะบัดออกไปข้างหน้า ก็จะต้องมีหนูอสูรตกตายหนึ่งตัวเป็นอย่างน้อย
แม้ว่านี่จะเป็นสถานการณ์คับขัน แต่เด็กหนุ่มก็ยังควบคุมระดับพลังของตนเองไม่ให้สังหารฝูงหนูอสูรตายหมดในกระบี่เดียว เพราะเขาต้องการสร้างภาพลักษณ์วีรบุรุษผู้กล้าในสายตาของชาวเผ่าเหล่านี้…
แต่ไม่มีเสียงตอบรับกลับมาจากด้านหลังเลย
ความช่วยเหลือจากชาวเผ่าที่ควรมาถึงกลับไม่มา
หลินเป่ยเฉินจึงต้องหันกลับไปมองข้างหลังเล็กน้อย
ให้ตายสิ
เด็กหนุ่มโมโหจนเกือบสบถคำหยาบ
ไป๋ซานเยว่นำพาเด็กสาวทั้งสองคนไปซ่อนตัวอยู่หลังกำแพงในเขตไร่เกษตรกรรมได้เรียบร้อยแล้ว และนักรบประจำเผ่าทุกคนก็กำลังยืนจ้องมองอยู่บนกำแพงหิน แต่กลับไม่มีใครคิดเข้ามาช่วยเหลือเขาเลยสักคน…
บัดซบจริง ๆ
คนพวกนี้มีจิตสำนึกบ้างไหมเนี่ย?
นี่เขาเสี่ยงอันตรายพวกช่วยเหลือคนของชาวเผ่าอยู่นะ?
ไม่คิดเป็นห่วงชีวิตผู้มีพระคุณบ้างเลยหรือไง?
ทำไมถึงไม่มาช่วยเหลือกันบ้าง?
ถ้าอย่างนั้น นี่ก็หมายความว่าการพยายามสร้างความดีความชอบ ด้วยการช่วยเหลือสองเด็กสาวออกมาจากคมเขี้ยวของฝูงหนูอสูรก็ต้องสูญเปล่าแล้วน่ะสิ?
ถ้าทำตัวเย็นชากันขนาดนี้ แล้วหลินเป่ยเฉินจะสามารถเอาชนะใจชาวเผ่าเหล่านี้ได้อย่างไร?
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ได้ยินเสียงวัตถุมีคมพุ่งแหวกอากาศเข้ามา
ขณะนี้ หนูอสูรขนเหล็กได้ยิงเหล็กแหลมออกมาจากแผ่นหลังของมันไม่ต่างไปจากลูกธนูสุดอันตราย ประสิทธิภาพในการทำลายล้างเทียบเท่าได้กับลูกธนูเวทย์มนต์ที่หัวหน้าองครักษ์ประจำสถานทูตจักรวรรดิจี้กวงเคยใช้งาน
นี่คือไม้ตายของเจ้าหนูพวกนี้ใช่หรือไม่?
“กำแพงวายุ”
หลินเป่ยเฉินใช้วิชากระบี่ 17 คาบสมุทร ก่อสร้างกำแพงสายลมขึ้นมากำบังอยู่เบื้องหน้า
เหล็กแหลมเหล่านั้นปะทะเข้ากับกำแพงสายลมก่อนอันตรธานหายไป
ในเวลาเดียวกันนี้ กลุ่มหนูอสูรที่ยิงขนเหล็กออกมาจากบนแผ่นหลังพวกมัน ก็ล้มลงแห้งตายด้วยความรวดเร็วน่าตกใจ
เห็นได้ชัดว่าการยิงขนเหล็กออกมาคือตัวเลือกสุดท้ายในชีวิตของพวกมัน
เหมือนผึ้งที่ยิงเหล็กในออกมาได้ครั้งเดียวแล้วก็ต้องตายสินะ
หืม?
“ยิงแล้วตายเลยเหรอ ทำไมตายง่ายจังเลยวะ”
หลินเป่ยเฉินเริ่มควงกระบี่อีกครั้ง
บนกำแพงหินที่อยู่ห่างออกไป ชาวเผ่าจันทราขาวยังคงส่งเสียงโห่ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้นราวกับกำลังรับชมการแสดงละครสัตว์ก็ไม่ปาน…
คนพวกนี้ไม่มีจิตสำนึกจริง ๆ ด้วย
หลินเป่ยเฉินได้แต่สบถอยู่ในใจ
สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ผิดเพี้ยนไปจากสิ่งที่เขาคิดอย่างสิ้นเชิง
หลังจากต้องสูญเสียสมาชิกฝูงไปหลายร้อยตัว ในที่สุด หนูอสูรกลุ่มนี้ก็รับรู้แล้วว่ามนุษย์ชุดขาวที่พวกมันกำลังเผชิญหน้าอยู่มีความน่าเกรงขามมากเกินไป พวกมันส่งเสียงร้องแสบแก้วหู ก่อนจะหันหลังกลับและวิ่งหลบหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต
“อะเฮ้อ…”
หลินเป่ยเฉินอ้าปากหอบหายใจ
เลือดหนูอสูรที่เปรอะเปื้อนเต็มตัวทำให้เด็กหนุ่มคล้ายกับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส
ทันใดนั้น ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินใกล้เข้ามา
ปรากฏว่าเป็นชายชราที่มีดวงตา แขนและขาอย่างละข้าง นำพานักรบหนุ่มกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาหาหลินเป่ยเฉินอย่างช้า ๆ
เด็กหนุ่มสบโอกาสยกมือเสยผมและส่งยิ้มให้อย่างอบอุ่นไร้เดียงสา
“บูบาตะ คาราโจ้ มาย่ะ…”
ไป๋ซานเยว่พูด
หลินเป่ยเฉินกะพริบตาปริบ ๆ
ให้ตายเถอะ
ขอเขกกะโหลกตัวเองสักทีได้ไหมเนี่ย
อุตส่าห์วางแผนเสียดิบดี แต่ดันลืมนึกถึงประเด็นสำคัญไปซะได้…
หลินเป่ยเฉินเพิ่งนึกได้ว่าตนเองไม่รู้ภาษาของชาวเผ่าเหล่านี้
นี่คืออุปสรรคทางภาษา
เด็กหนุ่มยกมือปาดเหงื่อเม็ดโป้งบนหน้าผากและพูดด้วยน้ำเสียงลังเลใจว่า “ท่านกำลังพูดอะไร?”
เมื่อคำพูดของหลินเป่ยเฉินลอยไปถึงหูไป๋ซานเยว่ ชาวเผ่าจันทราขาวก็หันไปพูดคุยอะไรบางอย่างกันเล็กน้อย แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่เข้าใจคำพูดจากคนแปลกหน้าเลยสักนิด
ไป๋ซานเยว่พูดออกมาอีกครั้งว่า “กูรู ชีชาร์ ชาลาล่า…”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้ว “กูรู? ชาลาเฮ้ดชาลา นี่ลุงดูดราก้อนบอลด้วยเหรอ…”
นี่แสดงให้เห็นว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่เข้าใจภาษาของกันและกัน
ชั่วขณะหนึ่งนั้น พวกเขาได้แต่มองหน้ากันอย่างทำอะไรไม่ถูก
ในที่สุด ก็ต้องสื่อสารด้วยการแสดงท่าทางภาษาใบ้
“ข้าคือบุรุษหนุ่มรูปงามที่สุดในจักรวรรดิเป่ยไห่ มีพลังอยู่ในขั้นเซียน ข้าพลัดหลงเข้ามาในดินแดนแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ…”
หลินเป่ยเฉินพยายามส่งภาษามืออย่างสุดความสามารถ
ในฐานะของผู้อาวุโสประจำเผ่าจันทราขาวและได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ที่มีสติปัญญาเฉียบแหลมมากที่สุดเสมอมา เมื่อไป๋ซานเยว่มองภาษามือของหลินเป่ยเฉิน ดวงตาของเขาที่เหลืออยู่เพียงข้างเดียวก็เป็นประกายแวววาว
ชายชรารีบหันไปยกมือป้องปากตะโกนบอกผู้คนทางกำแพงหินว่า “ไม่ต้องตกใจ เขาบอกว่าตนเองเป็นทาสรับใช้ตระกูลใหญ่ที่หลบหนีมาจากดินแดนภายนอก และพลัดหลงเข้ามาในดินแดนของพวกเราโดยไม่ได้ตั้งใจ…”
ชาวเผ่าบนกำแพงหินพากันถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
บางคนถึงกับโบกมือทักทายหลินเป่ยเฉินด้วยความสงสาร
เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ทาสรับใช้จากตระกูลใหญ่เคยหลบหนีเข้ามาในดินแดนของชาวเผ่าจันทราขาวไม่น้อย แต่ด้วยความที่สภาพแวดล้อมของที่นี่แห้งแล้งมากเกินไป กลุ่มคนเหล่านั้นจึงอพยพออกไปอยู่ที่อื่นหมดสิ้น…
เอ๊ะ?
เหมือนจะเข้าใจแล้วใช่ไหมนะ?
หลินเป่ยเฉินยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
เขานี่มันเป็นอัจฉริยะทางด้านภาษามือจริง ๆ
“ข้ามาที่นี่อย่างเป็นมิตร…”
เด็กหนุ่มยังคงพยายามใช้ภาษาใบ้สื่อสารต่อไป
ไป๋ซานเยว่มองการทำท่าทางของคนแปลกหน้าและพูดว่า “เขาบอกว่าเขากำลังหิวมาก…”
หลินเป่ยเฉินใช้ภาษามืออย่างต่อเนื่อง “ข้าขอเข้าไปเยี่ยมชมเมืองของท่านได้หรือไม่?”
ไป๋ซานเยว่เข้าใจความหมายได้อย่างรวดเร็ว “เขาบอกว่าปีนี้ตนเองมีอายุได้ 35 ปีแล้ว…”
หลินเป่ยเฉินส่งภาษามือไม่หยุดยั้ง “ข้าเป็นคนดี โปรดมั่นใจได้เลยว่าข้าไม่ทำอันตรายพวกท่านแน่นอน…”
ไป๋ซานเยว่แปลข้อความด้วยความมั่นใจ “เขาบอกว่าตนเองแซ่จู…”