ตอนที่ 1023: หัวหน้านิกายมาถึง
ผู้พิทักษ์จักรพรรดิจากอาณาจักรหลงฉียินดีทันทีหลังจากที่เขาได้ยินที่หลัวโตวพูด เขารีบป้องมือออกไปแล้วพูดว่า “ในเมื่อพวกเราไม่ต้องกลัวนิกายดาบโลหิตอีกต่อไปแล้ว ทำไมพวกเราต้องหยุดแค่ตรงนี้ ? พวกเราสามารถถอนรากถอนโคนนิกายดาบโลหิตและแก้แค้นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อพันปีก่อนได้”
สายตาของหลัวโตวเป็นประกายเย็นชาทันที เขาก้มหัวลงคิดแล้วพูด “หัวหน้านิกายฮุสตันยังไม่ตาย ดังนั้นเรายังจัดการพวกเขาไม่ได้ ไม่เช่นนั้นฮุสตันก็จะต่อต้านด้วยทุกอย่างที่เขามี แม้ว่าเขาจะต้องตาย ถ้าเซียนราชาขั้นสูงสุดทุ่มชีวิตเพื่อล้างแค้นพวกเรา มันคงจะเป็นหายนะที่สามารถทำลายจักรวรรดิเฟยลี่ได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าพวกเราแค่ฆ่าเซียนผู้คุมกฎที่อยู่ในอาณาจักรหลงฉี มันก็น่าจะไม่เป็นอะไร”
พลังแห่งการมีอยู่ทั้งหมดของหลัวโตวเปลี่ยนไป ตาของเขาเปิดออกและเขาก็จ้องไปที่ผู้พิทักษ์จักรพรรดิที่ยินอยู่อย่างสุภาพอย่างรวดเร็ว จากนั้นหลัวโตวก็พูดอย่างจริงจัง “กลับไปที่อาณาจักรหลงฉีทันทีและสอดแนมการเคลื่อนไหวของจอมยุทธจากนิกายดาบโลหิตเผื่อเอาไว้ ข้าต้องไปพบผู้พิทักษ์จักรพรรดิของจักรวรรดิคนอื่นก่อนที่ข้าจะไปจัดการพวกนั้น”
“รับทราบ ! “
ผู้พิทักษ์จักรพรรดิกลับผ่านประตูมิติไปที่อาณาจักรหลงฉีทันที ในขณะที่หลัวโตวก็ไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขาเข้าไปที่ส่วนต้องห้ามลึกเข้าไปในพระราชวังในขณะที่จิตสังหารเป็นประกายที่ตาของเขาเป็นครั้งคราว “น้องข้า มันก็เป็นพันปีแล้วที่เจ้าตายด้วยน้ำมือของนิกายดาบโลหิต พี่ไม่สามารถแก้แค้นให้เจ้าได้ในตอนนั้น แต่ในตอนนี้โอกาสได้มาถึงแล้ว พี่สาบานว่าจักรวรรดิเฟยลี่จะทำทุกอย่างเพื่อที่จะล้างบางนิกายดาบโลหิตไปซะหลังจากที่ฮุสตันตายไปแล้ว ข้าจะแก้แค้นให้เจ้า”
ในตอนนั้น หลัวโตวมีทางเลือกที่จะอยู่ที่อาณาจักรหลงฉีหลังจากที่เขาสำเร็จเป็นเซียนราชาแล้ว เขาสามารถทำให้ฐานะของอาณาจักรรุ่งโรจน์ขึ้นมาได้ อย่างไรก็ตาม เขาเลือกที่จะมาที่จักรวรรดิเฟยลี่ในฐานะผู้พิทักษ์จักรพรรดิอย่างไม่ลังเล ด้วยเหตุผลที่สำคัญที่สุดคือเรื่องนิกายดาบโลหิต เขาต้องการที่จะใช้จักรวรรดิเฟยลี่เพื่อที่จะกำจัดนิกายดาบโลหิต
ในอาณาจักรหลงฉี ผู้พิทักษ์จักรพรรดิได้นำคำสั่งของหลัวโตวกลับมาจากจักรวรรดิเฟยลี่ ดังนั้น ผู้พิทักษ์ทั้งสี่จึงไม่ได้ไปสร้างความวุ่นวายให้ผู้พิทักษ์ทั้งสี่อีก แทนที่กัน พวกเขาอยู่ในพระราชวัง ในขณะที่พวกเขาสัมผัสถึงพลังแห่งการมีอยู่ของผู้พิทักษ์ พวกเขาสังเกตการเคลื่อนไหวของทั้งสี่อยู่ตลอดเวลา
อย่างไรก็ตาม ทั้งสี่พลาดที่จะสังเกตถึงแขกที่ไม่ได้รับเชิญสองคนที่ปรากฎอยู่ในพระราชวังและกำลังซ่อนตัวอยู่ในที่ที่แยกออกไป
ในพริบตาเดียวสองวันก็ผ่านไป มันสงบสุขมากในช่วงเวลานี้ และเมืองหลวงของอาณาจักรหลงฉีก็เป็นปกติ คนเคลื่อนไปมาในถนนที่พลุกพล่านและเสียงดัง มันมีชีวิตชีวามาก
ในตอนนี้เอง เสียงลมหลายเสียงก็ดังขึ้นมา ร่างหลายร่างได้เข้าใกล้มาที่เมืองหลวงแต่ไกล พวกเขาเคลื่อนที่ไวมากและมาถึงที่กลางอากาศของเมือง แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ที่เส้นขอบฟ้าก่อนหน้านี้เพียงวินาทีเดียว
“พวกเขาอยู่ในเมืองนี้” หนุ่มที่หล่อที่อยู่ในชุดดำมากพูดออกมา ดูอายุยี่สิบกว่า เขาถือลูกธนูสีแดงเลือดเอาไว้ ในขณะที่สายตาของเขาแหลมคมเหมือนดาบที่ชักออกจากฝัก เขากวาดสายตามองไปที่เมือง
พวกเขาคือ เจี้ยนเฉิน รุยจิน เฮยยู่ และหงเหลียน หลังจากกลายวันของการเดินทาง ทั้งสี่ก็ข้ามทวีปมาไกลและมาตามทิศทางที่ลูกธนูชี้มา
แม้ว่าพวกเขาทั้งหมดจะบินมา และมีเพียงเจี้ยนเฉินก็ไม่ใช่เซียนราชาในรับสูงสุด แต่ความเข้าใจในมิติของเขาในมิติของพวกเขาก็อยู่ในระดับที่เยี่ยมมาก พวกเขาเดินทางโดยใช้พลังมิติ แม้ว่ามันจะไม่สามารถเดินทางได้หลายล้านกิโลเมตรในก้าวเดียวเหมือนประตูมิติ แต่พวกเขาก็ยังคงเร็วอย่างเหลือเชื่อ
ดังนั้น เจี้ยนเฉินจึงใช้เวลาน้อยมากในการเดินทางมากกว่าสิบล้านกิโลเมตรจากเมืองทหารรับจ้างมาโดยมีรุยจินที่แบกเขาเอาไว้
ทันทีที่ทั้งสี่มาถึงบนอากาศของเมือง ผู้พิทักษ์ทั้งสี่ก็ลืมตาขึ้นพร้อมกันและตื่นจากการทำสมาธิ หนึ่งในนั้นพูดออกมา “ข้าสัมผัสได้ถึงพลังแห่งการมีอยู่ของเครื่องหมายดาบโลหิต หัวหน้านิกายคนใหม่มาแล้ว พวกเราไปต้อนรับเขาเร็ว”
ร่างทั้งสี่บินออกไปจากหน้าต่างเป็นภาพราง ๆ สีแดง พวกเขาปรากฏขึ้นในอากาศเหมือนผีและเผชิญหน้ากับเจี้ยนเฉิน
ในตอนแรกทั้งสี่พุ่งความสนใจไปที่ลูกธนูที่อยู่ในมือของเจี้ยนเฉิน ก่อนที่พวกเขาจะมองไปที่เจี้ยนเฉินช้า ๆ พวกเขาอึ้งเมื่อจำเจี้ยนเฉินได้ สายตาของพวกเขาว่างเปล่า พวกเขาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
ไม่มีใครคิดว่าสำนักคนใหม่จะไม่ใช่สมาชิกระดับสูงในนิกาย แต่เป็นเด็กหนุ่มเจี้ยนเฉินคนนี้
เจี้ยนเฉินยังคงปกติ เขามองผ่านไปที่ผู้พิทักษ์ทั้งสี่ก่อนที่จะประสานมือไปที่พวกเขา “ข้าคือเจี้ยนเฉิน ข้าขอขอบคุณผู้พิทักษ์ ! “
เจี้ยนเฉินยังคงรู้สึกเป็นบุณคุณกับผู้พิทักษ์ทั้งสี่ เขาไม่ลืมว่าทั้งสี่คนนี้มาถึงตอนตระกูลเจียงหยางกำลังเกิดเรื่อง พวกเขาป้องกันตระกูลไม่ให้สูญเสียไปมากกว่านี้ ชายชราซิตูและพวกของเขาอาจจะถล่มตระกูลไปแล้ว คนที่พวกเขาทำร้ายคงจะไม่ใช่แค่เจียงหยางป้าและไป๋หยุนเทียนแน่
ผู้พิทักษ์ทั้งสี่ได้สติอย่างเร็ว การปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างสุภาพของเจี้ยนเฉินทำให้ทั้งสี่ประหลาดใจ พวกเขาไม่ลังเลและคุกเข่าลงหนึ่งข้างพร้อมกันแล้วร้องออกมา “ผู้พิทักษ์ทั้งสี่ของนิกายดาบโลหิตขอคารวะท่านหัวหน้านิกาย ! “
“อะไรนะ? หัวหน้านิกาย ? ” เจี้ยนเฉินก็อึ้งจากที่ทั้งสี่คนเรียกเขา แต่เขาก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว อาจจะมีกฎของนิกายดาบโลหิตที่ว่าเจ้าของของลูกธนูนี้เทียบเท่ากับหัวหน้านิกาย เขากำลังครอบครองมันอยู่ ผู้พิทักษ์ทั้งสี่จึงนับเอาเขาเป็นหัวหน้านิกายโดยปริยาย
“โปรดอย่างเข้าใจผิด ผู้พิทักษ์ ข้าไม่ใช่หัวหน้านิกายของพวกเจ้า ลุงเซียวให้ข้ายืมลูกธนูนี้เท่านั้น เขาตั้งใจให้ข้าใช้มันในการตามหาพวกเจ้า” เจี้ยนเฉินรับอธิบายในขณะที่เขาคิด “ข้าคิดว่าฮุสตันคือชื่อเดิมของลุงเซียว เจ้าเป็นที่รู้จักในฐานะหัวหน้านิกายดาบโลหิต เขาอาจจะเปลี่ยนแซ่หลังจากที่ถอนตัวออกมาจากทวีปเมื่อพันปีก่อน เพราะว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อพันปีก่อนนั้นมีผลกระทบกับลุงเซียวมาก”
ผู้พิทักษ์ทั้งสี่ไม่ได้ยืนขึ้น หนึ่งในนั้นก้มหัวแล้วพูดออกมา “หัวหน้านิกายคนก่อนได้ติดต่อพวกเราผ่านทักษะลับเพื่อที่จะแจ้งพวกเราว่าเขาลงจากตำแหน่งแล้ว และคนที่ครอบครองลูกธนูจะเป็นหัวหน้านิกายคนใหม่ของนิกายดาบโลหิต ทุกคนต้องเชื่ฟังการตัดสินใจและคำสั่งของหัวหน้านิกายอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง”
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ ? ลุงเซียวส่งมอบตำแหน่งหัวหน้านิกายมาให้ข้า ? ” ครั้งนี้ คนที่ประหลาดใจกลับเป็นเจี้ยนเฉิน ผู้พิทักษ์ทั้งสี่อธิบายออกมาอย่างชัดเจน ดังนั้น ไม่ว่าเจี้ยนเฉินจะสับสนเพียงใด เขาก็ต้องเข้าใจว่าลุงเซียวได้ส่งตำแหน่งหัวหน้านิกายมาให้กับเขาแล้ว
มันแค่ว่าข่าวนี้มันกะทันหันเกินไป ซึ่งทำให้เจี้ยนเฉินยากที่จะยอมรับได้สักพัก เขาไม่คิดว่าสถานะของเขาจะเปลี่ยนไปมากมายขนาดนี้ในตอนที่เขารับลูธนูมาจากลุงเซียว เขาไม่คิดว่าเขาจะได้มากลายเป็นหัวหน้านิกายดาบโลหิตโดยไม่รู้ตัว
นิกายดาบโลหิตเป็นหนึ่งในสามองค์กรลอบสังหารที่ยิ่งใหญ่ที่สามารถสั่นคลอนทวีปเทียนหยวนได้ มันไม่สามารถถูกบ่อนทำลายได้ แม้ว่า มันจะเทียบไม่ได้กับตระกูลผู้พิทักษ์ แต่มันก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าตระกูลโบราณ
“ผู้พิทักษ์ทั้งสี่รออยู่หัวหน้านิกายคนใหม่ที่นี่ภายใต้คำสั่งของหัวหน้านิกายคนก่อน เช่นเดียวกับคอยจับตามองคนทรยศทั้งสองอยู่อย่างระมัดระวัง ได้โปรดออกคำสั่งต่อไปด้วย” ผู้พิทักษ์ทั้งสี่พูดออกมาพร้อมกัน เหมือนว่าจิตใจของพวกเขาเชื่อมต่อกัน
เจี้ยนเฉินคิดอยู่อย่างเงียบ ๆ คนร้ายที่ฆ่าพ่อแม่ของเขาอยู่ที่นี่ในตอนนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะไปยุ่งกับเรื่องหัวหน้านิกาย ดังนั้น เขาจึงเอาเรื่องนี้ไว้ก่อนแล้วพูดออกมา “พวกเจ้ารู้ว่าคนทรยศทั้งสองอยู่ที่ไหนหรือไม่ในตอนนี้ ? เจ้ายังไม่ได้สังหารทั้งสองคนนี้หลังจากไล่ตามมาหลายปีแล้วอย่างนั้นหรือ?”
“ท่านหัวหน้านิกาย ทั้งสองซ่อนอยู่ในพระราชวังในตอนนี้ หัวหน้านิกายคนก่อนสั่งมาเมื่อหลายปีก่อนว่าให้พวกเราไล่ตามแต่ไม่ให้ฆ่าหรือทำให้บาดเจ็บหรือจับกุม ดังนั้นพวกนั้นทั้งสองจึงยังมีชีวิตอยู่” ผู้พิทักษ์พูดออกมา
“เป็นแบบนั้นเอง” เจี้ยนเฉินเข้าใจ หลังจากนั้น เขาก็มองไปที่พระราชวังที่โอ่อ่าแล้วพูด “ไปกันเถอะ ไปที่พระราชวังกับข้า” ในขณะที่พูด เจี้ยนเฉินก็นำหน้าและบินออกไปก่อน ในขณะที่รุยจินและอีกทั้งสองคนก็ตามหลังเขาไปใกล้ ๆ หลังจากพวกเขาก็มีผู้พิทักษ์ที่บินไปข้าง ๆ กัน
กลุ่มของเจี้ยนเฉินมาถึงด้านนอกของพระราชวังอย่างรวดเร็ว จากนั้นพวกเขาก็บินไปที่พื้นที่เหนือมัน พวกเขาหยุดอยู่ที่กึ่งกลางของพระราชวังและลอยอยู่หลายร้อยเมตรในอากาศ ในขณะที่พวกเขามองไปที่พระราชวังที่ตกแต่งอย่างดี
“นิกายดาบโลหิต เจ้าทำเกินไปแล้วที่รุกเข้ามาในน่านฟ้าของพระราชวัง เจ้าคิดว่าอาณาจักรหลงฉีของข้าไม่มีความหมายเลยอย่างนั้นหรือ ? ” เสียงโกรธเกรี้ยวระเบิดออกมาจากด้านล่าง แม้ว่ามันจะดูโบราณ แต่มันก็เต็มไปด้วยความกระฉับกระเฉงและดังสะท้อนไปทั่วรอบ ๆ
ชายชราผิวเลือดฝาดสองคนบินออกมาจากพระราชวังหลังจากพูดจบ พวกเขาพุ่งไปในอากาศด้วยความเร็วดุจสายฟ้าและพลังแห่งการมีอยู่ที่มหาศาล พวกเขาเผชิญหน้ากับกลุ่มของเจี้ยนเฉินห่างออกไป 100 เมตร
เสียงของผู้พิทักษ์จักรพรรดิทำลายความสงบสุขของพระราชวัง และมันก็วุ่นวายขึ้นมาในทันที ยามรักษาการณ์จำนวนมากพุ่งออกมาจากที่ต่าง ๆ ในพระราชวัง แต่เมื่อพวกเขาเห็นศัตรูที่อยู่ในอากาศ พวกเขาก็อึ้งไปทันที สิ่งที่พวกเขาทำได้ทั้งหมดมีเพียงคอยดูอยู่อย่างกังวล