ส่วนที่ 6 ภาคลมประจิมรุนแรง ตอนที่ 40 จากกันใต้ดอกท้อนอกอารามนางชี

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

กลุ่มที่สองที่จากไปมีขนาดใหญ่สุด

การที่ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังยอมรับที่จะอยู่ห่างจากความขัดแย้งระหว่างราชสำนักกับนิกายหลวงก็นับว่าเป็นสิ่งดีที่สุดที่พระราชวังหลีจะมุ่งหมายแล้ว

มหามุขนายกอันหลินกับราชันย์แห่งหลิงไห่นำทหารม้านิกายหลวงหลายพันนายกลับไปยังจิงตูเพื่อรับมือกับสถานการณ์ใหม่

ราชันย์แห่งหลิงไห่ถาม “พระองค์จะกลับเมื่อใด”

เฉินฉางเซิงตอบ “วันใดที่ข้าควรกลับข้าก็จะกลับ”

ราชันย์แห่งหลิงไห่กับอันหลินจากไป ฝุ่นผงฟุ้งขจรบนทุ่งหญ้าทางเหนือค่อยๆ ปกคลุมเมืองเก่านี้

เมื่อเขามองไกลออกไป ถังซานสือลิ่วก็พลันกล่าวขึ้น “อย่าเชื่อว่าประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังจะรักษาความเป็นกลางไปได้ตลอด เขาจงใจปล่อยฉูซูไปในวันนั้น”

ตอนนี้เฉินฉางเซิงได้รับรู้รายละเอียดในการต่อสู้ริมฝั่งแม่น้ำเวิ่นสุ่ยมาบ้างแล้ว ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าบอกว่าเขาเข้าใจ

คนห้าเหล่าของตระกูลถังน่ากลัวอย่างแท้จริง และพวกเขาก็ต่อสู้อยู่ในเมืองเวิ่นสุ่ย ไม่ว่าฉูซูจะแข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่มีเหตุผลที่จะหนีรอดไปได้

“เมื่อนักเล่นฉินตาบอดคือผู้ผู้อาวุโสใหญ่พรรคฉางเซิงคนก่อน ก็พอเข้าใจได้ที่เขาจะใจอ่อน”

ผู้พูดคือมหามุขนายกแห่งเวิ่นสุ่ย

ในฐานะบุคคลระดับสูงสุดของนิกายหลวงในเมืองเวิ่นสุ่ย เขาย่อมมีบทบาทสำคัญอย่างมากในเรื่องนี้และทำได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่ง

ตระกูลถังย่อมไม่ระบายความโกรธลงที่เขา แต่หากเขายังอยู่ในอารามเต๋าเมืองเวิ่นสุ่ย ตระกูลถังย่อมพบว่าเขาเป็นที่ระคายตา เฉินฉางเซิงกับราชันย์แห่งหลิงไห่ก็เห็นพ้องต้องกันว่าพระราชวังหลีจะส่งมหามุขนายกคนใหม่มาทำหน้าที่ในเมืองเวิ่นสุ่ย ปัญหาในตอนนี้ก็คือจัดการเรื่องต่างๆ ให้กับมหามุขนายกคนก่อน

ว่าตามเหตุผล เมื่อมหามุขนายกแห่งเวิ่นสุ่ยได้สร้างคุณงามความดีต่อนิกายหลวง เขาก็มีสิทธิ์กลับจิงตูไปรับตำแหน่งที่ทรงเกียรติยิ่งกว่า อย่างไรก็ตามเขาเป็นคนฆ่านักพรตไป๋สือด้วยตัวเอง ดังนั้นหากเขากลับไปจิงตู ก็ต้องเป็นที่ขัดตาสำหรับบางคนในนิกายหลวงและพบกับความยากลำบากมากมาย ส่งผลให้เฉินฉางเซิงยังไม่ตัดสินใจ

“เรากำลังจะไปแล้ว เจ้าคิดเสร็จหรือยัง” เฉินฉางเซิงถามมหามุขนายก

มหามุขนายกแห่งเวิ่นสุ่ยตอบ “ผู้น้อยแค่หวังจะติดตามอยู่ข้างกายพระองค์”

ถังซานสือลิ่วกล่าว “ตำแหน่งนี้ดีกว่าตำแหน่งใดในพระราชวังหลีจริงๆ”

สำหรับคนในนิกายหลวง ตำแหน่งดีที่สุดย่อมเป็นตำแหน่งที่ใกล้ชิดองค์สังฆราชที่สุด

ไม่ว่าสังฆราชจะอยู่ในแดนใต้ แดนเหนือหรือพรมแดนห่างไกลทางตะวันตก ตราบใดที่ยังอยู่ข้างกายเขาตลอดปี ก็แน่ใจได้ว่าจะได้รับผลประโยชน์อย่างใหญ่หลวง

มหามุขนายกยิ้มจางๆ สีหน้าอ่อนน้อม เขาไม่ได้ปฏิเสธคำพูดของถังซานสือลิ่ว “ท่านพูดมีเหตุผล”

ถังซานสือลิ่วมองดูเขาแล้วถาม “ตำแหน่งนี้เป็นทางลัดสู่ตำแหน่งอื่น แล้วตำแหน่งใดที่ท่านต้องการที่สุด”

มหามุขนายกแห่งเวิ่นสุ่ยตอบอย่างจริงใจ “ข้าไม่มีหวังจะเข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ได้ในชีวิตนี้ ข้าได้แต่หวังว่าก่อนจะกลับคืนสู่ทะเลดวงดาว ข้าจะได้เป็นหนึ่งในผู้ยิ่งใหญ่”

ถังซานสือลิ่วถามอย่างสนใจ “วิหารศักดิ์สิทธิ์ใด”

“ตำหนักหญ้าจันทรา”

มหามุขนายกแห่งเวิ่นสุ่ยตอบคำถามอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าเขาคิดเรื่องนี้มาเป็นเวลานานแล้ว

ถังซานสือลิ่วอดยิ้มให้กับคำตอบนี้ไม่ได้

ตำหนักหญ้าจันทราเป็นหนึ่งในหกวิหารศักดิ์สิทธิ์ของพระราชวังหลี ที่อยู่ของมหามุขนายกวิหารปฏิญญา

อดีตมหามุขนายกวิหารปฏิญญาคือมู่จิ่วซือที่ถูกสังฆราชขับออกจากนิกายหลวง หลังจากนั้นตำหนักหญ้าจันทราก็ไร้เจ้าของ

เป้าหมายของมหามุขนายกนั้นชัดเจนมากและยังมีเหตุผลอย่างมาก

“ข้าค่อนข้างชื่นชมท่าน ขอทราบนามสูงส่งได้หรือไม่” ถังซานสือลิ่วถาม

มหามุขนายกเป็นตำแหน่งสูงสุดของตัวแทนนิกายหลวงในเวิ่นสุ่ยและอยู่ในเมืองเวิ่นสุ่ยมาหลายปี แต่กระนั้นถังซานสือลิ่วก็ยังไม่รู้จักชื่อเขา

มหามุขนายกยิ้มตอบ “ประมุขผู้เฒ่าเรียกข้าว่าเสี่ยวฮู่ ท่านเรียกข้าแบบนี้ก็ได้”

ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังจะเรียกเขาแบบไหนก็ได้ตามใจ แต่ถังซานสือลิ่วไม่มีสิทธิ์เช่นนั้น เขาถามด้วยความลังเลอยู่บ้าง “เสี่ยวหู?”

“ฮู่ ฮู่ที่แปลว่าครอบครัว” เฉินฉางเซิงแทรกขึ้น “เขาชื่อว่าฮู่ซานสือเอ้อร์”

ดวงตาของถังซานสือลิ่วเป็นประกายเมื่อได้ยินชื่อนี้ เขาชื่นชอบชื่อนี้จึงถาม “ชื่อดี เป็นตำแหน่งของท่านในตระกูลอย่างนั้นหรือ”

“ตอนที่ข้ายังเด็ก ที่ที่ข้าอาศัยอยู่เกิดแผ่นดินไหว ทั่วทั้งหมู่บ้านเหลือแค่สามสิบสองครอบครัวเท่านั้น ทุกคนในครอบครัวข้าตายไป เหลือข้ารอดชีวิตแค่คนเดียวเท่านั้น ดังนั้นข้าเลยถูกเลี้ยงขึ้นมาโดยสามสิบสองครอบครัวนั้น” มหามุขนายกเสริม “ข้าตั้งชื่อตัวเองเช่นนี้เพื่อเตือนตัวเองว่ามีชีวิตอยู่นั้นไม่ง่ายเลย ดังนั้นข้าต้องไม่ตายเร็วเกินไป”

……

……

พวกเขาออกจากเมืองเวิ่นสุ่ย มุ่งหน้าไปทางตะวันออกเฉียงใต้ ภูเขาตั้งอยู่ตรงหน้าสายตาพวกเขา

แม้อยู่กลางฤดูหนาวแล้ว มีหิมะตกมาตลอดสองวันที่ผ่านมา ทว่าภูเขานี้ก็ยังเขียวชอุ่ม

ภูเขานี้ไม่สูงนัก ระหว่างไม้เขียวมีดอกท้อเบ่งบานอยู่

น่าจะมีน้ำพุร้อนอยู่บนเขานี้ ไม่เช่นนั้นก็ต้องมีค่ายกลเหมือนกับในอารามเต๋าเมืองเวิ่นสุ่ย

เฉินฉางเซิงเห็นดอกท้อและต้นไม้เขียวบนภูเขา ก็นึกถึงปีนั้นที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวแต่ก็สงบสุขบนเทือกเขาหิมะ เขาเริ่มรู้สึกเป็นห่วงมังกรดำน้อยขึ้นมาเล็กน้อย

เขาไม่รู้ว่าการเดินทางไปตะวันตกของนางจะเป็นไปอย่างราบรื่นหรือไม่

สามารถเห็นหลังคาอารามเต๋าอยู่ระหว่างต้นไม้กับดอกท้อ

ถังซานสือลิ่วมองไปอย่างเงียบงัน

เฉินฉางเซิงถาม “นี่คืออารามนางชีจีหมิงใช่ไหม”

ถังซานสือลิ่วพยักหน้าเงียบๆ

เป็นเช่นนี้ อาหญิงของเขาก็น่าจะอยู่ในอารามนี้

“เคยพบกันไหม” เฉินฉางเซิงถาม

ถังซานสือลิ่วส่ายหน้า แต่หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งก็พยักหน้า

“ตอนข้ายังเด็ก ข้าไม่เข้าใจมากนัก แต่ข้าจำเรื่องนี้ได้เสมอ ข้าแอบมาที่ภูเขานี้เพื่อดูแล้วจากนั้นข้าก็พบ…”

เกิดอะไรขึ้นหลังพวกเขาพบกัน นางจำเขาได้หรือไม่ พวกเขาพูดคุยกันหรือไม่

มันเป็นการพบกันแค่ครั้งเดียว หรือว่ายังมีการพบเจอกันที่ดูเหมือนจะไม่ตั้งใจแต่ที่จริงแล้วเป็นการจัดเตรียมอย่างบรรจง เขาหยุดพูดไป เพื่อความปลอดภัยและชีวิตที่สงบสุขของผู้หญิงในอาราม พวกเขาไม่พบกันจะดีที่สุดหรือไม่แม้แต่จะพูดถึงนางใช่หรือไม่ ถ้าเช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ไม่ควรพบกันอีกใช่ไหม

……

……

หลังจากไหลไปทางตะวันออกเฉียงใต้สามสิบกว่าลี้ แม่น้ำเวิ่นสุ่ยก็จะไหลเข้าสู่แม่น้ำเฮิ่นเหอ เสียนามของตนไป

แม่น้ำเฮิ่นเหอเป็นหนึ่งในแม่น้ำที่มีชื่อเสียงที่สุดของต้าลู่ มีต้นกำเนิดจากส่วนลึกของสุสานเมฆา หลังจากไหลผ่านดินแดนอุดมสมบูรณ์ตอนใต้และผ่านเทือกเขาลั่วเหมย รับน้ำจากสาขามากมายก่อให้เกิดกระแสน้ำยิ่งใหญ่ แต่หากเดินทวนน้ำขึ้นไป เดินผ่านโกรกธารที่แม่น้ำนี่ไหลผ่าน จึงจะได้เห็นภาพอันน่าอัศจรรย์ที่แท้จริง

พวกของเฉินฉางเซิงเดินทางอยู่ในโกรกธารนี้ มีภูเขาสูงแทงเข้าสู่ชั้นเมฆอยู่สองฝากฝั่ง ป่าไม้แน่นขนัดยากจะพบเห็นผู้คน มีแต่เสียงร้องของลิงค่าง ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องถูกตามหรือว่ากังวลเรื่องความปลอดภัย นี่ไม่ใช่ชายแดนเหนือ ดังนั้นพวกเขาไม่มีทางพบกับยอดฝีมือเผ่ามารและยากที่จะรวบกำลังคนจำนวนมากได้ ที่นี่ไม่ใช่เมืองเวิ่นสุ่ยที่เต็มไปด้วยยอดฝีมือนับไม่ถ้วน

ยิ่งเดินทางทวนน้ำขึ้นไปไกลเท่าไร ผนังโกรกธารก็ชันขึ้นเท่านั้น น้ำในแม่น้ำก็เชี่ยวกรากมากขึ้น เสียงน้ำดังกระหึ่มราวกับฟ้าร้องก้องหู เมื่อพวกเขาเดินทางทวนน้ำขึ้นไป โกรกธารก็ค่อยๆ มีร่องรอยของการตั้งถิ่นฐาน อย่างไรก็ตาม พวกเขาเดินทางครึ่งวันก็เห็นแค่บ้านไม่กี่หลังเท่านั้น พื้นที่ส่วนใหญ่ที่ได้เห็นล้วนรกร้างว่างเปล่า

ก่อนที่ฮู่ซานสือเอ้อร์จะกลายมาเป็นมหามุขนายกแห่งเวิ่นสุ่ย เขาเคยเทศน์อยู่ในโกรกธารนี้เป็นเวลาหลายปี ดังนั้นเขาจึงมีความเข้าใจในผู้คนและธรรมเนียมในพื้นที่นี้อย่างลึกซึ้ง เขาเล่าเรื่องนี้ระหว่างการเดินทางดังนั้นเมื่อเฉินฉางเซิงกับถังซานสือลิ่วรับฟังในขณะที่มองไปยังภาพของสองฝั่งแม่น้ำ พวกเขาย่อมไม่รู้สึกเบื่อแต่อย่างใด หนานเค่อตามมาด้วยสีหน้าสับสน มือนางดึงเสื้อของเฉินฉางเซิงไว้ ยากที่จะบอกได้ว่านางเข้าใจสิ่งที่พูดกันหรือไม่ เจ๋อซิ่วมองดูป่าเขาโดยรอบอย่างระแวดระวัง มองหาร่องรอยการเคลื่อนไหว ไม่มีความสนใจจะร่วมการพูดคุยนี้

ตราบใดที่มีคนก็ต้องพบเห็นคนของนิกายหลวง ทำให้พวกเขาได้รับข่าวสาร

เมื่อมาถึงทางข้ามน้ำตามธรรมชาติ พวกเขาก็ได้รับข่าวล่าสุด

สองวันก่อน มีคนเห็นสัตว์อสูรตัวเปียกโชกฆ่าเด็กเลี้ยงแกะสองคนกินนอกเมืองเฟิ่งหยาง