ส่วนที่ 6 ภาคลมประจิมรุนแรง ตอนที่ 39 ฝั่งนั้นช่างมืดมิด

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

“ข้ามีอาหญิงที่ถูกเลี้ยงอยู่ในอารามนางชี ท่านปู่ต้องการจะทิ้งทางถอยไว้ให้ตระกูลถัง หรือบางทีต้องการจะปกป้องความปลอดภัยของนาง จึงไม่กล้าให้ใครรู้ แต่ตอนข้ายังเด็ก เขาชอบเอาข้าวางไว้บนตักและเล่าเรื่องมากมายให้ข้าฟัง เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องหนึ่งในนั้นแต่เขาคิดว่าตอนนั้นข้ายังเด็กเกินไป เขาไม่รู้เลยว่าข้าจดจำได้ทั้งหมด”

ถังซานสือลิ่วมองไปที่จวนฝั่งตรงข้ามแม่น้ำ ดูเหมือนเคลิบเคลิ้มในยามกล่าว

เฉินฉางเซิงมองเขาและถาม “เจ้าอายุเท่าไรในตอนนั้น”

ถังซานสือลิ่วตอบ “ประมาณหนึ่งขวบ”

เฉินฉางเซิงถาม “เจ้าจำความได้ตั้งแต่ยังเด็กขนาดนั้นเลยหรือ”

ถังซานสือลิ่วตอบ “บางทีข้าอาจพัฒนาได้เร็ว”

เฉินฉางเซิงถอนหายใจ “นั่นเร็วเกินไปหน่อย”

“ข้าเป็นใคร ข้าเกิดมาเป็นอัจฉริยะ”

นี่เป็นมุกที่ตลกทีเดียว แต่เฉินฉางเซิงกับถังซานสือลิ่วไม่ได้หัวเราะ

ผ่านไปครู่หนึ่งถังซานสือลิ่วก็กล่าวต่อ “ข้าไม่รู้ว่าประมุขผู้เฒ่ามีลูกสาวกับใคร แต่ตลอดชีวิตของเขา เขาน่าจะรักนางแค่คนเดียว ดังนั้นคนที่เขารักอย่างแท้จริงก็คือลูกสาวคนนี้ นั่นก็เพราะเขารักนางข้าจึงรู้ว่าเขาไม่มีทางให้นางเป็นผู้นำตระกูล และข้าก็ไม่กลัวเช่นกัน ดังนั้นข้าจึงยินดีเผยเรื่องนี้ออกมา ใช่ เจ้าคิดถูกแล้ว ข้าแค่ใช้ผู้หญิงในอารามนางชีจีหมิงเพื่อข่มขู่ท่านปู่”

เฉินฉางเซิงไม่รู้จะพูดอะไรดี

ถังซานสือลิ่วมองเขาและถาม “เจ้าคิดว่าข้าโหดเหี้ยมเกินไปหรือไม่”

“นักพรตไป๋สือตายแล้ว… มันเป็นคำสั่งของข้า”

เฉินฉางเซิงพลันพูดเรื่องที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวกันนี้ขึ้นมา สายตาเหลือบลงไปบนผืนน้ำมืดมิด

เมื่อวานคนห้าเหล่าของถังซานสือลิ่วกับฉูซูได้ต่อสู้กันอย่างดุเดือดที่นี่ เลือดพิษสาดกระจายไปทั่ว ทำให้ทั้งสองฝั่งปนเปื้อนไปด้วยปราณพิษเน่าเหม็น

ตระกูลถังได้เริ่มทำความสะอาดไปแล้วแต่ก็ยังมีปลามากมายตายไป

ทั้งเขาและถังซานสือลิ่วมีสายตาที่ยอดเยี่ยม แม้ในสภาพแวดล้อมที่มืดมัว ก็ยังสามารถมองเห็นปลาตายพวกนั้นในแม่น้ำที่เน่าเหม็นและมืดดำ

ในสำนักฝึกหลวง ถังซานสือลิ่วบอกเขาว่าอย่าได้จมสู่ปลักโคลน แต่ตอนนี้เล่า

เฉินฉางเซิงกล่าว “เจ้าคิดหรือไม่ว่าพวกเราได้กลายเป็นคนที่เราเกลียดที่สุดไปแล้ว”

ถังซานสือลิ่วตอบ “หากเราสามารถเปลี่ยนบางอย่างได้ด้วยการเป็นคนเช่นนั้น ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไรหรอก”

เฉินฉางเซิงถาม “อย่างไหนหรือ”

ถังซานสือลิ่วชี้ไปอีกฝั่งแม่น้ำ “หากเจ้าไม่ทำเช่นนี้ ความมืดมิดฝั่งนั้นก็จะตกเป็นของเรา”

แม่น้ำได้กั้นระหว่างสาขาหลักกับสาขารอง อีกฝั่งของแม่น้ำไม่มีแสงให้เห็น ล้วนถูกความมืดมิดชั่วร้ายกลืนกินไป

จากเมื่อวานจนถึงตอนนี้ คนมากมายในสาขารองได้ตายไป

เหมือนดั่งที่ถังซานสือลิ่วได้กล่าวไว้ หากพวกเขาเป็นฝ่ายแพ้ จุดจบน่าอนาถนี้ก็จะเป็นฝ่ายสาขาหลักที่ต้องแบกรับไว้

ถังซานสือลิ่วกล่าว “ขอบคุณ”

เฉินฉางเซิงตอบ “ไม่เป็นไร”

……

……

ก่อนตะวันจะลับเหลี่ยมเขา ประมุขรองตระกูลถังได้ตายลงตามคำเรียกร้องของถังซานสือลิ่ว

ในเช้าวันต่อมา ถังซานสือลิ่วมาตรวจศพด้วยตัวเองเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรน่าสงสัย

นิกายหลวงส่งราชันย์แห่งหลิงไห่ออกไป จากรายงานที่เขาบอกเฉินฉางเซิงตอนที่กลับมา ถังซานสือลิ่วเงียบอย่างมาก ดูเหมือนจะจมอยู่ในความคิด

เมื่อกินยาที่เฉินฉางเซิงต้มด้วยตัวเอง อาการป่วยของประมุขใหญ่ตระกูลถังก็ทรงตัว แต่ก็ยังไม่ฟื้นคืนสติขึ้นมา

พิษร้ายนี้ได้ซึมลึกเข้าไปในอวัยวะภายใน ทำให้ยากที่จะกำจัดออกจนหมดสิ้น จำเป็นต้องให้พรรคฉางเซิงลงมือเอง

ตระกูลถังส่งคนไปพรรคฉางเซิงแล้ว ว่ากันว่านักเล่นฉินตาบอดก็ติดตามพวกเขาไปลับๆ ถังซานสือลิ่วยังไม่วางใจและตัดสินใจที่จะไปด้วยตัวเอง

เฉินฉางเซิงเองก็ต้องลงใต้ เขามีเรื่องที่สำคัญบางอย่างจำเป็นต้องไปจัดการ

ผ่านไปสามปีแล้วนับจากการบรรจบกันของเหนือใต้ และตอนนี้ก็เป็นโอกาสที่นิกายหลวงฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้จะรวมเป็นหนึ่ง

ในนิกายหลวงฝ่ายใต้ พรรคฉางเซิงเหลือแต่เปลือกนอกเท่านั้น ไร้ซึ่งความแข็งแกร่งและทำได้แต่เรื่องเล็กน้อยในเงามืดเท่านั้น ที่พระราชวังหลีต้องโน้มน้าวคือยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์

ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรง ย่อมมีโอกาสที่จะทำได้สำเร็จ นิกายหลวงอาจกลับคืนสู่ความรุ่งโรจน์ในอดีต

สำหรับนิกายหลวงนี่ย่อมเป็นเรื่องที่ดีมาก แต่สำหรับราชสำนักแล้วคงไม่คิดเช่นนั้น

พวกเขาทั้งหมดออกจากเมืองเวิ่นสุ่ย ตอนนี้ก็ถึงเวลาแยกทางกันแล้ว

ผู้ที่จากไปคนแรกคือกวนเฟยไป๋ ว่าตามเหตุผลเมื่อหลีซานกับพรรคฉางเซิงต่างก็อยู่ในแดนใต้ เขาควรเดินทางไปกับพวกเฉินฉางเซิง อย่างไรก็ตามเขาได้รับข่าวว่าพี่ใหญ่ของเขาจะกลับถึงหลีซานในอีกไม่กี่วัน เขาจึงไม่อาจไม่รีบเร่งได้ เมื่อวานซืนตอนที่เฉินฉางเซิงไปยังจวนเก่า เขาได้อยู่ในอารามเต๋าเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ ไม่รู้ว่ามีคนผู้หนึ่งปรากฏตัวนอกจวนเก่า

เฉินฉางเซิงพอจะเข้าใจเรื่องบางอย่างอยู่บ้างและกล่าวกับกวนเฟยไป๋ “ข้าเคยพบกับศิษย์พี่เจ้ามาก่อน ข้าฝากทักทายด้วย”

กวนเฟยไป๋เชื่อว่าเขาพูดถึงโก่วหานสือ จึงไม่คิดเรื่องนี้ต่อไปและรับปาก จากนั้นก็กล่าวกับเจ๋อซิ่ว “หากอาการป่วยของเจ้ารักษาหายแล้ว เจ้าก็มาที่หลีซานได้ทุกเมื่อ ไม่มีใครห้ามเจ้า แต่หากอาการป่วยของเจ้ายังไม่หายดี เจ้าก็ถูกกำหนดให้ต้องตาย อย่าได้นำคำสาปของเจ้ามาให้ศิษย์น้องเลย พวกเราไม่ยอมปล่อยให้เจ้าได้พบแน่”

สีหน้าเจ๋อซิ่วไม่เปลี่ยนไป ราวกับว่าไม่ได้ยิน

เฉินฉางเซิงส่งกระบี่ให้กวนเฟยไป๋ “กระบี่เจ้าหักแล้ว ข้าจึงเลือกเล่มนี้ให้เจ้า ไม่รู้ว่าจะเหมาะกับเจ้าหรือไม่”

ในสวนหลังของอารามเต๋า กระบี่ที่กวนเฟยไป๋ซื้อมาด้วยเงินหลายพวงถูกฉูซูทำหัก เฉินฉางเซิงต้องการจะมอบกระบี่ให้เขาตลอดมา เขาไม่ได้มอบกระบี่ให้ช่วงสองวันที่ผ่านมาเพราะนอกจากกวนเฟยไป๋จะยังบาดเจ็บอยู่แล้ว เขายังไม่ต้องการจะลากสำนักกระบี่หลีซานเข้าสู่ปัญหาระหว่างเขากับตระกูลถัง

ทุกคนรู้ว่าเฉินฉางเซิงมีกระบี่มากมายอยู่กับตัว ล้วนเป็นกระบี่ชั้นยอดทั้งสิ้น

กวนเฟยไป๋มองไปยังกระบี่เก่าที่ยังคมกริบ ดวงตาเป็นประกาย

กระบี่นี้ก็มาจากสระกระบี่ในสวนโจวเช่นกัน มีชื่อเรียกว่ากระบี่ทลายทัพ หมายถึงพลังที่จะทำลายกองทหารนับพันและเหมาะกับนิสัยใจคอของเขามาก น่าประหลาดใจที่กวนเฟยไป๋ไม่ได้รับมันไว้ในทันที เขาดูเหมือนจะคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็กล่าว “ข้าไม่ได้มีผลงานมากนักในครั้งนี้ เราติดค้างน้ำใจเจ้ามากมายเกินไปแล้ว เราไม่อาจติดค้างไปมากกว่านี้”

เขาพูดถึงอาจารย์ลุงจากสำนักกระบี่หลีซานที่ได้รับการช่วยชีวิตด้วยยาจูซา และยังรวมถึงเรื่องเก่าเมื่อหลายปีก่อนที่เฉินฉางเซิงช่วยคุ้มครองซูหลีกลับแดนใต้

เรื่องของศิษย์พี่ใหญ่และการหมั้นหมาย กับเรื่องศิษย์น้องและเจ๋อซิ่ว ทำให้ศิษย์สำนักกระบี่หลีซานไม่ยินดีที่จะติดค้างน้ำใจของเฉินฉางเซิงอีก

ไม่เช่นนั้นมันคงกระอักกระอ่วนมากในยามที่พวกเขาต้องขัดแย้งกับเฉินฉางเซิง

“หากเจ้ารู้สึกว่ามีหนี้อันใด ก็ล้วนสะสางไปเมื่อสองวันก่อนหมดแล้ว”

เฉินฉางเซิงพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้าจวนเก่าเมื่อสองวันก่อน หากหลัวปู้ไม่นำร่มกระดาษทองไปพูดกับประมุขผู้เฒ่าตระกูลถัง ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังย่อมไม่มีทางมอบเวลาของเมืองเวิ่นสุ่ยหนึ่งชั่วยามให้เขา และเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นตามมาก็จะไม่ได้เกิดขึ้น

กวนเฟยไป๋ไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร เขาจึงไม่ยอมรับกระบี่อยู่ดี

ถังซานสือลิ่วกล่าว “กระบี่เล่มนึงจะมีค่าเท่าไรกันเชียว ข้าเอากระบี่จากเขามาตั้งหลายร้อยเล่มยังไม่รู้สึกอะไรเลย”

กวนเฟยไป๋ย้อนกลับไป “นั่นเป็นเพราะมีน้อยคนในโลกที่จะหนังหน้าหนาแบบเจ้า”

ถังซานสือลิ่วสวน “นั่นเรียกว่าสูงส่งไม่ยึดติดต่างหาก… รับกระบี่ไป หากเจ้ายังติดใจอยู่ก็ยังไม่ต้องใช้กระบี่นี้”

กวนเฟยไป๋คิดแล้วก็รับปาก “นับว่ามีเหตุผล หากมีเรื่องอันใดอย่าลืมเตือนข้า”