บทที่ 537.1 พื้นแผ่นดินของหนึ่งทวีปล้วนมีกระบี่ผุดพุ่ง

กระบี่จงมา! Sword of Coming

นักพรตสองคนหนึ่งหนุ่มหนึ่งแก่ทำตามกฎของท้องถิ่นจึงได้แต่เดินเท้าไปเรื่อยๆ แม้แต่นักพรตเฒ่าเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เวลานี้เขากำลังเดินเลียบมหานทีสายใหญ่ ส่วนจางซานเฟิงนักพรตหนุ่มก็รู้สึกว่าได้เปิดโลกทัศน์อย่างมาก

สกุลเฉินอิ่งอินไม่เสียแรงที่เป็นตระกูลซึ่งยึดครองคำว่า ‘ผู้รอบรู้’ ไปเพียงลำพัง ไม่เสียแรงที่เป็นสถานที่รวบรวมผู้ประสบความสำเร็จของใต้หล้า บางทีนี่ต่างหากกระมังที่ถึงจะถือว่าเป็นตระกูลปัญญาชนอันดับหนึ่งของโลกมนุษย์อย่างแท้จริง

อันที่จริงไม่ใช่ว่าไม่สามารถเช่ารถม้าเดินทางไปเยือนศาลบรรพชนสกุลเฉินแห่งนั้น เพียงแต่ว่าจนใจที่กระเป๋าฟีบแบน ต่อให้จางซานเฟิงอยากจะตอบตกลง แต่เงินในกระเป๋ากลับไม่เอาด้วย

ยังดีที่จางซานเฟิงเดินทางไปตามภูเขาแม่น้ำของยุทธภพมาจนเคยชินแล้ว เพียงแต่ว่าเขาค่อนข้างจะละอายใจที่ทำให้อาจารย์ท่านผู้อาวุโสต้องมาลำบากลำบนตามไปด้วย แม้จะบอกว่าบางทีตบะของอาจารย์อาจจะไม่สูง แต่ถึงอย่างไรก็เลี่ยงการกินธัญพืชมานานแล้ว และระยะทางหลายร้อยลี้ที่เดินมานี้ก็ใช่ว่าจะเดินได้ยากลำบากอะไรนัก แต่ถึงอย่างไรเขาก็ควรมีใจกตัญญูของลูกศิษย์บ้างไม่ใช่หรือ? แต่ทุกครั้งที่จางซานเฟิงหันหน้ากลับไปมองจะต้องเห็นว่าอาจารย์เดินพลางสัปหงกเหมือนลูกเจี๊ยบจิกเมล็ดข้าว นี่ทำให้จางซานเฟิงรู้สึกเลื่อมใสอย่างยิ่ง แม้แต่ตอนที่เดินก็ไม่ถ่วงเวลาการนอนหลับของอาจารย์เลยจริงๆ

เดินผ่านหินผาก้อนใหญ่สีดำริมน้ำ จางซานเฟิงเห็นคนหนุ่มสวมชุดลัทธิขงจื๊อผู้หนึ่งกำลังนั่งเหม่อลอยหันหลังให้พวกเขาสองอาจารย์และศิษย์อยู่ตรงนั้น

ฮว่อหลงเจินเหรินลืมตาขึ้น ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เป็นคนที่ชอบนอนหลับเหมือนกัน ต้องได้ดิบได้ดีไม่น้อยแน่”

จางซานเฟิงพูดอย่างน้อยใจ “ตอนที่ข้าเพิ่งจะขึ้นภูเขาไปใหม่ๆ อายุยังน้อยเลยชอบนอน ทำไมไม่เห็นอาจารย์พูดแบบนี้บ้างเลย? เหตุใดทุกครั้งจะต้องให้ศิษย์พี่เอาขนไก่มาทำเป็นลูกดอกปลุกให้ข้าตื่นมาฝึกตนด้วย? ศิษย์พี่เซี่ยงจือมักจะพูดว่าคุณสมบัติของข้าดีเหมือนเขา หากไม่ตั้งใจขยันฝึกบำเพ็ญตนก็น่าเสียดายเกินไปแล้ว ดังนั้นต่อให้อาจารย์จะไม่สนใจ แต่เขาที่เป็นศิษย์พี่ก็ไม่อาจทนเห็นข้าละทิ้งโชควาสนาด้านการฝึกตนบนภูเขาไปได้ ดีนักนะ ถึงท้ายที่สุดข้าถึงเพิ่งจะรู้ว่า อันที่จริงศิษย์พี่เซี่ยงจือมีตบะแค่ขอบเขตถ้ำสถิตเท่านั้น ทว่าศิษย์พี่ชอบพูดจาวางโตมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ทำเอาข้ามักจะเข้าใจไปว่าเขาคือเซียนดินโอสถทองคนหนึ่ง เพราะฉะนั้นตอนที่ศิษย์พี่แก่ตายไป ข้าถึงได้ร้องไห้อย่างน่าสังเวชขนาดนั้น ทั้งอาลัยอาวรณ์ศิษย์พี่เซี่ยงจือ แล้วก็รู้สึกผิดหวังกับตัวเองด้วย เพราะมักจะคิดว่าตัวเองทั้งโง่ทั้งเกียจคร้าน ชีวิตนี้แม้แต่ขอบเขตถ้ำสถิตก็คงฝึกไปไม่ถึงแล้ว”

ฮว่อหลงเจินเหรินยิ้มกล่าว “คำสั่งของอาจารย์กลายมาเป็นขนไก่ได้อย่างไร? อีกอย่างขอบเขตถ้ำสถิตจะเรียกว่าขอบเขตไม่สูงได้อย่างไร?”

นอกยอดเขาพาตี้ สี่สายใหญ่ภายใต้การปกครองของฮว่อหลงเจินเหรินอย่างไท่เสีย เถาซาน ป๋ายอวิ๋นและจื่อเสวียน ต่อให้ฮว่อหลงเจินเหรินจะไม่เคยจงใจตั้งกฎเกณฑ์แห่งภูเขาสายน้ำอะไร เป็นเหตุให้ลูกศิษย์ของฝ่ายไหนก็สามารถมาเตร็ดเตร่ที่ยอดเขาพาตี้ได้โดยที่ไม่ต้องยำเกรงเรื่องใด ทว่าผู้ฝึกตนใหญ่เปิดขุนเขาซึ่งรวมไท่เสียหยวนจวินหลี่อวี๋เป็นหนึ่งในนั้น ต่างก็ไม่อนุญาตให้ลูกศิษย์ในสายของตัวเองไปรบกวนการนอนหลับของเจินเหรินที่ยอดเขาพาตี้ อีกทั้งผู้ฝึกตนของยอดเขาพาตี้เองก็ขึ้นชื่อเรื่องที่ไม่ชอบออกจากสำนัก ตบะจึงไม่สูงเท่าไรจริงๆ

ดังนั้นผู้ฝึกตนสายอื่นที่ไม่ว่าลำดับอาวุโสจะสูงหรือต่ำ แทบทุกคนก็ล้วนเป็นเหมือนกู้โม่ลูกศิษย์คนสุดท้ายของไท่เสียหยวนจวินที่ความทรงจำเดียวซึ่งมีต่อเหล่าอาจารย์ลุงอาจารย์อา หรือไม่ก็บรรพจารย์ลุงบรรพจารย์อาเหลือเพียงแค่ว่าพวกเขาคือคนที่มีลำดับอาวุโสสูง แต่มรรคกถาต่ำเท่านั้น

ช่วงเวลาระหว่างนี้ ในบรรดาผู้ฝึกตนของยอดเขาพาตี้ คงจะเป็นจางซานเฟิงนี่แหละที่ถูกปิดหูปิดตามากกว่าใคร บางทีในสายตาของผู้ฝึกตนใหญ่อย่างพวกหยวนจวินหลี่อวี๋ ศิษย์น้องเล็กผู้นี้ถือเป็นเงาดำใต้โคมไฟอย่างที่ไร้ทางเยียวยาแล้ว แต่เห็นว่าอาจารย์เข้ากับศิษย์น้องเล็กได้ดี จึงไม่มีใครกล้าวาดงูเติมขา

นี่ยังไม่นับเป็นอะไรได้ ปีนั้นจางซานเฟิงป่าวประกาศว่าจะลงจากภูเขาไปกำจัดปีศาจปราบมาร ฮว่อหลงเจินเหรินก็หลอกลูกศิษย์ไปอีกรอบหนึ่ง บอกว่าในเมื่อจะลงจากภูเขาไปฝึกประสบการณ์ ถ้าอย่างนั้นก็ไปให้ไกลสักหน่อย เพราะบริเวณรอบๆ ยอดเขาพาตี้ไม่มีภูตผีปีศาจอะไรออกอาละวาด

ผลกลับกลายเป็นว่าการจากไปของจางซานเฟิงครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ออกไปจากยอดเขาพาตี้โดยตรง ภายหลังยังเลือกเดินทางไกลไปถึงแจกันสมบัติทวีป นอกจากไท่เสียหยวนจวินที่ตอนนั้นอยู่ในช่วงปิดด่านแล้ว บรรพจารย์เปิดขุนเขาของสามสายที่เหลืออย่างเถาซาน ป๋ายอวิ๋นและจื่อเสวียน อันที่จริงต่างก็ตระหนกลนลาน ด้วยกลัวว่าศิษย์น้องเล็กที่ออกห่างจากภูเขาบ้านเกิดของตัวเองไกลเกินไปแล้วจะเกิดเรื่องไม่คาดฝัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักพรตขอบเขตหยกดิบของยอดเขาจื่อเสวียนที่พลังการต่อสู้สามารถมองเป็นขอบเขตเซียนเหรินได้ผู้นั้นที่คาดหวังว่าอาจารย์จะอนุญาตให้เขาออกจากอุตรกุรุทวีป ไปเยือนแจกันสมบัติทวีปเพื่อคอยให้การปกป้องจางซานเฟิงอย่างลับๆ ทว่าฮว่อหลงเจินเหรินกลับไม่รับปาก บอกว่าผู้ฝึกตนฝึกบำเพ็ญตน แค่ฝึกฝนตนเองให้ได้ดีก็พอ มีผู้ปกป้องมรรคาคอยช่วยเหลือย่อมทำอะไรเองไม่สำเร็จ

บรรพจารย์ของยอดเขาทั้งสามสายต่างก็ยังรู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสักเท่าไร เพียงแต่ว่าแต่ไหนแต่ไรมาคำพูดของอาจารย์มักเป็นคำขาดเสมอ พวกเขาไม่กล้าแข็งข้อละเมิดคำสั่ง แต่บรรพจารย์สายของยอดเขาป๋ายอวิ๋นได้ไปปรึกษากับศิษย์น้องอีกสองคนเป็นการส่วนตัว แล้วก็รู้สึกว่าอาจารย์ไม่ใส่ใจศิษย์น้องเล็กเลย พวกเขาที่เป็นศิษย์พี่จำเป็นต้องแบกรับหน้าที่เป็นผู้ปกป้องมรรคาให้ศิษย์น้องเล็ก ดังนั้นเทพเซียนผู้เฒ่าท่านนี้กับศิษย์น้องสองคนของเขาจึงช่วยกันหาข้ออ้างที่ไม่มีพิรุธ แล้วตัวเองก็ลงจากภูเขาไป เปลี่ยนแปลงเส้นทางเล็กน้อย แอบคุ้มกันจางซานเฟิงไปส่งในช่วงระยะทางหนึ่ง

ดังนั้นประสบการณ์อันตรายระหว่างการลงเขากำจัดปีศาจปราบมาร รวมถึงความผิดหวังหลังจากผ่านอุปสรรคของจางซานเฟิง บรรพจารย์ป๋ายอวิ๋นจึงรู้ดี ซึ่งก็หมายความว่าอีกสองสายก็รู้แน่ชัดเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่บรรพจารย์ยอดเขาจื่อเสวียนผู้นั้นรู้ว่าจางซานเฟิงขึ้นไปบนเรือข้ามฟากของภูเขาต่าเจี้ยวด้วยอารมณ์หม่นหมอง แล้วตอนนั้นบรรพจารย์ยอดเขาเถาซานนับนิ้วคำนวณอยู่ครู่หนึ่งก็พลันหน้าเผือดสี ฝ่ายแรกไม่อาจอดทนได้อีกจึงคิดว่าต่อให้อาจารย์ไม่อนุญาตให้เขาติดตามไปด้วย แต่เขาก็จะต้องให้ศิษย์น้องของยอดเขาเถาซานแบกกระบี่ลงจากเขาไปคุ้มกันศิษย์น้องเล็กสักช่วงระยะทางหนึ่งให้จงได้ คิดไม่ถึงว่าฮว่อหลงเจินเหรินจะปรากฏตัวกะทันหัน ขัดขวางพวกเขาเอาไว้ บรรพจารย์ยอดเขาจื่อเสวียนยังคิดจะอธิบายอะไรบางอย่าง ผลกลับถูกอาจารย์เอามือกดหัว ใช้นิ้วเดียวผลักเขากลับไปยังถ้ำหินที่ใช้ปิดด่านบนยอดเขาจื่อเสวียนโดยตรง ตอนนั้นฮว่อหลงเจินเหรินหันมายิ้มกว้างมองลูกศิษย์ผู้สืบทอดสายภูเขาเถาซานของตัวเอง ฝ่ายหลังรีบพูดทันทีว่าไม่จำเป็นต้องรบกวนให้อาจารย์ไปส่ง แล้วตัวเขาก็กลับยอดเขาไปปิดด่านด้วยตัวเอง

จากนั้นต่อมา

บรรพจารย์ของสายป๋ายอวิ๋นก็ได้รับกระบี่บินส่งข่าวมาจากศาลบรรพจารย์ยอดเขาพาตี้ เขาจึงรีบกลับยอดเขาพาตี้ไปอย่างว่าง่ายทันที แล้วก็ถูกด่าไปรอบหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย

แต่ว่าตอนที่ออกมาจากยอดเขาพาตี้ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความปิติยินดี ศิษย์น้องสองคนของยอดเขาเถาซานและยอดเขาจื่อเสวียนถึงเพิ่งจะรู้ว่า ที่แท้อาจารย์ด่าศิษย์พี่ไปรอบหนึ่ง แต่ก็มอบพุทราเม็ดหนึ่งให้ศิษย์พี่เป็นรางวัล

ดีนักนะ ทุกอย่างล้วนอยู่ในการคาดการณ์ของอาจารย์หมดแล้ว แค่ดูว่าใครที่มีความกล้าหาญมากกว่า ใครที่เป็นห่วงศิษย์น้องเล็กมากกว่าจนกล้าแบกรับความเสี่ยงจากการถูกอาจารย์ตำหนิลงจากยอดเขาไปปกป้องศิษย์น้องเล็กอย่างเด็ดเดี่ยว? ทั้งสองท่านล้วนเป็นยอดฝีมือจึงเข้าใจทุกอย่างกระจ่างแจ้งในฉับพลัน ดังนั้นบรรพจารย์ยอดเขาจื่อเสวียนจึงไล่กวดศิษย์พี่ของยอดเขาป๋ายอวิ๋นไป บอกว่าจะประลองฝีมือกับเขาสักครั้ง น่าเสียดายที่ศิษย์พี่หนีได้เร็ว ไม่ให้โอกาสศิษย์น้องได้ระบายโทสะ

มาถึงหน้าผาหินสีดำริมลำน้ำแห่งนี้ก็หมายความว่าขยับเข้าใกล้สกุลเฉินแล้ว เหลือระยะทางอีกแค่สิบกว่าลี้ สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว ต่อให้ไม่ทะยานลม อย่างน้อยทางด้านความคิดก็ยังคงเท่ากับว่าเหลือระยะทางแค่ไม่กี่ก้าวแล้ว

จางซานเฟิงเปิดปากเตือน “อาจารย์ แม้ว่าครั้งนี้พวกเราจะได้รับเชิญให้มา แต่ก็ยังต้องมีมารยาทในการมาเยี่ยมเยือนผู้อื่น อย่าได้เลียนแบบเมื่อครั้งที่อยู่หนองน้ำเซิ่นเจ๋อของแผ่นดินกลางที่แค่กระทืบเท้าก็ถือว่าเป็นการทักทายเจ้าบ้าน แล้วยังต้องให้อีกฝ่ายปรากฏตัวมาพบพวกเราอีกเด็ดขาด”

ฮว่อหลงเจินเหรินพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ตกลง”

จางซานเฟิงกล่าวอย่างกังขา “หนังสือพวกนั้นที่ซื้อมาจากร้านหนังสือจะไม่ทำให้บัณฑิตผู้นั้นรู้สึกว่าพวกเราไร้มารยาทจริงๆ หรือ?”

ฮว่อหลงเจินเหรินส่ายหน้า “มอบหนังสือให้แก่บัณฑิตก็คือของขวัญที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้านี้”

จางซานเฟิงจึงพอจะสงบใจลงได้บ้าง

อันที่จริงจนถึงกระทั่งบัดนี้ นักพรตหนุ่มก็ยังไม่รู้ว่าพวกเขาสองอาจารย์และศิษย์จะมาพบใครกันแน่

จางซานเฟิงนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “อาจารย์ ผู้ฝึกตนอย่างพวกเราโอบกอดเต๋าอยู่ในภูเขา ใช้ปราณวิญญาณภูเขาสายน้ำมาชำระล้างสิ่งที่อยู่นอกเหนือจิตใจ ไม่คบค้าอ๋องและโหว ไม่สนใจโอรสสวรรค์ ทว่าลูกศิษย์ของลัทธิขงจื๊อเหล่านั้นฝึกตนอย่างไรกันแน่? อาศัยแค่การอ่านตำราอย่างเดียวจริงๆ หรือ? แต่หากแค่อ่านตำราก็สามารถฝึกบำเพ็ญขอบเขตตบะออกมาได้ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เท่ากับว่าทุกคนบนโลกล้วนสามารถฝึกตนได้หรอกหรือ? หากมีคนแอบเอาตำราของใต้หล้าไพศาลไปยังใต้หล้าแห่งอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งใต้หล้าเปลี่ยวร้างแห่งนั้น จะไม่กลายเป็นหายนะที่ใหญ่เทียมฟ้าหรอกหรือ ทำให้เผ่าปีศาจมีผู้ฝึกตนเพิ่มขึ้นมากลุ่มใหญ่ และยิ่งนานก็ยิ่งมีเผ่าปีศาจมากขึ้นเรื่อยๆ จนพวกเขาสามารถโจมตีกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้ แบบนี้จะทำอย่างไรกันดี?”

ฮว่อหลงเจินเหรินยิ้มกล่าว “คำถามพวกนี้ ถามได้ดีจริงๆ แต่ไม่ควรให้ข้าที่เป็นตาเฒ่าของลัทธิเต๋าคนหนึ่งเป็นผู้ตอบคำถาม ไม่อย่างนั้นจะไม่ถูกหลักมารยาทจริงๆ แล้ว ใช่หรือไม่?”

จางซานเฟิงพลันสัมผัสได้ถึงลมเย็นสายหนึ่งที่โชยมาปะทะใบหน้า เขาจึงหันหน้ากลับไปมอง ห่างไปไม่ไกลมีผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อสวมชุดสีเขียวคนหนึ่งเดินมาพลางผงกศีรษะด้วยรอยยิ้ม “ก่อนจะตอบคำถาม อยากรู้ว่าเอาตำราอะไรมามอบให้ข้า?”

ฮว่อหลงเจินเหรินตบไหล่ลูกศิษย์ของตนเอง “ซานเฟิง เห็นแล้วหรือยัง มีคนทวงของขวัญจากเจ้าแล้ว”

จางซานเฟิงรีบประสานมือคารวะ เอ่ยเรียกคำหนึ่งว่าท่านอาจารย์ผู้เฒ่าเฉิน จากนั้นก็ปลดห่อสัมภาระลง หยิบตำราออกมาสามเล่ม

ผู้เฒ่ารับมาไว้ในมือ เหลือบมองแวบหนึ่งก็ให้รู้สึกจนใจเล็กน้อย หลังจากเอ่ยขอบคุณนักพรตหนุ่มแล้วก็ยังคงยอมเก็บมันเข้าไปไว้ในชายแขนเสื้อ

เขาเฉินฉุนอันถูกคนบนโลกมองเป็นลูกศิษย์อันดับหนึ่งของสายหย่าเซิ่ง

ผลกลับกลายเป็นว่าเทียนซือใหญ่ต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ท่านนี้ดันมอบตำราสามเล่มของสายเหวินเซิ่งที่เดิมทีควรถูกทำลายห้ามขายไปแล้วให้แก่เขา

หลังจากรับหนังสือมาแล้ว เฉินฉุนอันก็เอ่ยว่า “อันที่จริงเส้นทางคร่าวๆ ในการฝึกตนของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อไม่ได้ต่างจากลัทธิเต๋าสักเท่าไร เพียงแต่เปลี่ยนมาเป็นการบ่มเพาะปราณแห่งความเที่ยงธรรมในหัวใจ พวกเจ้าโอบกอดเต๋าอยู่ในภูเขา ออกไกลห่างจากโลกมนุษย์ บุกเบิกพื้นที่สงบสุขไร้มลทินให้แก่ทั้งตัวเองและโลกภายนอก ถ้าอย่างนั้นบัณฑิตอย่างพวกเราก็หนีไม่พ้นคำว่า ‘ปิดประตูอ่านตำราก็คืออยู่ในภูเขาลึก’ ส่วนสถานที่ในการฝึกตน วิชาในการฝึกตนก็แบ่งออกเป็นห้องหนังสือและตำราของอริยะปราชญ์ รวมไปถึงหลักการเหตุผลที่ซุกซ่อนอยู่ในตัวอักษรบนตำรา ทว่าระหว่างสิ่งเหล่านี้ แน่นอนว่ายังมีธรณีประตูอยู่ ไม่ใช่ว่าทุกคนแค่เปิดตำราก็สามารถฝึกตนได้จริงๆ ยกตัวอย่างเช่นวิธีการเข้าฌานอันเป็นวิชาพื้นฐานนั้นก็ยังต้องมี จำเป็นต้องให้นักปราชญ์หรือวิญญูชนมาเป็นผู้ถ่ายทอดแก่ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อในสำนักศึกษา ส่วนฐานกระดูกก่อนกำเนิดในการฝึกตนก็เป็นธรณีประตูอีกอันหนึ่ง เป็นเหตุให้นักประพันธ์ใหญ่มากมายที่ร้อยเรียงบทกวีได้อย่างมีชีวิตชีวา ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊ออายุมากที่มีความรู้อยู่เต็มท้อง ก็ยังคงไม่อาจนำการอ่านตำรามาต่ออายุขัยให้ยาวนานได้”

—-