บทที่ 537.2 พื้นแผ่นดินของหนึ่งทวีปล้วนมีกระบี่ผุดพุ่ง

กระบี่จงมา! Sword of Coming

จางซานเฟิงรู้สึกว่าคำกล่าวนี้ค่อนข้างจะลี้ลับมหัศจรรย์ แต่กระนั้นก็ยังคารวะแล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณท่านอาจารย์ที่ช่วยไขข้อสงสัยให้”

เฉินฉุนอันยิ้มกล่าว “ไม่จำเป็นต้องมีมารยาทไปเสียทุกเรื่อง บัณฑิตศึกษาเล่าเรียน ผู้ฝึกตนฝึกบำเพ็ญตบะ เดิมทีก็ถือว่าเป็นคนบนเส้นทางเดียวกัน มารยาทนั้นอยู่ที่คำว่าเรียบง่าย อยู่ที่คำว่าเที่ยงแท้ ไม่ได้อยู่ที่คำว่ายิบย่อย ไม่ได้อยู่เฉพาะแค่ผิวเผินภายนอก”

อันที่จริงยังมีคำถามสุดท้ายของจางซานเฟิงที่เฉินฉุนอันไม่ใช่ไม่รู้คำตอบ แต่จงใจไม่พูดมันออกมา

ตรงกันข้ามกับที่นักพรตหนุ่มคิดเลยด้วยซ้ำ ลัทธิขงจื๊อไม่เคยห้ามปรามไม่ให้สรรพชีวิตบนโลกอ่านตำราหรือฝึกตน

นี่ก็คือกฎที่หลี่เซิ่งตั้งเอาไว้

จางซานเฟิงหันหน้าไปมองอาจารย์ของตัวเอง

ฮว่อหลงเจินเหรินหัวเราะอย่างฉุนๆ “ทำไม ได้มาเจอกับยอดฝีมือนอกโลกอย่างที่ตัวเองจินตนาการไว้ ก็เลยรังเกียจที่อาจารย์ตัวเองไม่มีมาดของเทพเซียนอย่างนั้นหรือ?”

จางซานเฟิงกะพริบตาปริบๆ

นี่อาจารย์ท่านพูดเองนะ ข้าไม่ได้คิดแบบนี้สักหน่อย

ฮว่อหลงเจินเหรินชี้ไปยังหินหน้าผาสีดำที่ห่างไปไม่ไกลแห่งนั้น “นั่นก็คือเจ้าเด็กที่ฝึกกระบี่ในความฝันหรือ?”

เฉินฉุนอันพยักหน้ารับ “น่าเสียดายที่วันหน้ายังต้องคืนให้กับแจกันสมบัติทวีป ค่อนข้างจะอาลัยอาวรณ์อยู่ไม่น้อย หลายปีมานี้มักจะมาคุยเล่นกับเขาอยู่ที่นี่ วันหน้าคาดว่าคงไม่มีโอกาสแล้ว”

ฮว่อหลงเจินเหรินพูดกับจางซานเฟิงว่า “คนผู้นั้นคือเพื่อนสนิทของเฉินผิงอัน เจ้าไม่ไปทักทายเขาหน่อยหรือ?”

จางซานเฟิงอึ้งตะลึงไปครู่ ก่อนจะขอตัวกับอาจารย์และท่านผู้เฒ่าคนนั้น แล้ววิ่งตะบึงจากไป

ฮว่อหลงเจินเหรินกับเฉินฉุนอันไม่ได้เดินไปยังศาลบรรพชนสกุลเฉินอิ่งอิน แต่เดินเลียบลำน้ำของแม่น้ำไปช้าๆ เจินเหรินผู้เฒ่าเอ่ยว่า “จะดีจะชั่วที่ทักษิณาตยทวีปก็ยังมีเจ้าอยู่ แต่ใบถงทวีปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้กับฝูเหยาทวีปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ เจ้าจะทำอย่างไร?”

เนิ่นนานเฉินฉุนอันก็ยังไม่เอ่ยคำใด

อันที่จริงคำถามนี้ค่อนข้างจะแปลกประหลาดไปสักหน่อย

หากเผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้างสามารถโจมตีกำแพงเมืองปราณกระบี่ให้แตก กองทัพใหญ่บุกเข้ามาดั่งกระแสน้ำขึ้นที่กลบทับภูเขาห้อยหัวซึ่งเป็นตราประทับอักษรภูเขาที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้าแห่งนั้นได้จริงๆ

เฉินฉุนอันจะสามารถพิทักษ์ทักษิณาตยทวีปที่อยู่ใกล้กับภูเขาห้อยหัวมากที่สุดไว้ได้หรือไม่ ก็ยังบอกได้ยาก แล้วใบถงทวีปกับฝูเหยาทวีปมาเกี่ยวอะไรกับเขาเฉินฉุนอันด้วยเล่า?

เฉินฉุนอันยิ้มกล่าว “อันที่จริงซิ่วไฉเฒ่าก็เคยแนะนำข้ามาก่อน ความนัยในถ้อยคำของเขาก็เท่ากับว่ามอบทางเลือกให้ข้าสองทาง หากไม่ตาย ถ้าอย่างนั้นก็ตายไปให้เร็วๆ หน่อย อย่าได้ไม่ตายช้าไม่ตายเร็วแต่ดันไปตายในช่วงเวลาสำคัญบางช่วง”

ฮว่อหลงเจินเหรินพูดอย่างปลงอนิจจัง “ผู้อาวุโสเหวินเซิ่งมองจิตใจของคนได้เฉียบขาดไม่มีใครเหมือนจริงๆ”

หากนับกันแค่อายุ ฮว่อหลงเจินเหรินก็แก่กว่าซิ่วไฉเฒ่าผู้นั้นหลายปีจนนับได้ไม่ถ้วน ทว่ายามที่พูดถึงซิ่วไฉเฒ่า เขาก็ยังคงยินดีเรียกอีกฝ่ายว่าผู้อาวุโสด้วยความเคารพจากใจจริง

เฉินฉุนอันพยักหน้ารับ

ไม่ได้โต้แย้ง

ต่อให้เขาจะเป็นเสาหลักของสายหย่าเซิง และความรู้ของตัวเขาเฉินฉุนอันเองก็อยู่ตรงข้ามกับเป้าประสงค์ความรู้ที่ซิ่วไฉเฒ่าเป็นผู้ริเริ่มอย่างสิ้นเชิง

ลัทธิขงจื๊อของใต้หล้าไพศาล

การแข่งขันของอริยะ ช่วงชิงทิศทางของมหามรรคา สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็ยังต้องดูที่ว่ามหามรรคาของใครสามารถปกป้องสรรพชีวิต ให้ประโยชน์แก่วิถีทางโลกได้มากกว่า

การแข่งขันของวิญญูชน ช่วงชิงในด้านความถูกผิดเล็กใหญ่ของหลักการเหตุผล ต้องโต้เถียงให้แบ่งแยกถูกผิดอย่างแน่ชัด

การแข่งขันของนักปราชญ์จึงจะเป็นการประชันความดีเลวของความรู้ตัวเองในช่วงเวลาหนึ่ง เป็นแค่การตีกันบนหน้ากระดาษด้านล่างปลายพู่กันเท่านั้น

กฎเกณฑ์ยิบย่อยของลัทธิขงจื๊อก็คือผู้ปกป้องมรรคาที่ใหญ่ที่สุดของใต้หล้าไพศาลแห่งนี้

และการที่อริยะลัทธิขงจื๊อแต่ละท่านวาดพื้นที่ให้เป็นกรงขังของตัวเอง ก็คือการกระทำที่พันธนาการมือเท้าที่สุดในใต้หล้า

หนึ่งในเจ็ดสิบสองอริยะที่มีเทวรูปตั้งวางอยู่ในศาลบุ๋นของนครมังกรเฒ่าทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีป ถูกหย่าเซิ่งลงโทษด้วยตัวเองอย่างรุนแรง และถูกผู้ฝึกตนร้อยสำนักมองว่าต้องอดกินหัวหมูเย็นๆ ทว่าในเรื่องของความรู้ เขาก็เคยกระตุ้นให้ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อของสำนักศึกษาในระบบความรู้ที่แตกต่างกันได้รับผลประโยชน์มหาศาล แล้วจึงได้เลื่อนจากนักปราชญ์ไปเป็นวิญญูชน เป็นเหตุให้ต่อให้คนผู้นี้จะเป็นปฏิปักษ์ เป็นศัตรูคู่อาฆาตกับลูกศิษย์ที่ไม่ใช่ลูกศิษย์ของซิ่วไฉเฒ่าเหวินเซิ่ง แต่ซิ่วไฉเฒ่าก็ยังยินดียอมรับว่าความรู้ของคนผู้นี้ไม่ธรรมดา มองเห็นว่าความรู้ของคนผู้นี้เป็นคุณความชอบที่แอบแฝงต่อวิถีทางโลกในทุกวันนี้

กาลเวลาดั่งสายน้ำที่ไหลผ่าน ไม่แบ่งแยกกลางวันกลางคืน เป็นเช่นนี้มานับแต่โบราณกาล

ผู้เฒ่าสองคนที่จากลากันไปนานแล้วได้กลับมาพบกันใหม่อีกครั้ง กำลังพูดคุยกันถึงเรื่องที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้า

คนหนุ่มสองคนตรงหน้าผาหินดำที่เพิ่งพบกันครั้งแรกกลับสนิทสนมเหมือนรู้จักกันมานาน กำลังพูดคุยเรื่องเล็กๆ ยิบย่อย

คนหนุ่มลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่แสร้งทำเป็นนั่งหลับก็คือหลิวเสี้ยนหยางที่ถูกเฉินตุ้ยพาออกจากถ้ำสวรรค์หลีจูของแจกันสมบัติทวีปมายังทักษินาตยทวีป

พอรู้ว่านักพรตหนุ่มที่ชื่อว่าจางซานเฟิงคือสหายสนิทที่เคยร่วมเดินทางกับเฉินผิงอัน หลิวเสี้ยนหยางก็ดีใจอย่างมาก จึงสอบถามจางซานเฟิงถึงสิ่งที่เขาพบเจอมาระหว่างการเดินทางครั้งนั้น

เรื่องวงในบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับแจกันสมบัติทวีป กองทัพม้าเหล็กต้าหลีและถ้ำสวรรค์หลีจู หลิวเสี้ยนหยางก็รู้มาบ้าง แต่กลับไม่มาก เขาจึงได้แต่สืบหาเบาะแสเล็กๆ น้อยๆ มาจากรายงานภูเขาแม่น้ำเท่านั้น หลิวเสี้ยนหยางมาศึกษาเล่าเรียนอยู่นอกบ้าน ไร้ที่พึ่งพา จึงต้องกินใช้อย่างประหยัด เพราะตำราทุเล่มที่เก็บไว้ในสกุลเฉินอิ่งอินนั้น ไม่ว่าจะล้ำค่าปานใด คนที่มาศึกษาต่อทุกคนก็ล้วนสามารถนำมาเปิดอ่านได้โดยไม่คิดเงิน ทว่ารายงานภูเขาสายน้ำพวกนั้นกลับต้องจ่ายเงิน ยังดีที่หลิวเสี้ยนหยางได้รู้จักลูกศิษย์สกุลเฉินและนักเรียนในสำนักศึกษาของที่นี่หลายคน ตอนนี้ต่างก็เป็นเพื่อนกันแล้ว จึงสามารถรับรู้เรื่องบางส่วนของทวีปอื่นในใต้หล้ามาจากพวกเขา

เมื่อเทียบกับเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่ปีนั้นสดใสร่าเริงแล้ว

หลิวเสี้ยนหยางในทุกวันนี้ยิ่งเปลี่ยนมาเป็นสำรวมและหนักแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ ขยันตั้งใจเรียน รักษากฎอย่างเข้มงวด ในเรื่องการฝึกตนก็ยิ่งไม่เคยเกียจคร้าน ยิ่งนานวันก็ยิ่งสอดคล้องกับภูเขาสายน้ำและขนบธรรมเนียมประจำสกุลเฉินผู้รอบรู้มากขึ้นเรื่อยๆ

หันกลับไปดูเด็กหนุ่มตรอกหนีผิงที่ในอดีตยามอยู่กับคนนอกมักจะเงียบขรึมพูดน้อย สหายที่ดีที่สุดของหลิวเสี้ยนหยางคนนั้น ทุกวันนี้กลับแสวงหาความอิสระเสรีทางจิตใจอย่างที่ตัวเองปรารถนา มีทั้งสิ่งที่ไขว่คว้า และมีทั้งสิ่งที่ได้มาครอบครองแล้ว

จางซานเฟิงพูดรัวเหมือนเทถั่วออกจากกระบอกไม้ไผ่ บอกเล่าถึงความดีมากมายของเฉินผิงอัน

สำหรับผู้ฝึกตนหนุ่มแห่งยอดเขาพาตี้ผู้นี้ เกรงว่าต่อให้เขารู้ว่าแท้จริงแล้วตนเองได้พลาดการเป็นเทียนซือใหญ่ต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ไป บางทีเขาอาจจะรู้สึกเสียดายเล็กน้อย แต่ก็คงจะไม่เสียใจมากสักเท่าไร ที่มากกว่านั้นคงจะรู้สึกว่าอาจารย์ของตนโง่หรือไม่ คนอย่างเขาจางซานเฟิงน่ะหรือจะกล้าไปวาดหวังตำแหน่งเทียนซือใหญ่ต่างแซ่ของจวนเทียนซือ? ถึงอย่างไรแม้แต่คิดเขาก็ยังไม่กล้าคิดเลยด้วยซ้ำ ต่อให้รู้ว่าต้องพลาดโอกาสนั้นไป จิตแห่งเต๋าของจางซานเฟิงก็คงไม่ได้วุ่นวายสักเท่าไร

บางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งล้ำค่าในตัวเขาเองที่จางซานเฟิงไม่รู้ตัวมากที่สุด

ถึงขั้นที่ว่าไม่รู้ตัวยิ่งกว่าเรื่องที่เขามักจะคิดว่ามรรคกถาของอาจารย์ตนเองธรรมดาไม่สูงส่งด้วยซ้ำ

แต่เมื่อจางซานเฟิงพูดถึงการจากลากับเฉินผิงอันทั้งสองครั้ง เขากลับดูเสียใจมากจริงๆ

จางซานเฟิงปลดกระบี่โบราณเล่มที่สะพายอยู่บนหลังลงมาส่งมอบให้แก่หลิวเสี้ยนหยางเพื่อนใหม่ที่เพิ่งรู้จักกัน แล้วยิ้มกว้างเอ่ยว่า “นี่ก็คือกระบี่ที่เฉินผิงอันซื้อที่หอชิงฝู กระบี่ชื่อว่า ‘เจินอู่’ เม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหารที่สามารถเปลี่ยนเป็นเสื้อเกราะน้ำค้างหวานก่อนหน้านี้ ข้าก็ติดเงินเขาไว้เหมือนกัน ข้าติดค้างเฉินผิงอันไว้มากมาย แต่ตอนนี้อาจารย์ได้ขอโอสถวารีสองขวดมาจากสหายที่หนองน้ำเซิ่นเจ๋อ วันหน้าขอแค่มีโอกาสก็สามารถนำไปมอบให้เฉินผิงอันได้ ถือว่าเป็นค่าดอกเบี้ยที่ใช้คืนไปก่อน”

หลิวเสี้ยนหยางชักกระบี่ออกจากฝักช้าๆ บนตัวกระบี่มีรอยร้าวเล็กๆ สนิมเกราะเขรอะ

เขาใช้นิ้วดีดเข้าที่ตัวกระบี่ กระบี่ส่งเสียงสั่นสะเทือนเบาๆ แล้วจึงพยักหน้า เอ่ยว่า “หนักมาก”

จางซานเฟิงกล่าวอย่างกังขา “กระบี่เล่มนี้ไม่ถือว่าหนักเท่าไรกระมัง?”

หลิวเสี้ยนหยางหรี่ตาลงจ้องมองริ้วคลื่นเล็กๆ ที่กระเพื่อมอยู่รอบตัวกระบี่อย่างมหัศจรรย์ สามารถมองออกได้ถึงความลี้ลับที่ซ่อนอยู่ในนี้ นี่ไม่เกี่ยวกับว่าขอบเขตของหลิวเสี้ยนหยางสูงหรือต่ำ ในความเป็นจริงแล้วแต่ละครั้งที่อยู่ในความฝัน หลิวเสี้ยนหยางจะได้เข้าไปอยู่ในซากปรักสมรภูมิรบโบราณที่ดูเหมือนไม่มีอยู่จริง เคยเห็นกระบี่ดีๆ มานับไม่ถ้วน หลายเล่มเขาสามารถชักมันออกมาได้ แต่หลายเล่มต่อให้ตายก็ดึงไม่ขึ้น ต่อให้นั่นจะเป็นกระบี่หัก จนถึงทุกวันนี้หลิวเสี้ยนหยางก็ยังไม่สามารถยกมันขึ้นมาได้ แต่หลิวเสี้ยนหยางเคยชินกับการจดจำชื่อกระบี่โบราณ รูปแบบของฝักกระบี่ ลวดลายยามที่ปราณกระบี่เอ่อล้นออกมา รวมไปถึงความแตกต่างของปณิธานกระบี่แต่ละเล่มเหล่านั้นแล้ว จุดที่ลี้ลับมหัศจรรย์ยิ่งกว่านั้นอยู่ที่ว่าเขาที่เป็น ‘คนต่างถิ่นยุคปัจจุบัน’ ซึ่งสามารถมองเมินการไหลรินของแม่น้ำแห่งกาลเวลาเมื่ออยู่ในความฝันได้นั้น มีหลายๆ ครั้งที่กลับยังคงถูก ‘คนยุคโบราณในอดีต’ ออกกระบี่แล้วตวัดปั่นความคิดจิตวิญญาณทั้งหมดของหลิวเสี้ยนหยางให้แหลกกระจาย ทำให้เขาจำต้องถอยออกมาจากในความฝัน เหงื่อแตกท่วมเต็มตัว สภาพการณ์ที่อนาถที่สุดก็คือหลิวเสี้ยนหยางกระอักเลือดไม่หยุด ผ่านมานานหลายวันก็ยังไม่เลิกเวียนหัวตาลาย

นี่จึงเป็นเหตุให้สำหรับเรื่องของกระบี่

หลิวเสี้ยนหยางจึงถือเป็นผู้เชี่ยวชาญมานานแล้ว

ไม่พูดถึงขอบเขตของตบะ พูดถึงแค่โลกทัศน์ที่สูง โลกทัศน์ที่กว้างไกล บางทีเมื่อเทียบกับเซียนกระบี่อุตรกุรุทวีปหลายๆ คนแล้วก็ยังเหนือกว่ามาก

หลิวเสี้ยนหยางสอดกระบี่กลับเข้าฝักเบาๆ

กระบี่เล่มนี้

เขาไม่เคยเห็นในความฝันมาก่อน

แต่ความรู้สึกนั้นราวกับว่าเขาอยู่ในซากสนามรบที่ใหญ่ที่สุด รับสัมผัสถึงมันได้อย่างชัดเจน เมื่อเข้าไปอยู่ในนั้นก็ทำให้หลิวเสี้ยนหยางได้แต่ก้าวเท้าโซเซ รู้สึกเพียงว่าฟ้าดินหนักขึ้นหลายส่วน

ส่วนข้อที่ว่ากระบี่เล่มนี้จะใช่กระบี่เล่มนั้นหรือไม่ ก็บอกได้ยาก บางทีอาจเลียนแบบได้อย่างประณีตถึงได้มี ‘ปณิธานกระบี่’ น้อยนิดนั้นแฝงอยู่ด้วย

จางซานเฟิงนำกระบี่โบราณเจินอู่เล่มนั้นมาสะพายไว้ด้านหลังอีกครั้ง พอหันหน้ากลับมา เขากลับสังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มร่างกายสูงใหญ่คล้ายจะเสียใจอย่างมาก

จางซานเฟิงสงสัยเล็กน้อย เหตุใดทั้งๆ ที่ได้ยินว่าเพื่อนที่ดีที่สุดในบ้านเกิดของตนได้ดิบได้ดีแล้ว อีกทั้งยังเป็นคนดีที่จิตใจดั้งเดิมไม่แปรเปลี่ยนไป ความเสียใจของหลิวเสี้ยนหยางถึงได้มากกว่าความดีใจ?

หลิวเสี้ยนหยางกำสองหมัดวางไว้บนหัวเข่า ทอดสายตามองไปทิศไกลพลางเอ่ยเบาๆ ว่า “เจ้ารู้จักกับเฉินผิงอันช้ากว่าข้า ดังนั้นเจ้าจึงอาจจะไม่รู้ว่า ความหวังที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตของเจ้าหมอนั่นก็คือได้มีชีวิตอย่างสงบสุขปลอดภัย มีเพียงแค่นี้เอง เขาขี้ขลาดที่สุด กลัวว่าจะไม่สบาย กลัวว่าจะเจอกับหายนะมากที่สุด แต่ตอนที่ยังเด็ก เขากลับเป็นคนที่ไม่กลัวผีมากที่สุด เจ้าว่าแปลกหรือไม่? ช่วงเวลานั้นดูเหมือนเขาจะรู้สึกว่า ถึงอย่างไรตนก็พยายามอย่างมากที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว หากยังต้องตายก็ไม่ละอายแก่ใจตัวเอง ถึงอย่างไรตายไปแล้ว ไม่แน่ว่าอาจได้ไปพบกับใครบางคนอีกครั้งก็เป็นได้”

หลิวเสี้ยนหยางพึมพำ “ดังนั้นเฉินผิงอันที่เจ้ารู้จักเปลี่ยนมาเป็นคนที่ระมัดระวังรอบคอบขนาดนั้น ก็ต้องเป็นเพราะเขาหาเหตุผลที่ตัวเองห้ามตายอย่างเด็ดขาดเจอแล้วแน่นอน เจ้าคิดว่าการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้มีอะไรที่ไม่ดีใช่ไหม? ข้าเองก็รู้สึกว่ามันดีมาก แต่ข้าก็รู้ว่าสำหรับเขาแล้ว การมีชีวิตเช่นนี้จะต้องเหนื่อยมาก ตอนที่พวกเราได้รู้จักกัน นอกจากข้าแล้วก็ไม่มีใครรู้อีกว่าเขาต้องทุ่มเทเสียสละ และต้องแบกรับความอยุติธรรมเพื่อสองแม่ลูกครอบครัวหนึ่งในตรอกหนีผิงไปกี่มากน้อย”

หลิวเสี้ยนหยางพลันหัวเราะ “ชีวิตนี้ข้าเคยเห็นเขาร้องไห้แค่สองครั้ง ครั้งสุดท้ายคือตอนที่ข้าใกล้จะตาย ครั้งแรก ผ่านมานานมากแล้ว เป็นตอนที่ข้ากับเขาไปเป็นลูกศิษย์ที่เตาเผามังกรด้วยกัน แล้วเขาได้ยินข่าวลือมาจากตรอกซิ่งฮวา บอกว่าเขากับสตรีแต่งงานแล้วของตรอกหนีผิงผู้นั้นมีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือกัน วันนั้นข้าตื่นขึ้นมากลางดึก ไม่เห็นเขา ก็เลยออกจากห้องไปตามหา ถึงได้เห็นว่าเขายกม้านั่งมานั่งอยู่นอกประตู ใบหน้านองไปด้วยน้ำตา”

“ข้าไปนั่งอยู่ข้างเขา พอรู้เรื่องที่เกิดขึ้น ข้าที่ใจกว้างมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยสนใจใยดีเรื่องสกปรกในหมู่ชาวบ้านพวกนั้น แรกเริ่มยังเห็นเป็นเรื่องสนุก ก็เลยถามเขายิ้มๆ ว่ามีเรื่องดีๆ แบบนั้นเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ตอนนั้นเขาร้องไห้จนเหนื่อยแล้ว ก็เลยไม่ได้สนใจข้า ดังนั้นข้าจึงรู้ว่าเขาเสียใจมากจริงๆ ข้าถึงไม่ได้ล้อเขาเล่นต่อ ข้าปลอบใจใครไม่เป็น ก็เลยได้แต่อยู่เป็นเพื่อนเขา สุดท้ายตัวเขาเองก็คิดตก บอกกับข้าว่าบุญคุณของครอบครัวกู้ช่าน ชีวิตนี้ชดใช้อย่างไรก็ชดใช้ไม่หมด วันหน้าเวลาทำเรื่องอะไรให้พวกเขาสองแม่ลูก เขาจะต้องตั้งใจให้มากกว่านี้ จะปล่อยให้คนเอาไปนินทาว่าร้ายไม่ได้ และเวลาทำเรื่องอะไรก็จะสนแต่ความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ เพราะถึงท้ายที่สุดแล้ว คนที่เสียใจที่สุดก็มีแต่กู้ช่านและแม่ของเขา”

หลิวเสี้ยนหยางทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง ศีรษะหนุนอยู่บนสองมือ เอ่ยว่า “อันที่จริงตอนนั้นข้าอยากบอกเขามากว่า จะเป็นไปได้หรือไม่ที่แท้จริงแล้วแม่ของกู้ช่านไม่ได้สนใจถ้อยคำซุบซิบนินทาพวกนั้นเลยแม้แต่น้อย เป็นเจ้าเฉินผิงอันที่มาหลบอยู่ที่นี่แล้วใคร่ครวญส่งเดชก็เลยคิดมากไปเอง? แต่ถึงท้ายที่สุด คำพูดเช่นนั้นก็ไม่ได้หลุดออกไปจากปากของข้า เพราะข้าตัดใจพูดไม่ได้ ตัดใจให้เฉินผิงอันในเวลานั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ข้ากลัวว่าหากพูดไปแล้ว เฉินผิงอันจะฉลาดขึ้น แล้วไม่ดีกับข้าหลิวเสี้ยนหยางเหมือนเดิมอีก สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความเห็นแก่ตัวของข้าในเวลานั้น เพราะตอนนั้นข้าก็รู้แล้วว่า หากวันนี้เขาไม่ดีกับกู้ช่านเหมือนเก่า วันพรุ่งนี้ก็ย่อมดีกับข้าหลิวเสี้ยนหยางน้อยลง แต่พอข้าเดินทางข้ามทวีปจนมาถึงที่นี่ ผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้ ตอนนี้ข้าถึงได้รู้สึกเสียใจแล้ว ข้าไม่ควรให้เฉินผิงอันเป็นเฉินผิงอันคนนั้นมาโดยตลอด เขาควรจะคิดทำเพื่อตัวเองให้มากขึ้น เหตุใดตลอดชีวิตของเขาจะต้องมีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่น? อาศัยอะไร? อาศัยว่าเขาเฉินผิงอันคือเฉินผิงอันอย่างนั้นหรือ?”

ท่ามกลางแสงสนธยา บนก้อนหินใหญ่ริมแม่น้ำ สายลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า

คืนนี้น่าจะยังมีแสงจันกระจ่างประดับฟ้าอยู่เหมือนเดิม

จางซานเฟิงเงียบไปนาน ก่อนจะถามเบาๆ ว่า “จะกลับบ้านเกิดไปเมื่อไหร่?”

หลิวเสี้ยนหยางที่นอนอยู่ตรงนั้นหลับตาลง “พยายามจะกลับไปให้เร็วหน่อย ช้าสุดก็สิบปีกระมัง”

จางซานเฟิงพูดอย่างสะท้อนใจ “ต้องรีบกลับไป ในตำราบอกไว้ว่าร่ำรวยไม่กลับคืนสู่บ้านเกิด ก็เหมือนสวมชุดผ้าแพรเดินตอนกลางคืน อันที่จริงผู้ฝึกตนอย่างพวกเราทำแบบนั้นได้ยากมาก บนภูเขาไม่รู้ร้อนหนาว ราวกับว่าเพียงแค่ชั่วพริบตาเวลาก็ผ่านไปแล้ว พอกลับคืนไปยังบ้านเกิดอีกครั้ง จะเหลือใครอยู่อีกเล่า? แล้วจะมีใครให้โอ้อวดอะไรได้อีก? ต่อให้ตระกูลยังคงอยู่ ยังคงมีลูกหลาน แต่จะพูดอะไรได้มากอีกหรือ?”

หลิวเสี้ยนหยางเอ่ย “ข้าไม่ได้มีความผูกพันอะไรกับบ้านเกิด กลับไปก็ไม่ใช่เพื่อพิสูจน์ตัวเองกับใคร ดังนั้นสถานที่แรกที่ข้าจะไปหลังจากกลับไปถึงแจกันสมบัติทวีปจึงไม่ใช่เมืองเล็กแห่งนั้น คนแรกที่จะไปพบก็ไม่ใช่เขาเฉินผิงอัน”

จางซานเฟิงหันหน้ามา “มีปมในใจหรือ?”

หลิวเสี้ยนหยางยังคงหลับตา แต่ปากกลับคลี่ยิ้มบางๆ “เงื่อนตายมีแต่คลายด้วยความตาย”

หลิวเสี้ยนหยางลืมตาขึ้น ลุกพรวดขึ้นนั่ง “ไปถึงแจกันสมบัติทวีป เลือกคืนที่พระจันทร์เต็มดวง ข้าหลิวเสี้ยนหยางจะท้าประลองกระบี่กับภูเขาตะวันเที่ยงในความฝัน!”

จางซานเฟิงถามเสียงเบา “ไม่รอไปพร้อมกับเฉินผิงอันหรือ?”

หลิวเสี้ยนหยางยกสองมือกอดอก หัวเราะเสียงดัง “อย่าลืมล่ะว่าเป็นข้าหลิวเสี้ยนหยางที่คอยดูแลเฉินผิงอันมาโดยตลอด!”

แต่หลิวเสี้ยนหยางเองก็ไม่ได้ลืมว่า

อันที่จริงนับตั้งแต่วันแรกที่พวกเขาสองคนได้รู้จักกัน ก็เป็นเฉินผิงอันที่ช่วยเขาหลิวเสี้ยนหยางในตรอกหนีผิง

จางซานเฟิงไม่ได้รู้สึกว่าหลิวเสี้ยนหยางพูดจาวางโตอะไร

เพราะปีนั้นเฉินผิงอันก็เคยพูดอยู่บ่อยๆ ว่า มีคนผู้หนึ่งที่ชื่อว่าหลิวเสี้ยนหยางคอยดูแลเขาในหลายๆ ครั้ง แล้วก็สอนเขาในหลายๆ เรื่อง

มีเพียงตอนที่คนสองคนซึ่งเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของกันและกันได้พบและจากลายามเป็นเด็กหนุ่มเท่านั้น ที่เฉินผิงอันไม่เคยพูดถึงแม้แต่คำเดียว

หลิวเสี้ยนหยางพลันหันหน้าไปมองทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ

จิตขยับรับสัมผัส

หลิวเสี้ยนหยางพลันเอ่ยว่า “ข้าต้องนอนสักพัก”

จางซานเฟิงรู้สึกจนใจเล็กน้อย เหมือนกับอาจารย์ของตนมากๆ เลย

ห่างไปไกล

ผู้เฒ่าสองคนที่คนหนึ่งสวมชุดลัทธิขงจื๊อกับคนหนึ่งสวมชุดลัทธิเต๋าถอนหายใจพร้อมกัน

โดยเฉพาะฮว่อหลงเจินเหรินที่ยิ่งรู้สึกเสียใจ

เพราะสหายเก่าแก่ที่ก่อนจะเดินทางไปภูเขาห้อยหัวได้ไปเยี่ยมเยือนยอดเขาพาตี้ผู้นั้น เป็นเซียนกระบี่แห่งอุตรกุรุทวีปคนแรกที่รบตายอยู่ทางทิศใต้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่

ตอนนี้อุตรกุรุทวีปรู้ข่าวแล้ว ถึงได้มีความเคลื่อนไหวเช่นนี้

นี่ก็คือการสืบทอดเก่าแก่ที่ส่งต่อมารุ่นต่อรุ่นของอุตรกุรุทวีป

ชูกระบี่ทั้งทวีป

ปราณกระบี่ท่วมทะยานฟ้า

ทั้งใต้หล้ารับรู้

—-