ตอนที่ 869 เหอปู้อวี่

หมอดูยอดอัจฉริยะ

ภาษิตว่า สุนัขป่าถึงอย่างไรก็ยังเป็นสุนัขป่า แม้จะเดินไปไกลพันลี้ก็ยังคงล่าสัตว์อื่นเป็นอาหารอยู่เช่นเดิม อสูรประหลาดจากยุคโบราณอย่างสิงห์ขนทองนี้ เดิมก็ชื่นชอบการเข่นฆ่าอยู่แล้ว หลังจากคำรามออกไปหนึ่งครั้ง สายเลือดของสิงห์ขนทองน้อยก็ถูกปลุกขึ้นมา ดวงตาทั้งคู่ฉายแววอำมหิต กระโจนไปถึงตรงหน้านักพรตราวกับสายฟ้าแลบ แล้วตะปบกรงเล็บไปที่หน้าอก

“น…นี่มันตัวอะไรกัน?”

นักพรตถูกเสียงคำรามของสิงห์ขนทองน้อยข่มขวัญจนเลือดลมแปรปรวน เมื่อเห็นสิงห์ขนทองโถมเข้ามาถึงตรงหน้าแล้ว ก็อดมีแววตาตื่นตระหนกไม่ได้

แต่นักพรตรูปนี้ก็อยู่มาตั้งนานปานนี้แล้ว ย่อมมีประสบการณ์ในการต่อสู้คับขันกับคนหรืออสูรกายมาก่อน ทั้งที่ไม่เห็นร่างกายท่อนบนขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย แต่ร่างกลับถอยหลังออกไปไกลสิบกว่าเมตรในพริบตา ขณะเดียวกันมือขวาก็วาดเป็นวงตรงหน้าอก ทำให้อากาศโดยรอบเกิดความแปรปรวนขึ้นมาทันที

“เอ๊ะ? พลังฝีมือของเขาเพิ่งจะถึงระดับเซียนเทียนช่วงปลายได้ไม่นาน ทำไมถึงก่อคลื่นในอากาศได้ด้วยล่ะ?”

เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของนักพรต เยี่ยเทียนที่อยู่บนฟ้าก็มีสีหน้าตื่นตระหนกทันที เพราะอาศัยพลังยุทธของเขาในตอนนี้ ต่อให้ลงมือสุดกำลัง ก็คงไม่มีทางฉีกทำลายมิติอากาศในโลกที่ตัวเองอยู่ได้แน่ เดิมทีเยี่ยเทียนนึกว่า จะต้องถึงระดับจินตันก่อน จึงจะสามารถทำถึงจุดนั้นได้ แต่วิชาของนักพรตรูปนี้กลับทำให้ความรู้ความเข้าใจของเขาผิดเพี้ยนไปหมด

เมื่อเห็นภาพนี้ เยี่ยเทียนจึงเลิกคิดดูถูกนักพรตรูปนั้นทันที แม้ว่าเขาจะไปถึงระดับเจี่ยตันแล้ว และยังเคยค้นคว้าดูบันทึกการฝึกวิชาของจางซันเฟิงด้วย แต่บันทึกของท่านนักพรตจางที่เหลือสืบทอดมานั้น ส่วนมากล้วนเกี่ยวกับการตระหนักรู้และชื่นชมกฎแห่งธรรมชาติ ส่วนที่เป็นวิชาการต่อสู้กลับไม่ค่อยกล่าวถึงเท่าไรนัก

ดังนั้นสิ่งที่เยี่ยเทียนจะพึ่งพาได้ในตอนนี้ นอกจากปราณแท้ในกายและระดับพลังฝีมือที่แข็งแกร่งกว่ายอดฝีมือระดับเซียนเทียนแล้ว ก็คือมีดบินคู่กายที่เขาทุ่มเทแรงกายแรงใจมหาศาลหล่อหลอมขึ้นมานั่นเอง

นอกจากนั้นแล้ว เยี่ยเทียนก็มีวิชาที่ใช้สำหรับโจมตีอยู่ไม่มากนัก ส่วนศาสตร์ต่างๆ ของสำนักเสื้อป่านนั้น ตอนนี้กลับไม่เหมาะสมที่จะใช้แล้ว หากนำมาใช้ในการต่อสู้กับยอดฝีมือ เกรงว่ากลับจะได้ผลตรงกันข้ามเสียมากกว่า

นี่ทำให้เยี่ยเทียนนึกถึงข่าวที่ได้เห็นมาเมื่อช่วงก่อน ยอดฝีมือในยุทธจักรท่านหนึ่ง ได้ครองตำแหน่งอันดับมากมายในวงการศิลปะการต่อสู้ แต่กลับถูกเพื่อนบ้านใช้มีดฟันจนบาดเจ็บสาหัสระหว่างการทะเลาะวิวาทในละแวกบ้าน

เรื่องนี้มีความคล้ายคลึงกับสถานการณ์ที่เยี่ยเทียนกำลังประสบอยู่มากเหมือนกัน แม้ว่าเขาจะมีพลังฝีมือสูง และเคยเห็นเลือดรวมถึงผ่านเหตุการณ์เฉียดตายมาแล้ว แต่หากให้มาต่อสู้กับพวกพรตเฒ่าที่ดูเยาว์วัย แต่ที่จริงมีชีวิตอยู่มาไม่รู้ตั้งกี่ปีแล้วเหล่านี้ ก็ไม่แน่ว่าเขาจะเป็นฝ่ายเหนือกว่า

“เดียรัจฉานชั่ว อยากตายเรอะ!”

ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังอยู่กับการครุ่นคิดที่เบื้องบนนั้น ก็มีเสียงร้องโอยขึ้นมา ทำให้เขาตื่นจากภวังค์ พอมองลงไปดู เขาก็ตะลึงไปทันที

ที่แท้ ขณะที่ร่างของนักพรตรูปนั้นถอยหลังไป สิงห์ขนทองก็ตามติดไปราวกับเงาตามตัว ด้วยความเร็วระดับที่นักพรตรูปนั้นไม่อาจจะตอบโต้ได้เลย ขณะที่นักพรตใช้วิชาออกมา กรงเล็บของสิงห์ขนทองก็ตะปบลงไปที่หน้าอกของเขาแล้ว

แม้จะกำเนิดมาได้ไม่นาน แต่กรงเล็บของสิงห์ขนทองน้อยก็แกร่งพอที่จะแยกทองกะเทาะหยกได้เลยทีเดียว เกิดเสียงดัง “แคว่ก” ชุดของนักพรตตั้งแต่ช่วงอกลงไปจนถึงท้องน้อยถูกสิงห์ขนทองฉีกจนขาดวิ่น ร่างกายขาวผ่องของนักพรตเผยออกมา บนร่างมีรอยแผลลึกขึ้นหนึ่งรอย อีกนิดเดียวผิวหนังช่วงอกและท้องก็จะถูกกรีดเปิดออกมาอยู่แล้ว

“เยี่ยเทียน ท…ทำไมสิงห์ขนทองตัวนี้ถึงได้ร้ายกาจขนาดนี้ล่ะ?”

เมื่อครู่เยี่ยเทียนไม่ได้สังเกตดูสถานการณ์เบื้องล่าง แต่โก่วซินเจียกลับจับตาดูมาตลอด ยามนี้จึงมีสีหน้าตกตะลึง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็นึกไม่ถึงเลยว่า สิงห์ขนทองที่เชื่องกับเยี่ยเทียนราวกับเป็นสัตว์เลี้ยงนี้ จะมีพลังโจมตีที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้

“ท่านทั้งสองที่อยู่ข้างบน น่าจะออกมาได้แล้วกระมัง? ทำลับๆ ล่อๆ เช่นนั้นคิดจะวางอุบายจัดการเราพรตต่ำต้อยหรือไร?”

หลังจากถูกสิงห์ขนทองน้อยตะปบจนเกิดแผล ร่างของนักพรตรูปนั้นก็กระโจนถอยไปหนึ่งร้อยกว่าเมตร พลิกข้อมือหยิบขวดหยกใบหนึ่งออกมา แล้วเทยาเม็ดในขวดใส่ปากไปหนึ่งเม็ด ตั้งแต่ต้นจนจบ บาดแผลบนร่างของเขากลับไม่มีโลหิตหลั่งไหลออกมาเลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำตอนนี้ยังเริ่มสมานอย่างรวดเร็วอีกด้วย

นักพรตเงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้า ระดับของเขาต่ำกว่าเยี่ยเทียนเพียงขั้นเดียวเท่านั้นเอง หากเยี่ยเทียนพรางกายอยู่ตรงนั้นเพียงลำพังคนเดียว นักพรตก็อาจจะไม่สังเกตพบ แต่เมื่อเขาพาโก่วซินเจียซึ่งเพิ่งจะเข้าสู่ระดับเซียนเทียนมาด้วย จึงไม่อาจปิดบังจากญาณสัมผัสของนักพรตรูปนั้นได้

“คิดว่าฉันจำเป็นต้องวางอุบายกับแกด้วยงั้นหรือ?”

แม้จะรู้สึกหวั่นเกรงต่อฝีมือของนักพรตรูปนั้นอยู่บ้าง แต่เขามีระดับสูงกว่าอีกฝ่ายถึงหนึ่งขั้นเต็มๆ อีกทั้งยังมีวานรขาว สิงห์ขนทองและศิษย์พี่ใหญ่คอยช่วยเหลือ เยี่ยเทียนจึงไม่จำเป็นต้องกลัวนักพรตรูปนั้นเลย

เยี่ยเทียนหัวเราะเบาๆ แล้วตั้งจิตเก็บปราณแท้ที่ปกคลุมอยู่รอบๆ เขาและโก่วซินเจียกลับสู่ภายในร่างอย่างรวดเร็ว เหลือไว้เพียงเมฆสองกลุ่มที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า แล้วค่อยๆ ลดร่างลอยลงต่ำราวกับขี่เมฆเหาะเหิน

“เจ้าคือ…เยี่ยเทียน?!”

พลังฝีมือของวานรขาวยังด้อยกว่านักพรตรูปนั้นไปบ้าง เมื่อเยี่ยเทียนปรากฏกายออกมาแล้ว มันถึงจะมองเห็นคนทั้งสองที่อยู่บนฟ้า แล้วดวงตาก็เบิกโพลงขึ้นมาทันที มันกระโจนร่างไปถึงตรงหน้าเยี่ยเทียน แล้วมองขึ้นมองลงอย่างพินิจพิจารณา

“พี่วานรขาว ไม่เจอกันนานเลย เหล้าที่ผมส่งมาทุกปีพอดื่มรึเปล่า?”

ในโลกของผู้บำเพ็ญพรตนั้นนับถือกันที่ความแข็งแกร่ง คราวก่อนเยี่ยเทียนยังไม่ได้เข้าสู่ระดับเซียนเทียน เมื่อพบกับวานรขาวจึงย่อมต้องเรียกขานอีกฝ่ายเป็นผู้อาวุโส แต่ตอนนี้ระดับพลังฝีมือของเขาเหนือล้ำกว่าวานรเฒ่าไปมาก ที่เรียกอีกฝ่ายว่าพี่วานรขาวก็ถือว่าไว้หน้ามากพอแล้ว

“เจ้าคือเยี่ยเทียนจริงๆ น่ะรึ? ร…หรือว่าเจ้าจะบุกเข้าไปในสวนท้อของพระนางซีหวังหมู่ แล้วได้ไปกินผลท้อเซียนของจริงมา?”

หลังจากที่สัมผัสถึงพลังปราณอันคุ้นเคยของเยี่ยเทียนได้ วานรขาวก็ร้องเสียงแปลกๆ ออกมา ตีลังกาอยู่กับที่ไปสองที แล้วมองดูเยี่ยเทียนด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ

การบำเพ็ญพรตนั้นเป็นเส้นทางที่เต็มไปด้วยความยากลำบาก และแทบจะไม่มีทางลัดสู่ความสำเร็จเลย วานรขาวฝึกบำเพ็ญมาสองร้อยกว่าปีแล้ว แต่ก็ยังมีพลังฝีมือระดับเซียนเทียนช่วงกลางเท่านั้น แม้แต่เจ้านายของมันที่ฝึกบำเพ็ญมาสามร้อยกว่าปี ก็เพิ่งจะพยายามจนไปถึงระดับเซียนเทียนช่วงปลายได้ตอนที่จะไปจากเสินหนงเจี้ยแล้ว

ส่วนเยี่ยเทียนเมื่อสองปีก่อนนั้น ก็เพิ่งจะอยู่ขั้นสูงสุดของระดับโฮ่วเทียน (หลังกำเนิด) และมีความหวังสูงที่จะพัฒนาไปถึงระดับเซียนเทียนได้เท่านั้นเอง แต่ในเวลาเพียงสองปีนี้ เขากลับมีพลังฝีมือถึงระดับเจี่ยตันแล้ว ระดับนี้เหนือกว่าระดับเซียนเทียนช่วงปลายขึ้นไปอีก จึงนับว่าเหนือกว่าวานรขาวไปถึงสองระดับ นี่ทำให้วานรขาวรู้สึกอย่างกับว่า ตัวเองได้หลุดออกจากโลกแห่งความเป็นจริงไปแล้ว

“พี่วานรขาว เรื่องพวกนี้ไว้ค่อยพูดกันทีหลังนะ”

เมื่อเห็นวานรขาวท่าทางตกตะลึง เยี่ยเทียนก็โบกมือ สีหน้าพลันขรึมลงไป

“พี่วานรขาว ผมฝากเหมาโถวไว้กับพี่แท้ๆ พี่ไม่ได้ตั้งใจดูแลมันเลยรึไง?”

ขณะพูด เยี่ยเทียนกวักมือขวาหนึ่งครั้ง แล้วเหมาโถวซึ่งอยู่ห่างไปยี่สิบกว่าเมตรก็ถูกพลังมหาศาลดึงดูดมาสู่อ้อมแขนของเยี่ยเทียน อาการบาดเจ็บของเหมาโถวดูไม่ใช่เบาๆ เลย หลังจากที่มันเห็นเยี่ยเทียน ก็ได้แต่แสดงความตื่นเต้นยินดีออกมาทางแววตา ทำไม่ได้แม้แต่จะแลบลิ้นออกมาเลียหลังมือของเยี่ยเทียน

เยี่ยเทียนก้มหน้าลงเล็กน้อย ดวงตาฉายรังสีอำมหิตออกมา เขาหยิบพลอยวิเศษธาตุไม้ขนาดเท่านิ้วก้อยเม็ดหนึ่งออกมาจากกระเป๋าหนังที่พกติดตัว จากนั้นก็แงะปากของเหมาโถวให้เปิดออกแล้วใส่เข้าไป

“อย่ากลืนลงไปนะ ดูดรับปราณวิเศษที่อยู่ในนั้นมารักษาอาการบาดเจ็บซะ!”

“จี จี…”

เมื่อรู้สึกได้ถึงพลังชีวิตอันมหาศาลที่แผ่มาจากในปาก เหมาโถวก็ตาเป็นประกายขึ้นมาทันที หลังจากครางอยู่พักหนึ่ง มันก็เริ่มโคจรปราณแท้ตามวิชาที่วานรขาวถ่ายทอดให้ ชักนำปราณวิเศษนั้นมาหล่อเลี้ยงร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บ

“ฮื่ม!”

หลังจากสิงห์ขนทองน้อยโจมตีนักพรตจนล่าถอยไป แล้วเห็นพลอยวิเศษปรากฏขึ้นในมือของเยี่ยเทียน มันก็ขยับร่างวูบ กระโจนมาอยู่บนไหล่ของเยี่ยเทียนอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ แล้วใช้อุ้งเท้าน้อยๆ ข้างขวาถูไถเขาด้วยสีหน้าประจบประแจง

“แกนี่นะ คนอื่นเขาจำเป็นต้องใช้ช่วยชีวิต แต่อย่างแกน่ะคือตะกละ!”

เยี่ยเทียนส่ายหน้าอย่างระอา แต่เมื่อครู่นี้เจ้าสิงห์น้อยก็แสดงฝีมือได้ไม่เลวเลย หลังจากคิดๆ ดูแล้ว เยี่ยเทียนจึงหยิบพลอยวิเศษออกมาอีกเม็ดหนึ่งหย่อนใส่ปากของสิงห์ขนทอง เพียงแต่พลอยวิเศษเม็ดนี้มีขนาดเพียงเท่าเล็บนิ้วหัวแม่มือเท่านั้น

“น…นั่นมันพลอยวิเศษธาตุไม้นี่?”

ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังจะหยิบพลอยวิเศษออกมาอีก ก็มีเสียงร้องอุทานดังมาจากจุดที่ห่างออกไปหลายสิบเมตร นักพรตรูปนั้นดูออกว่า พลอยวิเศษที่แผ่พลังชีวิตออกมาอย่างไม่มีวันหมดสิ้นนั้น ก็คือพลอยวิเศษธาตุไม้ซึ่งแทบจะสูญสิ้นไปจากโลกของผู้บำเพ็ญพรตแล้วนั่นเอง!

นี่ทำให้สายตาของนักพรตกลายเป็นร้อนแรงขึ้นมา เนื่องจากพลังชีวิตที่สะสมอยู่ในพลอยวิเศษธาตุไม้นั้นสามารถเยียวยาอาการบาดเจ็บได้อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันยังสามารถช่วยเสริมปราณแท้ในกายได้อีกด้วย ถ้านำมาใช้ในยามที่ต้องผ่านภัยอัสนีสวรรค์ละก็ จะเป็นประโยชน์ยิ่งกว่าของวิเศษใดๆ ทั้งนั้น เพียงมีพลอยวิเศษธาตุไม้หนึ่งเม็ด อย่างน้อยโอกาสที่จะผ่านภัยอัสนีสวรรค์สำเร็จก็จะเพิ่มขึ้นมาถึงสองส่วนแล้ว

เพียงแต่ว่า พลอยวิเศษธาตุไม้จะก่อเกิดได้ในสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายอย่างยิ่ง แม้แต่ภายในดินแดนแห่งทวยเทพที่อุดมไปด้วยปราณวิเศษก็ยังแทบจะสาบสูญไปแล้ว มีเพียงสำนักใหญ่ๆ บางแห่งที่ยังมีเก็บสำรองอยู่จำนวนน้อยนิด แต่ก็คงไม่มีทางนำออกมาแน่

“ท่านก็มีความรู้เหมือนกันนี่ ถูกต้อง นี่ก็คือพลอยวิเศษธาตุไม้!”

ถึงเยี่ยเทียนจะกำลังก้มหน้าอยู่ แต่พลังปราณของเขาก็สามารถจับคลื่นอารมณ์และความโลภที่ฉายออกมาจากดวงตาของนักพรตรูปนั้นได้ จึงแค่นหัวเราะในใจ แล้วเอ่ยขึ้นว่า

“เฟอร์เร็ตตัวนี้เป็นสัตว์เลี้ยงของฉันเอง ไม่ทราบว่ามันไปล่วงเกินสหายพรตอย่างไร ถึงกับต้องลงมือโหดเช่นนี้?”

“สหายพรตท่านนี้ ท่านคงจะเข้าใจผิดไปแล้วละ!”

นักพรตรูปนั้นกลอกลูกตา กลัดชุดนักพรตที่ขาดวิ่นให้ติดกัน ค้อมกายคารวะต่อเยี่ยเทียนอย่างต่ำมาก แล้วกล่าวด้วยท่าทางเคารพนอบน้อมว่า

“ข้าชื่อเหอปู้อวี่ เดิมทีได้รับการไหว้วานจากสหายพรตผู้พี่ท่านหนึ่ง มายังโลกของคฤหัสถ์เพื่อเก็บตัวยาสำหรับนำไปปรุงยาวิเศษ

“แต่คาดไม่ถึงเลยว่า ขณะที่ข้ากำลังเตรียมจะเก็บตัวยา กลับถูกเฟอร์เร็ตนี้จู่โจมกะทันหัน ตอนนั้นด้วยความที่ไม่ได้ยั้งคิด จึงไม่ได้ยั้งมือ และไม่ทราบว่าเป็นสัตว์เลี้ยงของสหายพรต ผู้แซ่เหอต้องขออภัยต่อสหายพรตมา ณ ที่นี้ด้วย ข้ายังมียาวิเศษอยู่จำนวนหนึ่ง ขอสหายพรตโปรดรับไว้ ถือเสียว่าเป็นของไถ่โทษจากผู้แซ่เหอ!”

นักพรตกล่าวพลางหยิบขวดหยกใบหนึ่งออกมาแล้วโยนไปทางเยี่ยเทียน ท่าทีนั้นแลดูจริงใจอย่างยิ่ง

เยี่ยเทียนรับขวดหยกมาเปิดจุก และยกขึ้นมาดมที่ปลายจมูก ในกลิ่นเผ็ดร้อนแฝงด้วยความหอมกรุ่น จัดเป็นยาวิเศษสำหรับรักษาการบาดเจ็บจริงๆ ยามนั้นรอยยิ้มจึงปรากฏขึ้นบนใบหน้า และเอ่ยขึ้นว่า

“เจ้าของเดิมของถ้ำแห่งนี้ก็นับว่าเป็นคนรู้จักเก่าแก่ของฉัน ไม่ทราบว่าสหายพรตเหอพอจะเอ่ยชื่อแซ่ของเขาได้หรือไม่?”

วาจาของนักพรตรูปนี้ เยี่ยเทียนไม่เชื่อถือเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว ถ้าเขามาที่นี่เพราะได้รับการไหว้วานจากเจ้าของถ้ำจริงๆ ไหนเลยจะมาทำร้ายวานรขาวซึ่งเป็นผู้เฝ้าสวนสมุนไพรแบบนี้? มิหนำซ้ำดูจากรูปการณ์แล้ว ถ้าเยี่ยเทียนไม่มา เขาก็อาจจะสังหารวานรขาวไปแล้วก็เป็นได้

“แน่นอน ข้ากับสหายพรตซือคงคบหาสมาคมกันมาหลายสิบปีแล้ว มิตรภาพผูกพันแน่นแฟ้น แล้วจะไม่ทราบนามของเขาได้อย่างไร?”

เหอปู้อวี่หัวเราะฮ่าๆ ขึ้นมาเสียงดังแล้วพูดต่อ

“ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการเข้าใจผิดกันเท่านั้นเอง ถ้าไม่ใช่เพราะเดียรัจฉานนี่เข้ามาขัดขวางอย่างไม่กลัวตาย ข้าก็คงไม่ไปทำร้ายพวกมันหรอก!”

นักพรตหัวเราะดังลั่นออกมาอีกครั้งหนึ่ง แล้วพลิกข้อมือหยิบกระบี่สั้นยาวสามชุ่นออกมาเล่มหนึ่ง โยนส่งให้วานรขาวแล้วเอ่ยขึ้นว่า

“ดูสิ ว่าใช่ของที่เจ้านายแกทิ้งไว้รึเปล่า? ช่างเป็นลิงที่ไร้อารยธรรมเสียจริง เสียแรงที่พี่ซือคงอุตส่าห์ชมอยู่บ่อยๆ ว่าแกน่ะฉลาดหลักแหลมนัก!”

…………………….