ตอนที่ 870 ต่างฝ่ายต่างแฝงเลศนัย (1)

หมอดูยอดอัจฉริยะ

“เป็นกระบี่สั้นที่นายท่านเคยใช้ น…นี่มันเป็นมรดกประจำตระกูลของนายท่านนี่นา!”

หลังจากยื่นมือไปรับกระบี่สั้นที่นักพรตรูปนั้นโยนมาพิจารณาดูครู่หนึ่ง วานรขาวก็ร้องอุทานออกมา ในดวงตาทั้งคู่ปริ่มไปด้วยน้ำตาทันที

เมื่อห้าสิบกว่าปีก่อน ประมุขรุ่นปัจจุบันของตระกูลซือคงรู้ว่าชีวิตของตนใกล้ถึงขีดจำกัด จึงออกเดินทางไปแสวงโชคชะตา ตั้งแต่นั้นก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย เดิมทีวานรขาวนึกว่าเจ้านายคงดับขันธ์กลายเป็นเซียนไปแล้ว พอตอนนี้จู่ๆ ก็ได้เห็นของแทนตัวของเจ้านาย ในใจจึงรู้สึกสะทกสะท้อนขึ้นมาอย่างไม่อาจหักห้ามได้

ในตระกูลซือคงนั้น มีธรรมเนียมการเลี้ยงวานรขาวมาตลอดหลายพันปี แม้สองฝ่ายจะเป็นนายกับบ่าว แต่ก็ปฏิบัติต่อกันดั่งญาติสนิท วานรขาวตัวนี้ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้านายมาตั้งแต่เล็กจนโต มีชีวิตอยู่ร่วมกันมาสองร้อยกว่าปี ความผูกพันนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าความผูกพันระหว่างมนุษย์เลย

“เอามาดูหน่อยซิ!”

เยี่ยเทียนยื่นมือออกไปปล่อยพลังดูดกระบี่สั้นเล่มมา ทันทีที่เข้ามาอยู่ในมือ เยี่ยเทียนก็รู้สึกได้ถึงความพิเศษของกระบี่สั้นเล่มนี้

กระบี่สั้นเล่มนี้มีความยาวเพียงสามชุ่น แทบจะพอๆ กับมีดบินคู่กายของเยี่ยเทียน แต่กลับหนักถึงพันชั่ง บนด้ามกระบี่สลักไว้ว่า ‘ซือคง’ ด้วยตัวอักษรจ้วน บนตัวกระบี่สีดำทะมึนมีประกายแสงสีทองแล่นวูบวาบ ที่แท้กระบี่ทั้งเล่มหลอมตีขึ้นมาจากทองคำบริสุทธิ์ เมื่อลองใช้นิ้วดีดลงไป ก็เกิดเสียงใสกังวานสะท้านไปรอบทิศ

หลังจากเห็นการกระทำของเยี่ยเทียน วานรขาวก็พูดขึ้นว่า

“ย…เยี่ยเทียน กระบี่สั้นเล่มนี้เป็นมรดกประจำตระกูลของนายท่านจริงๆ ด้วย!”

กระบี่สั้นเล่มนี้เดิมทีเป็นกระบี่บินคู่กายของประมุขรุ่นที่สองของตระกูลซือคง ท่านเป็นคนแกร่งที่สามารถบรรลุจินตันและสำเร็จมหามรรคได้ เพียงแต่ประมุขท่านนี้ไม่ได้มีพรสวรรค์มากนัก แม้จะมีอายุขัยยาวนานถึงหนึ่งพันปี แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ผ่านภัยอัสนีสวรรค์

ประมุขตระกูลซือคงรู้ว่าตนจะมีชีวิตอยู่อีกไม่นาน ก่อนที่จะดับขันธ์กลายเป็นเซียน จึงลบล้างจิตของตนออกจากกระบี่บินคู่กายเล่มนี้ไป แล้วส่งต่อให้แก่ทายาทรุ่นหลัง

แต่เพราะความเคารพที่ประมุขรุ่นต่อๆ มามีต่อบรรพชนท่านนี้ จึงได้แต่บูชากระบี่สั้นเล่มนี้เป็นสมบัติประจำตระกูล ไม่ได้นำไปหล่อหลอมไว้ใช้เอง วานรขาวติดตามประมุขรุ่นปัจจุบันมานานแล้ว ย่อมรู้ประวัติของกระบี่สั้นเล่มนี้ดี

“แล้ว…แล้วแกทำไมไม่รีบบอก? ถ้าแกหยิบกระบี่สั้นเล่มนี้ออกมาก่อน ข้าจะไปขัดขวางการเก็บตัวยาของแกทำไมเล่า?”

วานรขาวเช็ดน้ำตา แล้วมองไปที่เหอปู้อวี่

“ตอนนี้นายท่านอยู่ที่ไหน? ท่านน่าจะบรรลุจินตัน สำเร็จมหามรรคได้แล้วกระมัง? แล้วทำไมท่านถึงไม่มาหาข้าบ้างเลยล่ะ?”

พอพูดถึงประเด็นเศร้า วานรขาวก็ร้องไห้ฟูมฟายขึ้นมาทันที ถึงมันจะฝึกบำเพ็ญมาหลายร้อยปีแล้ว แต่ก็ยังคงไม่อาจทิ้งนิสัยเปิดเผยจริงใจอย่างเดิมได้ เมื่อนึกถึงเรื่องราวสารพัดสารพันในสมัยก่อนที่ได้อยู่กับเจ้านาย วานรขาวก็นึกอยากจะออกเดินทางจากที่นี่ไปตามหาท่านเสียเดี๋ยวนั้นเลย

“นับว่ายังมีใจระลึกถึงนายเก่าอยู่ ถือเสียว่าก่อนหน้านี้ข้าทำไม่ถูกเอง ผู้แซ่เหอขออภัยด้วยก็แล้วกัน!”

เหอปู้อวี่ดูเหมือนจะรู้สึกตื้นตันต่อความจริงใจของวานรขาวมาก จึงโค้งกายเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้นว่า

“ท่านพี่ซือคงบรรลุจินตัน สำเร็จมหามรรคไปตั้งแต่เมื่อสามสิบปีก่อนแล้ว อายุขัยจึงเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งพันปีเศษ วันหน้าพวกเจ้านายบ่าวย่อมต้องได้พบกันอีกแน่นอน”

“นายท่านบรรลุจินตันแล้วทำไมถึงไม่มาหาข้าล่ะ? ที่นี่เป็นถิ่นฐานของตระกูลท่านแท้ๆ ของบางอย่างระดับจินตันก็น่าจะได้ใช้เหมือนกันนี่!”

วานรขาวไม่เข้าใจในสิ่งที่เหอปู้อวี่กล่าวมาเลย ตระกูลซือคงก็เป็นตระกูลของผู้บำเพ็ญเซียนที่มีประวัติมาช้านาน แม้ในยุคปัจจุบันจะเสื่อมถอยลงไปบ้าง แต่ถึงอย่างไรก็เคยปรากฏยอดฝีมือระดับจินตันมาก่อน ของล้ำค่าที่เก็บสะสมไว้จึงมีอยู่จำนวนไม่น้อย

ตอนที่ประมุขตระกูลรุ่นปัจจุบันจะออกเดินทางก็ยังกล่าวไว้ด้วยว่า หากในยามที่ท่านยังมีชีวิตอยู่นี้สามารถบรรลุจินตัน สำเร็จมหามรรคได้ ก็จะกลับมาพาวานรขาวไปที่มิติดินแดนแห่งทวยเทพนั้นด้วยกัน ดังนั้นวานรขาวถึงได้เฝ้าอยู่ที่นี่อย่างตั้งอกตั้งใจมากว่าครึ่งศตวรรษ

“เจ้าไม่รู้หรอกรึ?”

เมื่อได้ยินคำพูดของวานรขาว เหอปู้อวี่ก็มีสีหน้าประหลาดใจ แล้วหันไปพูดกับเยี่ยเทียนว่า

“สหายพรตท่านนี้ต้องรู้แน่ว่าท่านพี่ซือคงไม่ได้กลับมาเพราะสาเหตุใด!”

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน กำลังอยากจะขอเรียนถามอยู่พอดี!” เยี่ยเทียนตอบอย่างสุขุมเยือกเย็น

“อ้อ? สหายพรตก็ไม่รู้เหมือนกันหรือ?”

เหอปู้อวี่เปลี่ยนสีหน้า ดวงตาฉายแววยินดีออกมาเล็กน้อยจนแทบไม่อาจสังเกตเห็น

“ตลอดสองร้อยกว่าปีมานี้ ปราณวิเศษในโลกของคฤหัสถ์ได้เหือดหายไปมาก และช่องว่างของมิติก็ไม่มั่นคง หนทางมีขีดจำกัด ดังนั้นหลังจากที่ยอดฝีมือระดับจินตันออกมาจากแดนแห่งทวยเทพแล้ว พลังฝีมือก็จะถูกลดลงไปอยู่ที่ระดับเซียนเทียน…”

“เอ๊ะ? ที่พี่เหอพูดมานี่ขนาดฉันเองยังไม่ค่อยเข้าใจเลยนะ”

เยี่ยเทียนพลันพูดขัดเหอปู้อวี่

“ต่อให้พลังฝีมือของสหายพรตซือคงถูกลดลงไปเป็นระดับเซียนเทียน แต่ก็น่าจะกลับมาได้อยู่ แล้วทำไมจะต้องให้พี่เหอมาเป็นธุระให้ด้วยล่ะ?”

“สหายพรตอาจไม่ทราบ กลับมานั้นกลับมาได้ แต่ถ้าอยากจะกลับเข้าไปที่นั่นอีก ก็จะต้องผ่านอัสนีสวรรค์ระดับจินตันอีกครั้งหนึ่ง!”

เหอปู้อวี่เว้นวรรคไปครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวต่อ

“ท่านก็คงจะรู้ว่า การผ่านอัสนีสวรรค์ระดับจินตันนั้นมีโอกาสรอดเพียงน้อยนิด ย่อมไม่มีใครอยากผ่านภัยนี้อีกเป็นครั้งที่สอง ดังนั้นท่านพี่ซือคงจึงได้ไหว้วานให้ข้ามานำของที่ท่านต้องการกลับไปให้!”

“เป็นแบบนี้เองรึ? อย่างนั้นพวกเราก็เป็นฝ่ายเข้าใจพี่เหอผิดไปเอง เรื่องที่เฟอร์เร็ตตัวนี้ได้รับบาดเจ็บ เราจะถือว่าแล้วกันไปก็แล้วกัน!”

หลังจากฟังคำอธิบายของเหอปู้อวี่ สีหน้าของเยี่ยเทียนก็กระจ่างขึ้นราวกับแสงตะวันทันที ราวกับหิมะน้ำแข็งที่ได้ละลายไป ดูเหมือนเขาจะไม่ติดใจอะไรกับการกระทำเมื่อครู่ของคนผู้นี้อีกแล้ว ท่าทีที่แสดงออกมานั้นแลดูจริงใจไม่แพ้การกล่าวขอโทษของเหอปู้อวี่

“ขอบคุณสหายพรตที่เข้าใจ”

เหอปู้อวี่คารวะให้เยี่ยเทียนอีกครั้งหนึ่ง สายตากวาดไปที่วานรขาวแล้วพูดว่า

“เจ้าวานรขาว ยังมีอะไรจะพูดอีกไหม?”

วานรขาวส่ายหัว

“ไม่มี ก่อนหน้านี้ข้าเป็นฝ่ายวู่วามเอง ข้าจะส่งมอบข้าวของที่นายท่านทิ้งไว้ให้เจ้าทั้งหมดเลยก็ได้ แต่เจ้าต้องรับปากว่าจะพาข้าไปหานายท่าน!”

เมื่อมีสมบัติประจำตระกูลของเจ้านายเป็นของแทนตัว ยามนี้วานรขาวจึงไม่รู้สึกระแวงสงสัยต่อเหอปู้อวี่อีกเลย มันคิดเพียงแต่ว่า จะส่งสิ่งของทั้งหมดที่อยู่ในถ้ำของเจ้านายให้แก่อีกฝ่าย จากนั้นตนก็ติดตามไปพบกับเจ้านาย

‘บัดซบ เจ้าลิงน่าตายนี่มันหลอกเรานี่หว่า?’

หลังจากฟังบทสนทนาระหว่างเหอปู้อวี่และวานรขาว เยี่ยเทียนก็อดก่นด่าในใจไม่ได้ คราวก่อนเจ้าลิงนี่บอกอยู่แท้ๆ ว่า ถ้ำของเจ้านายถูกผนึกไว้ใต้ดิน แม้แต่มันเองก็ไม่มีทางที่จะเข้าไปได้

“เรื่องนี้ไม่ต้องรีบร้อน ขอเรียนถาม สหายพรตท่านนี้มีนามว่าอะไรหรือ?”

เหอปู้อวี่โบกมือ มองไปทางสิงห์ขนทองที่อยู่บนไหล่ของเยี่ยเทียนแล้วพูดต่อ

“สหายพรตสามารถเลี้ยงอสูรประหลาดเช่นนี้ได้ คาดว่าคงมีเบื้องหลังไม่ธรรมดาแน่ ไม่ทราบว่าสหายพรตเป็นสาวกของสำนักคุนหลุน หรือว่าเป็นศิษย์เอกของสำนักฮุ่นหยวน? นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าจะได้มาพบกับบุคคลเช่นสหายพรตที่นี่”

เมื่อหยุดกิริยาตอนที่ต้องต่อสู้ห้ำหั่นกันเมื่อครู่แล้ว ถ้อยคำอันราวกับสายลมอุ่นและสายฝนปรอยๆ ของเหอปู้อวี่นั้น ก็สามารถที่จะทำให้ผู้อื่นเกิดความรู้สึกไว้วางใจและชอบพอได้อย่างง่ายดาย และทำให้ผู้อื่นไม่อาจเกิดจิตคิดมาดร้ายต่อเขาได้ แม้แต่สิงห์ขนทองน้อยที่อยู่บนไหล่ของเยี่ยเทียนก็ยังมองไปที่นักพรตด้วยสายตาที่ไม่มีรังสีอำมหิตแล้ว

“สหายพรตเกรงใจไปแล้ว ผมแซ่เยี่ย และก็ไม่ได้เป็นลูกศิษย์ของสำนักใดๆ ที่สหายพรตกล่าวมาเลย แต่เติบโตมาในโลกของปุถุชนนี้นี่แหละ!”

เยี่ยเทียนก็ดูเหมือนจะไม่ได้ระแวงเหอปู้อวี่เลย ขณะที่โก่วซินเจียกำลังจะเอ่ยปากยั้งเขาไว้ไม่ให้เปิดเผยข้อมูลออกมา เยี่ยเทียนก็พูดต่ออีกว่า

“ผมเพิ่งจะบำเพ็ญพรตมาเพียงยี่สิบปีเศษเท่านั้น ท่านนี้คือศิษย์พี่ใหญ่ของผมเอง พวกเราก็ต้องอาศัยของล้ำค่าบางอย่างที่เป็นมรดกตกทอดในสำนักเหมือนกัน ถึงจะพัฒนามาถึงระดับเซียนเทียนได้!”

“ศิษย์น้องเล็ก…”

โก่วซินเจียไม่นึกว่าเยี่ยเทียนจะเปิดเผยเบื้องหลังของตัวเองให้ฝ่ายตรงข้ามรู้จนหมด แต่ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากห้าม กระแสจิตของเยี่ยเทียนก็ดังขึ้นในห้วงสมอง

‘ศิษย์พี่ใหญ่ นิ่งเฉยไว้ก่อนอย่าใจร้อน คนผู้นี้ในใจซ่อนเจตนาร้ายไว้ ทำไมผมจะดูไม่ออก?’

“ศิษย์น้องเล็ก ไม่ควรเปิดเผยเบื้องลึกกับคนที่รู้จักเพียงผิวเผินนะ!”

เมื่อได้ยินกระแสจิตของเยี่ยเทียน โก่วซินเจียก็ตำหนิเยี่ยเทียนไปคำหนึ่ง ทว่าใบหน้ากลับดูไม่มั่นใจเล็กน้อย

“สหายพรตเยี่ยเพิ่งจะบำเพ็ญพรตมายี่สิบกว่าปีเท่านั้นหรือ?”

เหอปู้อวี่ไม่ได้สนใจฟังคำพูดของโก่วซินเจียเลย เพราะเขามัวแต่ตกตะลึงกับสิ่งที่เยี่ยเทียนพูดมา คราวนี้อาการตื่นตะลึงที่ปรากฏบนใบหน้ากลับไม่ได้เป็นการเสแสร้งออกมาเลย

แม้ว่าพลังฝีมือเพิ่งจะเข้าสู่ระดับเซียนเทียนช่วงปลายได้ไม่นาน แต่เหอปู้อวี่ก็มีประสบการณ์และความรู้กว้างขวางอย่างยิ่ง เขาย่อมมีวิชาที่สามารถล่วงรู้อายุที่แท้จริงของเยี่ยเทียน โดยผ่านการตรวจดูโครงกระดูกและร่างกายภายนอกของเขาได้ หลังจากยืนยันแล้วว่าสิ่งที่เยี่ยเทียนกล่าวมาไม่ได้เป็นความเท็จ ในใจของเหอปู้อวี่ก็เกิดคลื่นยักษ์ถาโถมขึ้นมาทันที

ช่วงแรกๆ ที่เหอปู้อวี่ผู้นี้เริ่มบำเพ็ญพรตนั้น โชคของเขาไม่ค่อยจะดีเท่าไรนัก สมัยที่ยังไม่ถึงระดับเซียนเทียน เขาก็ติดตามอาจารย์เข้าไปในมิติของดินแดนแห่งทวยเทพ เพียงแต่หลังจากที่เข้าไปได้ไม่นาน อาจารย์ของเขาก็ตายไปในระหว่างการต่อสู้เพื่อแย่งชิงทรัพยากรครั้งหนึ่ง

ในตอนแรก เหอปู้อวี่ผู้ไร้ที่พึ่งพิงก็ไปเข้าร่วมกับสำนักเล็กๆ แห่งหนึ่ง แต่ใครเลยจะคาดคิดว่า หลังจากผ่านไปเพียงปีเดียว สำนักนั้นกลับถูกผู้อื่นขุดรากถอนโคน เหอปู้อวี่ซึ่งเคราะห์ดีรอดภัยครั้งนั้นมาได้ จึงต้องฝึกวิชาตามลำพังอย่างระหกระเหินด้วยเหตุนี้เอง

ในมิติดินแดนแห่งทวยเทพที่ทรัพยากรในการบำเพ็ญเซียนขาดแคลนไม่ต่างกันนี้ เหมืองที่มีสายแร่วิเศษส่วนมากล้วนถูกค่ายสำนักใหญ่ๆ ครอบครองไปหมดแล้ว การฝึกบำเพ็ญตามลำพังย่อมลำบากยากเย็นอย่างไม่ต้องสงสัย เหอปู้อวี่จึงไปขอกราบผู้อื่นเป็นอาจารย์อีกหลายครั้ง แต่ก็ถูกปฏิเสธปิดประตูใส่ทุกครั้งเพราะมีคุณสมบัติไม่ดีพอ

เมื่อมีชีวิตอยู่มานานเข้า เหอปู้อวี่จึงเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องคุณสมบัตินี้อย่างลึกซึ้ง การบรรลุถึงระดับเซียนเทียนในดินแดนแห่งทวยเทพนั้นถือเป็นเรื่องธรรมดาอย่างยิ่ง ลูกศิษย์แทบทั้งหมดในแต่ละสำนักต่างก็มีพลังฝีมือระดับเซียนเทียนกันทั้งนั้น

แต่การก้าวจากระดับเซียนเทียนไปสู่ระดับจินตันนั้น กลับเปรียบดั่งหุบเหวขนาดใหญ่ยักษ์ที่ยากจะข้ามไปได้ แทบจะมีคนเพียงหนึ่งในหมื่นเท่านั้นที่จะสามารถผ่านอัสนีสวรรค์ระดับจินตัน จนบรรลุจินตัน สำเร็จมหามรรคได้ ยอดฝีมือระดับนี้ในแต่ละสำนัก ต่างก็ได้รับการปฏิบัติเฉกเช่นศิษย์ระดับอาวุโสของสำนักกันทั้งนั้น

แต่เท่าที่เหอปู้อวี่รู้ คนที่สามารถไปถึงระดับจินตันได้เร็วที่สุดในดินแดนแห่งทวยเทพ ก็มีอายุมากกว่าหกสิบปีแล้ว

ไม่เพียงเท่านี้ ผู้ที่จะสามารถก้าวไปถึงระดับจินตันภายในเวลาไม่เกินหนึ่งร้อยปีได้นั้น ล้วนแล้วแต่เป็นอัจฉริยะชั้นยอดที่ได้รับการอบรมพิเศษในแต่ละสำนักทั้งนั้น ผู้ที่ไปถึงระดับเจี่ยตันได้ขณะที่อายุเพียงยี่สิบกว่าปีแบบเยี่ยเทียนนี้ เหอปู้อวี่แค่ได้ยินยังไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย

ถ้าข่าวนี้แพร่เข้าไปในมิติดินแดนแห่งทวยเทพละก็ เกรงว่าแม้แต่ยอดฝีมือระดับจินตันเหล่านั้นก็คงจะยอมเสี่ยงรับอัสนีสวรรค์อีกครั้ง เพื่อบุกมาชิงตัวคนที่โลกของปุถุชนนี้แน่นอน

เพราะหากเยี่ยเทียนสามารถก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ ย่อมมีหวังที่จะฝ่าฟันไปถึงระดับหยวนอิงได้แน่ และเขาก็จะมีพลังในการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดน หากสำนักใดปรากฏยอดคนระดับหยวนอิงขึ้นมาสักคนหนึ่งแล้ว เช่นนั้นตำแหน่งฐานะของสำนักก็จะพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด และสิ่งที่จะตามมาหลังจากนั้นก็คือทรัพยากรและผลประโยชน์ต่างๆ นานา

เดิมทีในใจเหอปู้อวี่มีความคิดอย่างอื่นอยู่ แต่หลังจากที่รู้อายุที่แท้จริงของเยี่ยเทียนแล้ว เขาก็เริ่มจะลังเลขึ้นมา ตอนนี้เหอปู้อวี่กำลังชั่งใจอยู่ว่า ถ้านำข่าวเรื่องเยี่ยเทียนไปขายให้สำนักบางแห่ง แล้วเขาจะได้รับผลประโยชน์ที่มากยิ่งกว่าหรือไม่?

…………………………