ตอนที่ 871 ต่างฝ่ายต่างแฝงเลศนัย (2)

หมอดูยอดอัจฉริยะ

ที่จริงแล้วในดินแดนแห่งทวยเทพเสินโจวก็ไม่ได้ขาดแคลนอัจฉริยะเลย ชนพื้นเมืองที่กำเนิดในดินแดนนี้หลายคนก็สามารถบากบั่นไปถึงขั้นบรรลุจินตัน สำเร็จมหามรรคได้ในเวลาเพียงหนึ่งร้อยกว่าปี แต่เมื่อเทียบกับเยี่ยเทียนที่อายุเพียงยี่สิบกว่าปีแล้ว กลับทำให้คนเหล่านั้นดูอับแสง ไม่คู่ควรที่จะได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะอีกต่อไป

ดังนั้นเหอปู้อวี่จึงเชื่อว่า เมื่อตนกลับไปถึงในดินแดนนั้นแล้ว เพียงนำอายุและระดับพลังฝีมือของเยี่ยเทียนไปรายงานต่อสำนักใหญ่ๆ บางแห่ง ฝ่ายนั้นจะต้องให้ความสำคัญกับเขาอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลาก็คงจะได้รางวัลไม่น้อย กระทั่งอาจยังได้เข้าไปอยู่ในสำนักแห่งนั้นเป็นกรณีพิเศษอีกด้วย

เพราะอาศัยระดับของเยี่ยเทียนในตอนนี้ หากก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งทวยเทพเมื่อใด ก็จะไม่อาจเก็บงำพลังฝีมือของตนไว้ได้ ต้องเผชิญกับอัสนีสวรรค์ระดับจินตัน แต่อาศัยพลอยวิเศษธาตุไม้ที่เยี่ยเทียนมีอยู่ในมือ และเคล็ดวิชาของสำนักใหญ่ๆ เหล่านั้นแล้ว การผ่านอัสนีสวรรค์ย่อมไม่ใช่เรื่องยาก เหอปู้อวี่ก็จะมีความดีความชอบมากยิ่งขึ้น

แต่ถ้าเขาสังหารเยี่ยเทียนเสีย ก็จะได้รับผลประโยชน์มากมายเช่นกัน สาเหตุที่เหอปู้อวี่ลังเลไม่อาจตัดสินใจก็เพราะกำลังชั่งน้ำหนักส่วนได้ส่วนเสียอยู่ ถึงอย่างไรเยี่ยเทียนก็มีระดับสูงกว่าเขา และยังมีผู้ช่วยอีกไม่น้อย หากเริ่มลงมือเมื่อใด ก็จะจะต้องต่อสู้กันตายไปข้างหนึ่งถึงจะเลิกรา หากผลประโยชน์ที่จะได้รับนั้นไม่มากพอ คนขี้ระแวงรอบคอบอย่างเหอปู้อวี่ย่อมไม่เลือกใช้วิธีนี้แน่

“หืม? คนผู้นี้คลื่นอารมณ์ไม่อยู่นิ่ง ทำไมยังไม่ลงมืออีกล่ะ?”

ตอนแรกที่เห็นรังสีอำมหิตในแววตาของเหอปู้อวี่ เยี่ยเทียนยังนึกว่าอีกฝ่ายกำลังจะลงมือปล้นตนแล้วเสียอีก หลังจากผ่านไปนานเข้า ท่าทีของเหอปู้อวี่ก็กลับดูนอบน้อมมากขึ้น จิตมุ่งร้ายที่สัมผัสได้นิดๆ นั้นก็เหมือนจะอันตรธานไปหมดแล้ว ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกสับสนอย่างยิ่ง

แม้จะรู้สึกหวั่นเกรงต่ออุบายของนักพรตรูปนี้อยู่บ้าง แต่เยี่ยเทียนเป็นคนประเภทไม่ยอมให้ใครเอาเปรียบ ตั้งแต่ตอนที่เห็นเหมาโถวถูกทำร้ายจนเจ็บหนักเจียนตาย ในใจเขาก็เกิดจิตสังหารแล้ว การกระทำเมื่อครู่นั้นจึงเป็นเพียงการใช้อัธยาศัยดีบังหน้าเท่านั้นเอง

สาเหตุที่เยี่ยเทียนจงใจพูดออกมาว่า ตนนั้นยังไม่เคยเข้าสู่แดนแห่งทวยเทพมาก่อน และในสำนักก็ไม่มีผู้อาวุโสท่านอื่นๆ แล้ว ก็เพื่อที่จะทำให้เหอปู้อวี่ตายใจและกล้าลงมือ ไม่เช่นนั้นแล้ว เยี่ยเทียนผู้เคยออกท่องยุทธภพมาตั้งแต่เด็กจนเคยชินจะเปิดเผยข้อมูลตัวเองตั้งแต่เพิ่งพบหน้าได้อย่างไรกัน?

เยี่ยเทียนมองดูดวงตาอันหลุกหลิกไม่อยู่นิ่งของเหอปู้อวี่ แล้วเอ่ยถามว่า

“สหายพรตเหอ ฉันได้ยินมานานแล้วว่ามีมิติดินแดนแห่งทวยเทพเหล่านี้อยู่ ไม่ทราบว่าจริงๆ แล้วภายในนั้นมีสภาพเป็นอย่างไร? แล้วสหายพรตเหออยู่ค่ายสำนักไหน?”

ในเมื่อเหอปู้อวี่ไม่ได้มีความคิดที่จะลงมือในทันที เยี่ยเทียนก็ยินดีที่จะสนทนาต่ออีกสักหน่อย เขาไม่รู้เรื่องที่ว่า ระดับจินตันไม่อาจข้ามภพแดนมายังโลกของปุถุชนได้ และก็กลัวว่าหากสังหารผู้น้อยไปแล้ว จะเป็นการชักนำผู้ใหญ่ในสำนักของอีกฝ่ายมา ดังนั้นแม้จะมีพลังฝีมือระดับเจี่ยตัน แต่เยี่ยเทียนก็เข้าใจดีว่า ตนนั้นยังมีส่วนที่ด้อยกว่ายอดฝีมือระดับจินตันที่แท้จริงอยู่

“ฮ่ะๆ ในเมื่อสหายพรตเอ่ยถาม ผู้แซ่เหอย่อมมิกล้าปิดบัง”

เหอปู้อวี่หัวเราะอย่างเบิกบานเปิดเผย

“ในแดนแห่งทวยเทพที่ข้าอยู่นั้น มีสำนักคุนหลุนและสำนักฮุ่นหยวนเป็นใหญ่ ปราณวิเศษภายในดินแดนนั้นอุดมสมบูรณ์กว่าที่นี่เป็นร้อยเป็นพันเท่า เหมาะแก่การฝึกวิชาของผู้บำเพ็ญพรตอย่างยิ่ง ส่วนผู้แซ่เหอนั้น ก็เป็นเพียงผู้บำเพ็ญพเนจรคนหนึ่งเท่านั้นเอง…”

พอพูดถึงตรงนี้ เหอปู้อวี่ก็รู้สึกปวดแปลบขึ้นมาในใจ เดิมทีเขาก็พอมีพรสวรรค์อยู่ แต่เพราะประสบเหตุพลิกผันครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้การฝึกล่าช้าไปหนึ่งร้อยกว่าปี ถ้าเขาได้เข้าไปอยู่ในสำนักใหญ่ๆ ตั้งแต่แรก ก็คงมีหวังที่จะได้ไปถึงระดับบรรลุจินตัน สำเร็จมหามรรคแล้ว

ความคิดเช่นนี้ทำให้จิตใจของเหอปู้อวี่เริ่มจะเสียสมดุล ทำไมเจ้าหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านี่จะต้องได้เป็นคนสำคัญของสำนักเหล่านั้นด้วยเล่า? และต่อให้เขานำข่าวนี้ไปรายงาน ก็คงจะได้รางวัลตอบแทนมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

‘พลอยวิเศษ เมื่อครู่มันเพิ่งจะหยิบพลอยวิเศษธาตุไม้ออกมาสองเม็ด บนตัวมันต้องมีอีกแน่!’

เหอปู้อวี่พลันนึกถึงเรื่องที่เยี่ยเทียนหยิบพลอยวิเศษธาตุไม้ออกมา ความละโมบจึงครอบงำจิตใจทันที อาศัยพลังฝีมือของเขาแล้ว ถ้าพยายามก็น่าจะสามารถเรียกอัสนีสวรรค์ระดับจินตันมาได้อยู่ แต่เหอปู้อวี่ยังเข้าสู่ระดับเซียนเทียนอย่างสมบูรณ์ไม่ได้เลย หากเรียกอัสนีสวรรค์มา จุดจบก็คงจะมีแต่ตายสถานเดียว

แต่ถ้ามีพลอยวิเศษธาตุไม้อยู่ในมืออย่างเพียงพอ และเตรียมการด้านอื่นๆ อีกสักหน่อย อย่างนั้นผลก็จะออกมาไม่เหมือนกันแล้ว เหอปู้อวี่คำนวณในใจดูครู่หนึ่ง คิดว่าตนน่าจะมีความเป็นไปได้ที่จะผ่านอัสนีสวรรค์ และบรรลุจินตัน สำเร็จมหามรรคได้สำเร็จอยู่ประมาณหกส่วน

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ในที่สุดเหอปู้อวี่จึงตัดสินใจแน่วแน่แล้ว เขามีชีวิตอยู่มาสามร้อยกว่าปี อีกสิบกว่าปีเป็นอย่างต่ำก็คงจะถึงขีดจำกัดแล้ว แทนที่จะนำข่าวเรื่องเยี่ยเทียนไปรายงานต่อสำนักใหญ่เหล่านั้น มิสู้ลงมือลุยดูสักตั้งดีกว่า

“สหายพรตเยี่ย ไม่ทราบว่าสัตว์วิเศษที่เลี้ยงไว้นี้ เป็นสัตว์วิเศษระดับใดหรือ?”

หลังจากตัดสินใจได้แล้ว เหอปู้อวี่ก็ไม่นึกพะวงถึงเรื่องส่วนได้ส่วนเสียอีก ใบหน้าพลันยิ้มแป้น ท่าทีที่มีต่อเยี่ยเทียนก็ดูจะสนิทชิดเชื้อยิ่งกว่าเดิมอีก

ยิ่งมีชีวิตอยู่มานาน ก็ย่อมจะยิ่งรักถนอมชีวิตของตน ดังนั้นจะต้องมีความมั่นใจอย่างเด็ดขาดเสียก่อน เหอปู้อวี่จึงจะเริ่มลงมือ สถานการณ์ในตอนนี้ วานรขาวซึ่งอยู่ระดับเซียนเทียนช่วงกลาง และเฟอร์เร็ตบาดเจ็บตัวนั้นเรียกได้ว่าไม่เหลือพลังในการต่อสู้แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องหวั่นกลัว

ส่วนบุรุษแขนเดียวที่อยู่ข้างๆ เยี่ยเทียนนั้น แม้จะมีพลังฝีมือระดับเซียนเทียนเช่นกัน แต่ก็เพิ่งจะเข้าสู่ระดับนี้ได้ไม่นาน ไม่ได้แตกต่างจากเหอปู้อวี่มากนัก เขาจึงไม่ได้นำมาคิดคำนวณด้วย สิ่งที่เขาไม่อาจจะประเมินได้เลยนั้น ก็มีแต่เยี่ยเทียนและอสูรวิเศษที่มีพลังโจมตีสูงอย่างน่าตระหนกตัวนั้นนั่นเอง

“หมายถึงเสี่ยวจินน่ะหรือ?”

รอยยิ้มบนใบหน้าของเยี่ยเทียนดูจริงใจอย่างสุดแสน

“ผมเก็บเสี่ยวจินมาจากบนเกาะร้างแห่งหนึ่ง นอกจากหนังหนาเล็บคมแล้ว ก็ไม่เห็นจะมีตรงไหนพิเศษอีก และมันก็ไม่มีวิชาอะไรด้วย พูดตรงๆ ก็คือแค่เอาไว้ขู่คนได้เท่านั้นแหละ…”

เบื้องหลังของตนนั้นอาจจะเปิดเผยให้อีกฝ่ายรู้ได้ แต่หากเกี่ยวข้องกับด้านกำลังในการสู้รบของฝ่ายตน เยี่ยเทียนก็จะระมัดระวังขึ้นมาทันที เล่นพูดเสียจนสิงห์ขนทองแทบจะกลายเป็นสวะที่กินข้าวรอวันตายไปวันๆ เท่านั้นเอง เจ้าตัวเล็กได้ยินแล้วก็ได้แต่เหลือบตาขึ้นข้างบน แต่ก็ถูกเยี่ยเทียนอุดปากไว้ด้วยพลอยวิเศษเม็ดหนึ่ง

‘พ…พลอยวิเศษธาตุน้ำ? มันยังมีพลอยวิเศษธาตุน้ำด้วยหรือนี่?’

เหอปู้อวี่กำลังวิเคราะห์ว่าสิ่งที่เยี่ยเทียนพูดมานั้นเป็นความจริงหรือไม่ ทันใดนั้นสายตาก็พลันถูกสะกดไปที่พลอยวิเศษที่เยี่ยเทียนหยิบออกมา จึงไม่มีอารมณ์จะไปขบคิดอีกว่าคำพูดของเยี่ยเทียนมีน้ำและเนื้อปนอยู่มากแค่ไหน เพราะพื้นฐานร่างกายและวิชายุทธที่เขาฝึกมานั้นเหมาะสมสอดคล้องกับธาตุน้ำพอดี

การค้นพบนี้ก็ทำให้เหอปู้อวี่รู้สึกตื่นเต้นระทึกใจขึ้นมา เขาเป็นเพียงผู้บำเพ็ญพเนจรคนหนึ่งในดินแดนแห่งทวยเทพเท่านั้น นอกจากใช้วิธีการเสแสร้งให้ภายนอกดูซื่อสัตย์จริงใจ หลอกฆ่าคนชิงทรัพย์สมบัติ จนได้เศษเสี้ยวของพลอยวิเศษมาบ้างเป็นบางครั้งคราวแล้ว หลายปีมานี้ก็ไม่ได้ฝึกพลังโดยใช้พลอยวิเศษเลย และพลอยวิเศษที่ได้มาเหล่านั้นก็ไม่ใช่ธาตุน้ำด้วย จึงไม่ได้ช่วยอะไรเขามากนัก

“น้องเยี่ย เจ้าอยากจะรู้สภาพภายในมิติแดนแห่งทวยเทพไม่ใช่หรือ?”

วิธีเรียกขานของเหอปู้อวี่ยิ่งฟังดูสนิทสนมมากขึ้น เขาหยิบหนังสือโบราณปกเหลืองเล่มหนึ่งออกมา แล้วกล่าวว่า

 “ใน ‘บันทึกเรื่องพิสดารตำนานอัศจรรย์’ เล่มนี้บันทึกเรื่องเล่าลือต่างๆ ในแดนแห่งทวยเทพไว้ และยังมีภาพแผนที่แม่น้ำขุนเขาประกอบอีกด้วย ข้าขอยกให้น้องเยี่ย ถือเสียว่าเป็นการชดเชยที่ทำให้สัตว์วิเศษของน้องเยี่ยบาดเจ็บไปก็แล้วกัน!”

“เยี่ยเทียน ของสิ่งนี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเราพอดีเลยนะ!”

วาจาของเหอปู้อวี่ทำให้โก่วซินเจียที่อยู่ข้างๆ เยี่ยเทียนเกิดความรู้สึกที่ดีต่อเหอปู้อวี่ขึ้นมาทันที คนผู้นี้ก็ดูจะเป็นคนมีเหตุมีผลอยู่ เมื่อครู่ตนคงเป็นฝ่ายใช้ใจของทุรชนไปประเมินความคิดของวิญญูชนเสียแล้ว

“อย่างนั้นก็ต้องขอบคุณพี่เหอมากเลย ผู้น้องไม่ปฏิเสธละนะ!”

เยี่ยเทียนหัวเราะฮ่าๆ เมื่อเห็นว่าเหอปู้อวี่หยิบหนังสือโบราณเล่มนั้นออกมา แต่กลับไม่โยนมาให้ จึงก้าวเท้าเดินเข้าไปหา แล้วยื่นมือขวาออกไปแตะลงบนหนังสือ

เหอปู้อวี่ปล่อยมือจากหนังสือเล่มนั้น แต่ร่างกลับกระแซะเข้าไปใกล้ แล้วช่วยพลิกเปิดหน้าแรกให้เยี่ยเทียน

“น้องเยี่ยดูนะ ในหน้าที่หนึ่งนี่ระบุสถานที่เสี่ยงอันตรายหลายๆ แห่งในดินแดนไว้ ต่อไปเมื่อเจ้าเข้าไปแล้วจะต้องระมัดระวังตัวด้วย”

“อ้อ? มีเรื่องแบบนี้ด้วยรึ?”

ใบหน้าของเยี่ยเทียนฉายความประหลาดใจออกมา สายตาดูเหมือนจะถูกตัวอักษรบนหน้าหนังสือสะกดไว้โดยสิ้นเชิง แขนขวาที่ถือหนังสืออยู่และช่วงชายโครงกลายเป็นช่องโหว่ใหญ่

“จริงแท้แน่นอน ไม่อย่างนั้นถ้าผลีผลามเข้าไป แม้แต่ตัวเองตายไปอย่างไรก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ”

ใบหน้าของเหอปู้อวี่ฉายความวิปลาสออกมาเล็กน้อย ตอนสุดท้ายที่พูดคำว่า ‘ตาย’ นั้น สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นเหี้ยมเกรียมขึ้นมา ฝ่ามือซ้ายเหวี่ยงไปที่หัวไหล่ของเยี่ยเทียน ส่วนฝ่ามือขวากลับกดลงไปที่ชายโครงขวาของเยี่ยเทียนอย่างไร้สุ้มเสียง ระหว่างการเคลื่อนไหวนั้นแม้แต่เสียงลมสักเล็กน้อยก็ไม่มี

‘ไอ้หนุ่ม ตายซะเถอะ!’

ดวงตาของเหอปู้อวี่ฉายแววคลุ้มคลั่งออกมาเล็กน้อย การที่จะได้สังหารยอดอัจฉริยะซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนนี้ ทำให้เขาเกิดความรู้สึกสุขสมใจอย่างวิปริตชนิดหนึ่ง เรื่องแบบนี้เหอปู้อวี่ไม่ได้เพิ่งจะทำเป็นครั้งแรก แต่เคยมีคนที่ระดับสูงกว่าเขาอย่างน้อยๆ ก็เจ็ดแปดคนแล้ว ที่ต้องตายไปด้วยน้ำมือเขาโดยไม่ทันได้ป้องกันตัว

‘เอ๊ะ? ไม่สิ’

ขณะที่ฝ่ามือขวาของเหอปู้อวี่กำลังจะจู่โจมถึงเยี่ยเทียน เขาก็พลันรู้สึกสังหรณ์ใจขึ้นมากระทันหัน แต่เกาทัณฑ์ที่ยิงออกไปแล้วไม่อาจย้อนกลับ ยามนี้ถึงเหอปู้อวี่อยากจะถอนมือก็ไม่ทันการแล้ว

เกิดเสียงดัง “ปัง!” ร่างของเหอปู้อวี่และเยี่ยเทียนถอยออกไปในทิศทางตรงกันข้ามพร้อมๆ กัน แต่ร่างของเหอปู้อวี่ถอยไปไกลกว่าเยี่ยเทียนประมาณสี่ห้าก้าว

“พี่เหอ ไยต้องทำเช่นนี้ด้วยเล่า?”

เยี่ยเทียนชักฝ่ามือซ้ายที่ใช้ป้องกันชายโครงกลับมา ตอนที่ปะทะกับเหอปู้อวี่เข้าอย่างจังเมื่อครู่นั้น เขาทำให้เหอปู้อวี่เป็นฝ่ายเสียเปรียบ เพราะถึงอย่างไรเมื่อพลังฝีมือระดับเจี่ยตันปะทะกับระดับเซียนเทียนช่วงปลายแล้ว ไม่ว่าจะเป็นด้านคุณภาพหรือปริมาณของปราณแท้ ต่างก็เหนือชั้นกว่าอีกฝ่ายมาก

“น้องเยี่ย ตอบโต้เร็วดีจริงนะ”

เหอปู้อวี่สีหน้าไม่เปลี่ยน รอยยิ้มยังคงเดิม “ในดินแดนมีอันตรายซุกซ่อนอยู่ทุกแห่งหน ผู้แซ่เหอลงมือไปก็เพื่อที่จะดูว่า ปฏิกิริยาตอบโต้ของน้องเยี่ยเป็นอย่างไรบ้าง เจ้าคงไม่ได้เข้าใจผิดไปหรอกนะ?”

ขณะที่กำลังพูด ฝ่ามือขวาของเหอปู้อวี่วาดเป็นครึ่งวงกลมที่ข้างหลัง แล้วผลักไปข้างหน้า ยิ้มแย้มกล่าวว่า

“น้องเยี่ย ลองรับดูอีกสักกระบวนท่า?”

“พี่เหอนี่กระตือรือร้นดีจริงนะ”

ดวงตาของเยี่ยเทียนฉายจิตสังหารออกมาเล็กน้อย เมื่อเหอปู้อวี่เริ่มเคลื่อนไหว เขาก็รู้สึกว่ามิติพื้นที่ตรงหน้ากลับสับสนวุ่นวายขึ้นมาในพริบตา รอยแยกของมิติอันเล็กละเอียดแต่ละเส้นนั้นราวกับมีดคมกริบหลายเล่ม ซึ่งสามารถที่จะฉีกกายเนื้อของเขาจนแหลกได้เลย

ร่างของเยี่ยเทียนกระโจนถอยไปข้างหลังหลายสิบเมตร พลางส่งกระแสจิตถึงสิงห์ขนทองที่อยู่บนไหล่

‘เสี่ยวจิน ฆ่ามันซะ!’

เยี่ยเทียนรู้ว่า หากกล่าวถึงด้านความแข็งแกร่งของกายเนื้อแล้ว เขายังไม่อาจเทียบกับสิงห์ขนทองน้อยที่เพิ่งเกิดมาไม่นานตัวนี้ได้ ซึ่งนี่ก็เป็นธรรมชาติของอสูรประหลาดจากยุคโบราณนั่นเอง ต่อให้เป็นรอยแยกของมิติเหล่านี้ ก็คงจะไม่มีทางทำให้สิงห์ขนทองเป็นอันตรายถึงชีวิตได้แน่นอน

“น้องเยี่ย พวกเราวัดฝีมือกันสองคน ไยเจ้าต้องให้สัตว์วิเศษนี้มาช่วยเหลือด้วยเล่า?”

ใครเลยจะรู้ว่า ขณะที่ร่างของสิงห์ขนทองน้อยกระโจนพรวดออกไป ทันใดนั้นมือซ้ายของเหอปู้อวี่ก็คว้าออกไปกลางอากาศ ตาข่ายใหญ่สีทองผืนหนึ่งปรากฏขึ้นมา ปกคลุมร่างของสิงห์ขนทองไว้ในนั้น

…………………………..