“เฮอะๆๆๆๆ…..” ในตอนนั้นเอง ฮว๋ายยู่ก็พลันหัวเราะออกมา น้ำเสียงแม้จะไร้เรี่ยวแรงแต่กลับชั่วร้ายยิ่งนัก
นางไม่พะวงถึงความเจ็บปวดบนร่างกาย ก็ยกมือขึ้นมาชี้หน้าด่าใส่ตู๋กูซิงหลัน “เจ้าทำตนเป็นผู้พิพากษาอันยิ่งใหญ่ให้ผู้ใดดูกัน? นึกว่าตนเองสูงส่งมากนักหรือไง!”
“ที่ตอนแรกเจ้ามอบเลือดให้ชีวิตให้กับข้า ก็เพียงเพราะต้องการเสาะหาหินรองเท้าเพื่อเหยียบขึ้นไป จะได้แสดงความสูงส่งของเจ้าออกมาก็เท่านั้น!”
“ต่อมา ทั้งๆที่เจ้าก็รู้ว่าข้ารักตี้เสีย แต่แล้วเจ้ากลับทำอะไร? เจ้าวางแผนมากมายเพื่อขัดขวางหนทางไม่ให้ข้ากับเขาได้อยู่ด้วยกัน!”
“เจ้าเองก็มีซีเหออยู่แล้วยังจะไม่พอใจอีกหรือ? กินอยู่กับชามกลับนึกถึงในหม้อ เจ้าดีงามมากนักหรืออย่างไร?”
“ในเมื่อเจ้าไม่ได้รักชอบตี้เสีย ก็สมควรจะอยู่ให้ห่างจากเขาเข้าไว้สิ! ไยจึงต้องให้บุรุษทั้งหลายในใต้หล้าไปหลงรักแต่เจ้าจู่ฮว๋ายอยู่เพียงผู้เดียว! จะแบ่งปันไปชอบผู้อื่นผู้ใดบ้างก็ไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”
“เจ้ามีสิทธิอะไร! มีสิทธิอะไร!”
ฮว๋ายยู่ระเบิดความโกรธแค้นท่วมท้น ความเกรี้ยวกราดที่ไม่อาจระบายใส่ตี้เสีย ยามนี้กลับยับยั้งเอาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป ระเบิดเข้าใส่ตู๋กูซิงหลันอย่างไม่คิดชีวิต
นางตะโกนกรีดร้องออกมา ระเบิดเสียงเข้าใส่ แต่พริบตานั้นก็ถูกตู๋กูซิงหลันตบจนหน้าหัน
ฝามือที่ยกขึ้นตบลงไปจนสุดแรง จนดวงหน้าขาวกลายเป็นห้านิ้วมือขึ้นมาในทันที
“ช่างน่าเสียดายนัก! ที่ข้าให้เลือดแห่งชีวิตให้กับเจ้า เพราะเห็นแก่วันเวลาที่เจ้าและข้าอยู่ด้วยกันมาโดยตลอด ที่ขวางมิให้เจ้ากับตี้เสียอยู่ด้วยกัน ก็เพราะข้าดูออกตั้งแต่แรกแล้วว่าเขามันมิใช่ตัวดี น่าสมเพชเจ้านัก! เพราะว่าตัวข้าเอง ได้ปฏิเสธเขาไปอย่างเด็ดขาดตั้งแต่แรกแล้ว นอกจากซีเหอแล้ว ข้าไม่เคยมองเห็นบุรุษอื่นใดในสายตาทั้งสิ้น!”
“เจ้าไปงมเอาของเล่นขึ้นมาจากขยะได้ชิ้นหนึ่ง ก็นึกว่าผู้อื่นจะต้องเห็นเขาเป็นสมบัติล้ำค่าไปด้วยกระนั้นหรือ?”
ฝ่ามือที่ตบลงไปนี้ทำเอาโทสะของฮว๋ายยู่ซาลงไปไม่น้อย คนตกตะลึงอยู่กับที่จนใบหน้าโย้ไปข้างหนึ่ง
สิ่งที่ทอดอยู่บนพื้นก็คือเงาของตู๋กูซิงหลัน เพียงมองเห็นแวบเดียวก็ทำให้ฮว๋ายยู่นึกถึงตอนที่นางเป็นเพียงกอหญ้าขึ้นมา นางเกิดและเติบโตอยู่ใต้เงาของจู่ฮว๋ายมาตลอดชีวิต
นางเห็นแต่ช่วงเวลาที่ตนเองมีชีวิตอยู่ใต้เงาของจู่ฮว๋าย แต่มิได้เคยคิดมาก่อนเลยว่า วันคืนที่เนิ่นนานเหล่านั้น จู่ฮว๋ายต้องต้านทานลมฝนให้นางมานานเท่าไร
ตั้งแต่แรกเริ่มจนมาถึงบัดนี้สิ่งที่อยู่ในใจและความคิดของนางก็คือความต้องการอันเห็นแก่ตัวของนางเท่านั้น
แม้ว่าจู่ฮว๋ายจะได้ให้ชีวิตแก่นาง ในใจของนางก็ไม่เคยรู้สึกขอบคุณมาก่อนเลย
นางถือว่าทั้งหมดนี้จู่ฮว๋ายล้วนติดค้างนางทั้งสิ้น
ทั้งๆที่จู่ฮว๋ายมิได้เคยติดค้างสิ่งใดกับนางเลย…..
ในทางกลับกันนางยังรู้สึกว่าทุกสิ่งที่นางเอามาจากจู่ฮว๋ายนั้น เป็นเรื่องที่สมควรจะได้มาอยู่แล้ว
เรื่องเหล่านี้ แม้จะผ่านมาเนิ่นนานสักเท่าไร ฮว๋ายยู่ก็ไม่เคยคิดได้มาก่อนเลย
พอโดนตบไปครั้ง ครู่หนึ่ง ฮว๋ายยู่ก็หัวเราะออกมาอย่างขมขื่นมากกว่าเดิม “ฮ่าๆๆๆ ….เจ้ามันก็รู้จักแต่หาข้ออ้างให้ตนเองเท่านั้น เจ้าเห็นว่าผู้อื่นล้วนไม่ดี เป็นคนชั่วร้าย ตั้งตนเป็นผู้ช่วยเหลือสัตว์โลก”
“เรื่องที่ข้าทำผิดที่สุดในชีวิตนี้ก็คือ ตอนที่ฟ้าดินแรกกำเนิด ดันซวยต้องเกิดมาอยู่ข้างๆเจ้า แม้แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังผลักไสเจ้าไปไม่พ้นอยู่ดี”
ตู๋กูซิงหลันหรี่ดวงตาลง มองดูท่าทางของนาง
ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจปลุกผู้ที่จงใจจมปลักอยู่ในความลุ่มหลงได้
ฮว๋ายยู่ต้องการจะจมปลักอยู่ในหลุมลึกนี้
“แต่ว่า….” ว่าแล้ว อยู่ๆฮว๋ายยู่ก็เงยหน้าขึ้นมา ส่งยิ้มที่เสมือนมิได้ยิ้มให้กับตู๋กูซิงหลัน
นางยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกได้ว่าอุณหภูมิรอบกายกำลังลดลงอย่างรวดเร็ว ในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด เป็นกลิ่นคาวเลือดที่สดใหม่
เพียงพริบตาเดียว ตี้เสียก็ปรากฏตัวขึ้นมาที่ตรงหน้าของนาง
เขายังคงเปลือยท่อนบนเช่นเดิม เส้นเกศาสีทองพลิ้วไปด้านหลัง นัยตาสีทองเปี่ยมไปด้วยไอมาร
ตู๋กูซิงหลันมองดูเพียงแวบเดียวก็รู้แล้วว่า จิตวิญญาณของจอมมารหลีฉิงถูกเขากลืนกินไปจนหมดสิ้นแล้ว
เผ่ามารนั้นเกิดขึ้นมาจากเผ่าภูติในภายหลัง และรุ่งเรืองจนยิ่งใหญ่ขึ้นมาในยุคของหลีฉิง
ตี้เสียนั้นมีจิตมารมาแต่แรกแล้ว จิตมารนี้เมื่อถูกปล่อยทิ้งไว้เนิ่นนานไปก็ย่อมบังเกิดความนึกคิดของตนเองขึ้นมา
ตอนนั้นเขาเคยทำลายล้างแดนสวรรค์ จึงถูกฟ้าดินลงโทษให้ลงไปอยู่ในขุมนรก รับทรมานต้องผ่านวิบากกรรมอยู่หลายหมื่นปี ค่อยอาศัยการเกิดใหม่ผ่านวัฏสงสารกลายองค์รัชทายาทแห่งเผ่าสวรรค์กลับคืนสู่ตำแหน่งผู้ปกครองแดนสวรรค์คนใหม่
ส่วนจิตมารของเขาก็ถูกเขาขับไล่ออกมาในตอนนั้นนั่นเอง
จิตมารที่ถูกละทิ้งในที่สุดก็กลับคืนร่างเดิม เรื่องนี้ตู๋กูซิงหลันไม่แปลกใจแม้แต่น้อย
ตี้เสียมองดูนางอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันไปเหลือบแลฮว๋ายยู่อย่างจืดจางแวบหนึ่ง
ฮว๋ายยู่ล้มลงไปบนพื้น ทั้งทรวงอกและลำคอล้วนหลั่งเลือด อาการบาดเจ็บเห็นได้ชัดว่าไม่น้อยเลย
แต่ตี้เสียกลับไม่ช่วยเหลือนาง
ประกายตาของเขาหยุดอยู่ที่ร่างของตู๋กูซิงหลันอย่างคะนึงหา
ครั้งก่อนที่พึ่งได้พบกันก็ยังไม่ถึงสามเดือนเลย แต่กลับรู้สึกว่าช่างเนิ่นนานนัก
สุดท้ายแล้วมิว่าอย่างไร เขาก็ไม่อาจตัดใจจากสตรีผู้นี้ได้จริงๆ
แม้ว่าเขาจะต้องถูกนางปฏิเสธไปเสียทุกๆครั้งก็ตาม
ตลอดชีวิตของเขา ทุกการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ล้วนเพราะนางเป็นต้นเหตุ หากไม่สามารถทำให้ลงเอยที่เขาได้ คงต้องกลายเป็นความเศร้าเสียใจไปชั่วชีวิต
“จู่ฮว๋าย” ตี้เสียเริ่มเอ่ยปากขึ้นมาบ้าง ส่งเสียงเรียกนางไปครั้งหนึ่ง
มือของตู๋กูซิงหลันยังคงกุมกริชสีดำด้ามหนึ่งเอาไว้ กริชอาบเลือดที่ยังไม่ทันแห้ง เลือดจึงไหลลงไป หยดติ๊งๆลงบนพื้นหิน กลายเป็นรูปดอกเหมยสีแดง
“ในที่สุดเจ้าก็จดจำเรื่องที่ผ่านมาได้แล้ว เจ้าย่อมต้องได้รู้แล้วว่า ตลอดหลายปีมานี้ความในใจของเราไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลย”
ตี้เสียตรัสพลางขยับเข้าไปใกล้ๆนาง “เจ้าและข้าเดิมสมควรเป็นคู้สร้างที่ฟ้าดินเสกสรรขึ้นมา หากไม่มีซีเหอ ป่านนี้ลูกหลานของพวกเราก็คงปกครองไปทั่งทั้งหกภพภูมิแล้ว”
ตู๋กูซิงหลัน “…..”
ขณะที่ตี้เสียตรัสเรื่องเหล่านี้ออกมา นางก็หันไปเหลือบแลฮว๋ายยู่แวบหนึ่ง
ท่าทางของนางดูไม่โกรธเคืองสักเท่าไหร่?
ราวกับว่าคุ้นเคยมานานแล้ว แต่ว่ายามมองมาที่นาง ดวงตาของฮว๋ายยู่กลับเปี่ยมไปด้วยความเกลียดชัง
ก็เป็นเช่นนี้เอง…..พวกน่าสมเพชล้วนมีสิ่งให้เกลียดชัง
ไม่เคยคิดจะไปหาสาเหตุ เอาความกับบุรุษเจ้าชู้ของตนเอง คอยแต่จะเอาความผิดมาโยนใส่หัวของผู้อื่นตลอดเวลา
ตู๋กูซิงหลันหัวเราะเสียงเย็นชาออกมาคำหนึ่ง พอตี้เสียเสด็จมาถึงตรงหน้าของตนเอง ก็ลงมือสบัดกริชออกไป พุ่งเข้าใส่ทรวงอกของเขาอย่างแม่นยำ
“คู่สร้างฟ้าดินกับมารดาเจ้านะสิ เจ้าไปเอาตาข้างไหนมาเห็นว่าข้าเคยถูกใจเจ้ากัน?”
แม้แต่ตี้เสียเองก็ยังคิดไม่ถึงว่า ยามที่นางไร้น้ำใจจะเด็ดขาดตัดรอนถึงเพียงนี้ เมื่อครู่จึงไม่ทันหลบ แต่รับกริชของนางเข้าไปเต็มๆ
ทะลุผิวเนื้อ ลงไปถึงหัวใจ
ตี้เสียกุมกริชของนางเอาไว้ ดึงมันออกมาจากทรวงอกต่อหน้าต่อตาของตู๋กูซิงหลัน
ทันทีที่กริชหลุดออกมา ก็เห็นว่าบาดแผลของเขาสมานตัวเข้าหากันอย่างรวดเร็วจนสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
“จู่ฮว๋าย ความจริงใจของเรา ไม่เคยแปรเปลี่ยนมาตลอดหลายปี แต่มันไม่มีค่าใดในสายตาของเจ้าเลยหรือ?”
ตู๋กูซิงหลัน “จริงใจกับผีน่ะสิ!”
เสี่ยวเฉวียนเฉวียนของบ้านนางต่างหากถึงจะเรียกว่าจริงใจอย่างแท้จริง!
สองคำนี้พอออกมาจากปากของพ่อพันธุ์ม้าอย่างเจ้า ช่างทำให้คุณค่าของมันต้องหม่นหมองไปเสียจริงๆ
สีพระพักตร์ของตี้เสียเปลี่ยนเป็นย่ำแย่
ขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างเย็นชาของฮว๋ายยู่ดังขึ้นมา “เทียนตี้ นางในดวงใจของท่านตั้งท้องลูกของผู้อื่นแล้ว ไหนเลยยังจะมาสนใจความจริงใจของท่านอีก?”
แค่ประโยคเดียว แต่ทำเอาสีหน้าของตู๋กูซิงหลันกับตี้เสียต่างก็แปรเปลี่ยนไปในทันที
มือของตู๋กูซิงหลันสัมผัสลงไปบนหน้าท้องของตนเองอย่างไม่ทันรู้ตัว
พอคิดดูให้ละเอียด วันนั้นของเดือนก็เหมือนจะมาช้าไปหลายวันแล้ว
นางก็ไม่ได้เรียกหมอหลวงซุนมาตรวจดู นึกแต่ว่าไม่น่าจะเร็วขนาดนี้
แต่พอคิดไปคิดมา นับตั้งแต่ที่นางแต่งงานเป็นต้นมา เสี่ยวเฉวียนเฉวียนก็โหมบุกอย่างดุเดือดไม่เคยได้หยุดหย่อน…..
ดังนั้นโอกาสที่จะมีเจ้าตัวน้อยย่อมต้องมากโขอยู่เหมือนกัน
………………..