ตอนที่ 763 ปฐมบทของหมิงอ๋อง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

“ต้องการให้ข้าช่วยเจ้าทบทวนความทรงจำให้เจ้าบ้างหรือไม่?” ตู๋กูซิงหลันไม่ปล่อยให้นางได้มีเวลาตกตะลึง ในมือก็เพิ่มกริชสีดำขึ้นอีกเล่มหนึ่งตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ เพียงวูบเดียวก็จรดกริชลงไปบนลำคอของฮว๋ายยู่แล้ว 

 

 

 ความเย็นที่หนาวจัดปานน้ำแข็งครอบคลุมไปทั่วทั้งร่างของฮว๋ายยู่ ฮว๋ายยู่อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นสะท้านขึ้นมา 

 

 

แต่ว่านางมิได้หวาดกลัวตู๋กูซิงหลัน 

 

 

ในดวงตาของนางมีแต่หยาดน้ำตาเอ่อล้น “พี่สาว ระหว่างพวกเราใช่ว่ามีเรื่องเข้าใจผิดใดอยู่หรือไม่….ตอนนั้น…” 

 

 

ตอนนั้น ต้องโทษที่ตนเองลงมือได้ไม่โหดเหี้ยมเพียงพอ จึงทำให้นางยังมีโอกาสกลับมาเกิดใหม่ได้อีกครั้ง 

 

 

“ตอนนั้น ขาดอีกเพียงก้าวเดียว ข้ากับซีเหอก็จะได้อยู่ด้วยกันแล้ว!” ตู๋กูซิงหลันพูดต่อไป ปลายกริชก็จิ้มลงไปในลำคอของนางตื้นๆ เลือดสดไหลออกมาในทันที มันไหลเรื่อยลงมาตามฝ่ามือของตู๋กูซิงหลัน 

 

 

พอพูดถึงซีเหอแล้ว หัวใจของตู๋กูซิงหลันก็เหมือนถูกคว้านลึกลงไปจนสุดแรง  

 

 

การที่ความทรงจำทั้งหมดในชาติก่อนย้อนคืนมาอีกครั้ง บางทีก็มิใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่ 

 

 

แต่ก็เพราะว่าจดจำได้แล้ว จึงทำให้นางเข้าใจว่าทำไมตอนที่เกิดความประทับใจและหวั่นไหวเพราะจีเฉวียนนั้น ตนเองถึงได้เจ็บปวดปานมีดกรีดหัวใจ จนถึงขั้นกระอักเลือดออกมา 

 

 

ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะชะตาชีวิตที่มิอาจคาดเดาได้นั่นเอง 

 

 

“พวกท่านถูกฟ้าดินลิขิตให้ไม่อาจอยู่ด้วยกันได้ เกี่ยวข้องอะไรกับข้าด้วยเล่า?” ฮว๋ายยู่ถลึงตาโต “ท่านเป็นผู้ใดกัน? พูดให้ดีหน่อยก็คือ บรรพชนของเหล่าเทพ แต่ว่าท่านเป็นเทพแบบใดเล่า? คือเทพเบื้องหลังความตาย  เทพที่ได้แต่คงอยู่ในความมืดมิดเท่านั้น!” 

 

 

“ส่วนซีเหอ เขาคือผู้ใดกัน? เขาคือผู้สืบทอดของฟ้าดิน คือเทพที่ได้รับความโปรดปรานจากเทพบิดรมากที่สุด คนหนึ่งคือแสงสว่างหนึ่งเดียวของใต้หล้า  อีกคนคือความมืดมิดอย่างที่สุด พวกท่านจะอยู่ด้วยกันได้อย่างไร!” 

 

 

“พี่สาว แสงสว่างและความมืดไม่อาจอยู่ร่วมกันได้อยู่แล้ว!” 

 

 

ทรวงอกของฮว๋ายยู่กระเพื่อมขึ้นลงอยู่ตลอด ท่าทางของนางชี้ชัดว่าทั้งหมดนั้นมิได้เกี่ยวข้องกับตนเองเลย 

 

 

ที่จริงแล้วจู่ฮว๋ายคืออะไรน่ะหรือ? 

 

 

ตอนที่ฟ้าดินแรกก่อกำเนิดสร้างขึ้นเป็นพิภพนั้น จิตวิญญาณภูติผีปีศาจล้วนรวมอยู่ด้วยกัน 

 

 

ตอนนั้นฟ้าดินยังมิได้แบ่งแยกเป็นหกภพภูมิ ทั่วทั้งพิภพยังมีเพียง เผ่า‘เทพ’ เท่านั้น 

 

 

จู่ฮว๋ายเป็นหนึ่งในเทพบรรพกาล แต่ว่าสิ่งที่นางสามารถสร้างขึ้นได้ทั้งหมดล้วนเป็นดวงจิตแห่งหยินและภูติผีปีศาจ 

 

 

พูดให้ชัดเจนลงไปอีกก็คือเผ่าภูติและเผ่ามารนั้นเดิมทีมีต้นกำเนินมาจากที่เดียวกัน ทั้งหมดล้วนมาจากจู่ฮว๋าย ตอนที่นางก่อกำเนิดขึ้นมา ในระหว่างนั้นก็ได้สร้างจิตวิญญาณภูติผีขึ้นมาจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน 

 

 

พอนานวันเข้าก็ได้กลายเป็นเผ่าภูติไปนั่นเอง 

 

 

ส่วนเผ่ามารนั้น ได้ก่อกำเนิดขึ้นมาจากเผ่าภูติหลังจากที่จู่ฮว๋ายตายไปแล้ว 

 

 

“ท่านถูกกำหนดให้ไม่อาจอยู่เคียงคู่กับเขา กลับโยนความผิดมาใส่หัวข้าหรือ? ตอนนั้นข้าก็ได้เคยห้ามปรามท่านว่าไม่อาจทำเช่นนั้นได้แล้วมิใช่หรือ?” 

 

 

“อ้อ~” ตู๋กูซิงหลันหัวเราะเสียงเย็นชาใส่หน้านางในทันที 

 

 

“ฮว๋ายยู่ ข้าเป็นคนสร้างเจ้าขึ้นมา เจ้าเป็นเช่นไรยังจะมีเรื่องอะไรที่ข้าไม่รู้อีกหรือ?” 

 

 

กริชจมลึกลงไปอีกหนึ่งนิ้ว แทบจะตัดลงไปบนเส้นชีพจรของนางขาดไปอยู่แล้ว “ตอนนั้นเป็นเพราะเห็นแก่ที่สร้างเจ้าขึ้นมา ข้าจึงได้แกล้งทำเป็นว่าไม่รู้ไม่เห็น แต่ว่าเรื่องสกปรกที่เจ้าได้กระทำลงไป ในใจของข้าล้วนชัดเจนอย่างยิ่ง” 

 

 

ใช่แล้ว ฟ้าดินไม่ยินยอมให้นางกับซีเหอได้อยู่ร่วมกัน แต่ว่าพวกนางไม่สนใจ มิว่าจะต้องต่อต้านฟ้าดินถึงเช่นไร ก็จะขอฝ่าฟันเพื่อจะได้อยู่ร่วมกันให้จงได้ 

 

 

โทษทัณฑ์ของการฝ่าฝืนมติสวรรค์ก็คือทั้งสองต้องทนรับทัณฑ์สวรรค์อันหนักหนาถึงเก้าสิบเก้าครั้ง หากสามารถทนจนผ่านพ้นไปได้ ก็จะมีชีวิตรอก สามารถได้อยู่ร่วมกัน 

 

 

ความตาย สำหรับนางจะมีอะไรน่ากลัวกันเล่า? 

 

 

ต่อให้ไม่อาจรอดไปได้ แต่หากได้ตายร่วมกับเขาก็ไม่เสียดายที่ได้ทำตามปรารถนาอันเร่าร้อนของหัวใจ 

 

 

ทุกทัณฑ์สวรรค์ที่ฟาดฟันลงมา ล้วนเป็นที่สุดแห่งพลังของฟ้าดินที่เทพบิดรทรงสร้างขึ้น แต่ละครั้งล้วนสามารถทำลายพิภพแยกแผ่นดินให้แตกสลาย แม้ว่าพลังจะรุนแรงถึงปานนั้น แต่ว่าพวกนางก็สามารถทนรับมาได้ถึงเก้าสิบแปดครั้งแล้ว 

 

 

ต่อให้ร่างแตกกระดูกสลายก็ไม่ขอปล่อยมือออกจากกันโดยเด็ดขาด 

 

 

แต่ว่าในทัณฑ์สวรรค์ครั้งสุดท้ายนั้น….กลับเกิดเหตุมิได้คาดหมายขึ้นมา 

 

 

ทัณฑ์สวรรค์ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาได้รับ ถูกตี้เสียที่เป็นปฐมจักรพรรดิสวรรค์ในตอนนั้นเปลี่ยนเป็นพลังที่ฉีกกระชากฝืนฟ้า ทำลายฟ้าดิน สาดเทสายน้ำแห่งสวรรค์ลงไปบนพิภพ 

 

 

ใช่แล้ว ตี้เสียทราบดีว่า ….จู๋ฮว๋ายและซีเหอมีใจห่วงใยสรรพชีวิตในใต้หล้า 

 

 

เมื่อเห็นมหัตภัยที่จะทำลายทุกชีวิตกำลังเกิดขึ้นตรงหน้า พวกเขาก็จะต้องจำยอมละทิ้งการรับทัณฑ์สวรรค์ครั้งสุดท้าย เพื่อใช้พลังทั้งหมดที่มี มาช่วยเหลือชีวิตอีกนับหมื่นนับแสนแทน 

 

 

และทุกสิ่งก็เป็นไปตามที่เขาได้คาดการณ์เอาไว้ พวกนางยอมถอดใจละทิ้งในตอนสุดท้ายจริงๆ 

 

 

ยอมละทิ้งทั้งหมดของตนเอง เพื่อช่วยเหลือพิภพ 

 

 

ตอนนี้ตู๋กูซิงหลันจดจำได้แล้ว ในสมองจึงเต็มไปด้วยภาพแห่งความพยายามทุ่มเทขุมพลังอย่างที่สุดของนางและจีเฉวียน 

 

 

พวกนางที่หมดสิ้นขุมพลังทั้งหมดไหนเลยจะสามารถทนรับทัณฑ์สวรรค์ในครั้งสุดท้ายได้อีก? 

 

 

ในตอนนั้น….ซีเหอตัดสินใจเสียสละร่างกายของเขาเพื่อรองรับทัณฑ์สวรรค์ คิดจะมอบโอกาสรอดให้กับนาง 

 

 

ช่างบังเอิญ…ที่จู่ฮว๋ายเองก็คิดเช่นเดียวกัน 

 

 

ความรักมีความสุขที่สุดในโลกนี้ก็คือ การได้รักผู้ที่ก็รักท่านอย่างลึกล้ำที่สุดเช่นกัน รักที่ไม่หวาดกลัวแม้แต่ความเป็นความตาย ใจปรารถนาเพียงแต่จะให้อีกฝ่ายเป็นสุขและปลอดภัย  

 

 

เป็นรักที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่พวกนางได้รู้จักกัน โดยไม่มีการโกหกหลอกลวงแม้แต่น้อย และไม่มีการหักหลังใดๆทั้งสิ้น ในหัวใจและดวงตามีแต่กันและกันเท่านั้น 

 

 

ขณะที่คิดถึงเรื่องเหล่านี้ ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกได้ถึงความสุข นางรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้เคยรักบุรุษที่โดดเด่นถึงเพียงนั้นมาก่อน 

 

 

และเพราะนางโอบกอดความภาคภูมิใจในตัวคนผู้นั้นเอาไว้อย่างสุดหัวใจ 

 

 

จึงได้ทำให้ตัวนางที่เป็นจู่ฮว๋ายในชาตินั้นได้สร้างสาปหัวใจเอาไว้ในวาระสุดท้ายของชีวิต 

 

 

เมื่อมีสาปแห่งหัวใจนี้อยู่ นางย่อมไม่อาจไปรักผู้อื่นผู้ใดนอกจากซีเหอไปได้อีกทุกชาติภพ 

 

 

นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมตอนที่นางเกิดความหวั่นไหวไปกับจีเฉวียน นางถึงได้เกิดความเจ็บปวดทรมานปานถูกกรีดหัวใจ เพราะตัวนางเองก็เป็นคนที่ทั้งเข้มแข็งและเด็ดขาดอย่างยิ่ง จึงมีรักแท้ปักใจแต่เพียงผู้เดียว 

 

 

ต่อมาภายหลัง ทำไมถึงได้สามารถสลายคำสาปนั่นลงไป และสามารถรักเขาได้นั้น… 

 

 

เหตุผลก็คงจะมีเพียงประการเดียว 

 

 

ก็คือจีเฉวียนก็คือซีเหอนั่นเอง 

 

 

ในตอนแรกนั้นเขายังมิใช่ซีเหอที่สมบูรณ์ คำสาปหัวใจนั้นจึงบังเกิดผล ทรมานนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า 

 

 

ชาติก่อนตอนที่นางใช้ร่างเนื้อรองรับทัณฑ์สวรรค์ครั้งสุดท้ายนั้น ก็ได้กลายเป็นศิลาวิญญาณ  นางได้ใช้พลังในจิตวิญญาณสุดท้ายของตนเองลบความทรงจำทั้งหมดของซีเหอทิ้งไป  และสร้างความทรงจำใหม่ขึ้นมา ทำให้เขาเป็นหมิงอ๋อง คอยปกป้องสรรพชีวิตในใต้หล้าแทนนาง 

 

 

และเพื่อจะปกป้องเขา นางจึงได้ใช้พลังสุดท้ายที่มีอยู่ ลบเลือนทุกความทรงจำของทุกผู้คนที่รู้จักซีเหอ ทุกเรื่องราวที่เกี่ยวข้อไปจนหมดสิ้น 

 

 

แม้แต่ตี้เสียและฮว๋ายยู่ที่ยังคงอยู่ ต่อมาในภายหลังก็ยังไม่สามารถระบุฐานะที่แท้จริงของหมิงอ๋ององค์ใหม่นี้ได้ 

 

 

ส่วนศิลาวิญญาณที่มีพลังยิ่งใหญ่ค้ำฟ้านั้น  หลังจากที่ฟ้าดินกลับคืนสู่ความสงบสุขแล้ว  ก็ได้หวนคืนสู่เผ่าภูติ กลายเป็นหยกสรรพชีวิต…..สมบัติล้ำค่าที่แท้จริงของเผ่าภูติ 

 

 

ส่วนฮว๋ายยู่นั้น ย่อมเป็นผู้ที่ทำให้เกิดจุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรมของนางและซีเหออย่างไม่อาจปฏิเสธได้อย่างแน่นอน 

 

 

เพราะหากตั้งแต่แรกเริ่มนางมิได้ปลอมแปลงตนเป็นจู่ฮว๋ายไปล่อลวงตี้เสีย ก็คงไม่ทำให้จู่ฮว๋ายต้องถูกตี้เสียไล่ล่าตามตื้ออย่างอนาถถึงเพียงนี้ 

 

 

อีกทั้งในตอนที่จู๋ฮว๋ายและซีเหอกำลังเผชิญหน้ากับหัวเลี้ยวหัวต่อให้ช่วงสุดท้าย  

 

 

จู่ฮว๋ายถึงกับลอบโขมยไม้คฑาทงเทียนกุ้นของเทพบิดร และอาศัยชื่อของจู่ฮว๋ายไปล่อลวงตี้เสียออกมา…. 

 

 

เกรงว่าแม้แต่ในช่วงสุดท้าย ตี้เสียก็ยังกอดความหวังอันเบาบางเอาไว้ คิดว่าจู่ฮว๋ายจะต้องมีเยื่อใยต่อเขาอยู่บ้าง  จึงได้เชื้อเชิญเขามาและเข้าใจผิดว่าจู่ฮว๋ายจะยอมหนีมาอยู่เคียงคู่กับเขาตลอดไป 

 

 

แน่นอนว่า ทั้งฮว๋ายยู่และตี้เสียล้วนมิใช่ตัวดี! 

 

 

“เจ้าชอบคนผู้หนึ่ง พอไม่ได้รับการตอบสนอง ก็ต้องการให้ผู้อื่นตกตายไปพร้อมกับความรักของเจ้ากระนั้นหรือ?” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันโกรธแค้นอย่างแท้จริง นางมิใช่จู่ฮว๋ายอีกต่อไปแล้ว จึงมิได้มีจิตใจที่กว้างขวางและและเมตตาดุจมารดาผู้ก่อกำเนิดเช่นจู่ฮว๋าย 

 

 

นางนั้นเป็นคนที่ใช้วิธีตาต่อตาฟันต่อฟัน นางจดจำจารึกความแค้นเอาไว้ในกระดูก 

 

 

ดังนั้นจึงเคียดแค้นฮว๋ายยู่จนแทบอยากจะฉีกเป็นชิ้นๆ! 

 

 

คำพูดนี้มิต้องให้ตู๋กูซิงหลันอธิบายให้มากความ ฮว๋ายยู่ก็รู้ว่านางหมายความเช่นไร 

 

 

นางหลงรักคนผู้หนึ่ง….แต่ว่ามิอาจได้รับการตอบสนอง 

 

 

ประโยคนี้เป็นเสมือนมีดดาบที่ทิ่มแทงเข้าไปในใจของฮว๋ายยู่ 

 

 

ตลอดหลายปีมานี้…แม้ว่าจู่ฮว๋ายจะตายไปเนิ่นนานหลายปีแล้ว นางเองก็ยังไม่เคยได้รับความรักที่แท้จริงจากตี้เสียเลย 

 

 

………