ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 57 การเซ่นไหว้ปีศาจ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 57 การเซ่นไหว้ปีศาจ

หลิวต้าลู่รีบเดินไปตามเส้นทางเดินในป่าไม้

การมองเห็นในตอนกลางคืนนั้นเป็นเรื่องยากไม่น้อย แต่ก้าวเดินของหลิวต้าลู่ก็แม่นยำและมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม

ทันใดนั้น เขาก็หยุดลงเบื้องหน้าต้นไม้ต้นหนึ่งที่มีลำต้นหนาจนน่าเหลือเชื่อ หลิวต้าลู่มองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวังก่อนที่จะเคาะลำต้นไม้นั้น 3 ครั้ง

อึดใจต่อมา เสียงเคาะ 3 ครั้งก็ดังตอบกลับมาจากภายในต้นไม้นั่น

หลิวต้าลู่ตอบโต้กลับไปด้วยการเคาะอีก 2 ครั้ง

ประตูที่ล่องหนอยู่ก่อนหน้านี้เปิดออกกว้างและเผยให้เห็นพื้นที่ข้างในนั้น

ชายผมเผ้ารุงรังราวกับรังอีกาปรากฏตัวขึ้น ใบหน้ามีผ้าสีดำบดบัง เขาจ้องมองหลิวต้าลู่ก่อนจะถามอย่างประชดประชัน “ทำไมเจ้าไปนานนัก?”

“ภรรยาจับตาดูข้าอยู่น่ะ”

“ไม่มีใครตามเจ้ามาใช่ไหม?”

“ไม่”

“เจ้าได้ของมาไหม?”

“ได้ นี่ไง” หลิวต้าลู่กล่าวขณะที่เขาตบห่อของในมือเบา ๆ

“เข้ามา” จีอัวโถวรีบพาเขาเข้ามาข้างใน

หลิวต้าลู่กระโดดเข้าไปในโพรงบนต้นไม้ และจีอัวโถวก็โยนผืนผ้าสีดำให้อีกฝ่ายเพื่อใช้ปกปิดใบหน้า

หลิวต้าลู่รีบใส่มันก่อนที่จะตามจีอัวโถวเข้าไปโถงเปิดทั่วไปขนาดใหญ่ ที่นั่นมีผู้คนสวมผ้าปิดหน้าสีดำหลายสิบคนที่โค้งคำนับและสักการบูชาอยู่

เบื้องหน้าพวกเขาคือรูปปั้นของเทพเจ้าสูงตระหง่าน

รูปปั้นนี้มี 3 ตาและ 6 แขน มือแต่ละข้างถือสิ่งของแตกต่างกันออกไป มีตั้งแต่เทียนไข ขวานศึก ฉาบทองแดง กระบองสีทอง เหยือกน้ำ และพู่กันเขียน

ผู้คนที่สวมใส่ผ้าปิดหน้าสีดำล้วนกำลังสวดมนต์เป็นเสียงเดียวกัน “ขอให้การสรรเสริญและสง่าราศีจงมีแด่เทพหกประสงค์…”

มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ไม่ได้กำลังสักการบูชาอยู่ ชายชราผมสีขาวคนหนึ่ง

หลังจากที่หลิวต้าลู่มาถึง ชายชราคนนั้นก็ถามขึ้นทันที “เจ้านำมันมาด้วยหรือไม่?”

หลิวต้าลู่รีบรุดเข้าไปหาคนชรากว่าและมอบห่อของให้

ชายชราเปิดห่อของออก ข้างในห่อนั้นมีเด็กทารกอยู่

ชายชราสูดหายใจเข้าลึกเพื่อยืนยันว่าเด็กน้อยยังคงมีชีวิตอยู่ก่อนที่ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก “เยี่ยมมาก เทพเจ้าของพวกเราจะต้องตกรางวัลให้เจ้าเป็นอย่างดี”

หลิวต้าลู่ปลื้มปิติ “ขอเทพเจ้าของเราจงได้รับการสรรเสริญ!”

การถวายครั้งก่อนของเขานั้นได้รับรางวัลกลับมาเป็นกำลังวังชามหาศาล หลังจากที่เขากลับไปที่บ้านในคืนนั้น เขาก็มอบความสุขให้แก่ภรรยาไม่น้อย ในตอนที่กำลังสำแดงพลังความเป็นชายที่เพิ่งได้มาใหม่ให้เห็น

หลังจากได้รับรสชาติเช่นนั้นไป หลิวต้าลู่ก็ต้องการมากยิ่งกว่าเดิม เขากระทั่งยอมรับคำขอที่ชั่วร้ายและต่ำทรามในการถวายเด็กทารกไร้เดียงสา

ชายชราจัดเตรียมเด็กทารกด้วยมือซ้ายและเงื้อกริชขึ้นสูงด้วยมือขวา ด้ามจีบกริชมีลวดลายของอสรพิษสลักไว้ และเมื่อมันถูกเงื้อสูงขึ้น ลายสลักก็จะแผ่ขยายออกช้า ๆ และดิ้นยั้วเยี้ยเข้าไปในเนื้อห้อยย้อยระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้ของชายชรา กริชเล่มนั้นและผู้กวัดแกว่งของมันได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว

ชายแก่เงื้อกริชลายอสรพิษขึ้นตะโกนอย่างบ้าคลั่ง “เทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ได้โปรดรับของเซ่นไหว้อันต่ำต้อยนี้ด้วยเถิด! พวกเรารอคอยการกลับมาของท่านอย่างใจจดใจจ่อ และพวกเรายินดีรับใช้ท่าน!”

เสียงของเหล่าผู้ศรัทธาเบื้องล่างเริ่มดังกระหึ่มขึ้นขณะที่พวกเขาส่งเสียงเรียกเทพหกประสงค์ของตน

ขณะที่เสียงสวดมนต์ยังคงเพิ่มระดับความดังขึ้นเรื่อย ๆ รูปปั้นก็เริ่มตอบโต้ต่อผู้ศรัทธาเหล่านี้ เงาของมันเริ่มบิดเบี้ยวไปอย่างเห็นได้ชัดและเข้าห่อหุ้มร่างของทารกน้อยไว้ ภาพของมันขยายใหญ่ยิ่งขึ้นไปอีกภายใต้แสงเทียน

เสียงสวดมนต์ดังยิ่งขึ้นไปอีก

แววความกระหายเลือดแวบผ่านสายตาของชายชราไปเมื่อเขาแผดเสียงดังกึกก้อง “ในนามของเทพเจ้าของเรา!”

กริชเล่มนั้นลดต่ำลง

แต่ตอนที่กริชกำลังจะทิ่มแทงหัวใจของทารก มันก็หยุดนิ่งไป

ชายสูงอายุค้นพบว่าบางสิ่งกำลังถ่วงเขาไว้ ทำให้เขาไม่อาจแทงลงไปเต็มที่ได้

ในเวลาเดียวกัน เสียงการฆ่าฟันก็ปรากฏให้ได้ยินไกลออกไป

ชายชราตกตะลึงอยู่สักพักแต่ก็เรียกสติกลับมาได้อย่างรวดเร็ว “แย่แล้ว! นักล่าปีศาจ!”

ชายชรารีบโยนเด็กทารกขึ้นไปหาเพดาน

เพดานเบื้องบนชายแก่นั้นทำขึ้นมาจากหิน หากเป็นในสถานการณ์ปกติแล้ว ทารกคนนั้นคงจะถูกสังหารด้วยแรงปะทะเป็นแน่

แต่ทารกน้อยก็ค่อย ๆ หยุดนิ่งลงกลางอากาศและลอยค้างอยู่อย่างสงบนิ่ง พริบตานั้นเอง เด็กน้อยก็ลืมตาขึ้นและเริ่มขำคิกคักอย่างไร้เดียงสาขณะที่จดจ่ออยู่กับสภาพแวดล้อมแปลกใหม่โดยไม่รู้ตัวว่าตนเกือบสิ้นลมหายใจไปกว่าหลายครั้งแล้ว

ชายแก่กลับหลังหันเตรียมหลบหนีเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ทำเช่นนั้น เขาก็โยนของชิ้นหนึ่งออกมา ทำให้กลุ่มควันขนาดมหึมาปรากฏขึ้นในทันใด

หมอกควันเหล่านั้นทำให้สถานการณ์โกลาหลยิ่งขึ้นไปอีกในทันที

ผู้สักการบูชาเหล่านั้นล้วนเป็นเพียงชาวเมืองธรรมดาแสนงมงาย พวกเขากรีดร้องด้วยความหวาดกลัวเมื่อกองทหารศิษย์กลุ่มใหญ่บุกเข้ามาในทางเดินและเตรียมพร้อมจับกุมทุกคนในพื้นที่

ชายชราผมหงอกถอยกรูดไปจนถึงรูปปั้นแล้วจึงฟาดมันด้วยฝ่ามือ ประตูบานเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของรูปปั้น

ชายแก่กระโดดเข้าไปในประตูทันที แต่หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ยื่นศีรษะกลับออกมาข้างนอกและวางหุ่นไม้ตัวเล็กไว้ที่เท้าของรูปปั้น แล้วจึงมุ่งหน้าเดินเข้าประตูต่อไป

เบื้องหลังประตูนั้นคืออุโมงค์แห่งหนึ่ง แม้ว่าชายชราจะสูงอายุมากแล้ว ก้าวเดินของเขาก็คล่องแคล่วและรวดเร็ว ไม่นานต่อมาเขาก็ไปถึงยังปลายอุโมงค์ซึ่งนำไปสู่บ่อน้ำในสนามหลังบ้านของใครบางคน

กำแพงของบ่อน้ำแห่งนี้ค่อนข้างลื่นทีเดียว แต่ก็เห็นได้ชัดว่าชายแก่คนนี้คุ้นเคยกับเส้นทางหลบหนีเป็นอย่างดี ด้วยก้าวเหยียบที่มั่นคง เขาสามารถกระโดดออกมาที่พื้นที่ข้างบ่อน้ำได้อย่างง่ายดาย

เขาพึ่งจะมาถึงบนพื้นเมื่อได้ยินใครบางคนเริ่มหัวเราะอยู่ข้างหลัง “ไม่เลวนี่”

ชายอาวุโสตัวแข็งทื่อ

เขาหันหลังไปช้า ๆ ก่อนจะพบกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนห่างออกไปไม่ไกลผู้กำลังยืนหัวเราะร่วนและค่อย ๆ ปรบมือ

ชายชราเริ่มย่องถอยหลังขณะที่ตัวเองหัวเราะอย่างกระอักกระอ่วน “ฮ่า ๆ ข้าต้องขอโทษด้วย ดูเหมือนว่าข้าจะหลงทางน่ะ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”

ชายหนุ่มหยุดปรบมือและตอบกลับไปอย่างเกรี้ยวกราด “นี่เจ้า อย่ามาดูถูกมันสมองของข้าเชียว เจ้าคงไม่คิดว่าตัวเองจะยังรอดไปได้ใช่ไหม? อ้อ ข้าควรแนะนำตัวเองเสียหน่อย ชื่อของข้าคือฉางเหอ”

“ฉางเหอฝ่ามือพันผกาหรือ?” ชายแก่ตะลึงงัน

ณ จุดนี้ ชื่อของฉางเหอเป็นที่โด่งดังทีเดียว เขาคือหนึ่งในสามผู้นำนักล่าปีศาจแห่งนิกายไร้ขอบเขต เนื่องจากเขาสามารถใช้วิธีการจัดการมากมายหลายแบบในการรับมือบรรดาผู้นับถือศาสนา เขาจึงได้รับฉายานั้นมา

เมื่อฉางเหอได้ยินฉายาของตน เขาก็ตอบอย่างไม่สบอารมณ์นัก “ชื่อนั้นฟังดูไม่สง่างามเลย ข้าว่านะเหล่าจาง คราวนี้เจ้าไม่รอดแล้วล่ะ อย่างไรเสียพวกเราไล่จับและวางกับดักเจ้ามานานโขแล้ว”

ชายชราหัวเราะอย่างประชดประชัน “ท่านฉาง ดูเหมือนท่านจะจับตัวผิดคนแล้วล่ะ แซ่ของข้าคือหลี่ต่างหาก ไม่ใช่จาง ใช่ ตระกูลของข้าบูชาเทพเจ้าและขัดต่อคำสั่งของนิกายไร้ขอบเขต ข้ายอมรับการกระทำผิดนั้น แต่แซ่ของข้าไม่ใช่จางจริง ๆ นะ!”

สีหน้าของฉางเหอเยือกเย็นยิ่งขึ้นไปอีก “จางเทียนชี ชื่อเดิมว่าจางเอ้อร์หลง อายุ 64 ปี เกิดที่หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ซ่อนอยู่ในภูเขา 3 ปีก่อนเจ้าสังหารคนทั้งหมู่บ้านเพื่อสังเวยชีวิตของพวกเขาให้แก่เทพหกประสงค์ ข้าบอกเลยนะตาเฒ่า เจ้าชั่วร้ายไม่ใช่เล่นเลย ในไม่กี่ปีที่ผ่านมาเจ้าได้สังหารชีวิตไปมากมาย ถึงเวลาแล้วที่เจ้าจะต้องจ่ายหนี้ที่ก่อไว้”

เมื่อได้ยินคำพูดของฉางเหอ ท่าทีของชายแก่ก็กลับกลายเป็นเย็นยะเยือกเมื่อเขารู้ตัวแล้วว่าตนไม่อาจใช้เล่ห์เหลี่ยมหลบหนีไปได้ “ท่านฉางดูจะศึกษามาดีทีเดียวนะ”

“ข้าจะมาปรากฏตัวเพื่ออะไรได้อีกล่ะ? งั้นเจ้าจะยอมแพ้อย่างสันติหรือจะบังคับให้ข้าต้องใช้กำลังดี?”

จางเทียนชีหัวเราะขณะที่ตอบคำถาม “ท่านฉางอาจจะทรงพลัง แต่ท่านคิดว่าข้าเอาชีวิตรอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ด้วยโชคอย่างเดียวหรือไร? ข้าแค่ไม่อยากรบกวนท่านก่อนหน้านี้ แต่ถ้าท่านว่าเช่นนั้น… ข้าก็ยิ่งกว่ายินดีที่จะแสดงให้ท่านเห็นว่าเทพเจ้าน่ะแข็งแกร่งขนาดไหน!”

ขณะที่พูด ทั้งร่างกายของชายแก่ก็เริ่มบวมเป่ง ฉับพลันร่างกายอันแห้งเหี่ยวของเขาก็กลับกลายเป็นร่างของชายหนุ่มกำยำอย่างรวดเร็ว

“แค่นั้นเองหรือ? เจ้ารีบข้ามไปที่ของดีจะดีกว่านะ” ฉางเหอตอบอย่างนิ่งเฉย ไม่แม้แต่จะชายตามองการเปลี่ยนแปลงของจางเทียนชีด้วยซ้ำ

จางเทียนชีรู้ถึงความสามารถของศัตรูอย่างฉางเหอและรู้ว่าวิชาปกตินั้นไร้ประโยชน์ต่ออีกฝ่ายโดยสิ้นเชิง ที่จริงแล้ว เขารู้อยู่แล้วว่าตนจะโชคดีพอให้หลบหนีไปได้จากสถานการณ์นี้

ดังนั้นแล้ว เขาจึงยกหุ่นไม้ขนาดเล็กในมือขึ้นและกู่ร้องออกมาอย่างสิ้นหวังในทันใด “เทพหกประสงค์โปรดประทานพลังของท่านให้แก่ข้าเถิด!”

กระแสแสงศักดิ์สิทธิ์กะพริบผ่านผิวของหุ่นก่อนจะพุ่งเข้าไปในร่างกายของจางเทียนชี จางเทียนชีเริ่มเรืองแสงสีทองจาง ๆ ทันทีขณะที่เขาปล่อยรัศมีอันสง่างามออกมา

โชคไม่ดีนักที่เขาไม่สามารถใช้พลังนี้ในการสู้รบได้

จางเทียนชีรีบเก็บหุ่นไม้ในมือ ขว้างคลื่นแสงสีทองที่พลุ่งพล่านออกมาใส่ศัตรู แล้วจึงกลับหลังหันเพื่อฉวยโอกาสนี้ในการหลบหนี

“พยายามจะหนีหรือ? อย่าลืมสิว่าข้าคือฝ่ามือพันผกานะ” ฉางเหอหัวเราะอย่างใจเย็นขณะที่ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าจางเทียนชีอีกครั้ง

ความเชี่ยวชาญในวิชาต่อสู้ของเขาก็หลากหลายไม่ต่างไปจากกลยุทธ์การล่า ความคุ้นเคยกับวิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายของฉางเหอในตอนนี้นับน่าประทับใจทีเดียว

อย่างที่ไม่มีใครคาดคิด จางเทียนชียังคงมุ่งหน้าต่อไป แสงประกายประหลาดกะพริบผ่านดวงตาของเขาไปเสี้ยวพริบตาหนึ่ง แล้วฉางเหอก็รู้สึกราวกับว่าจิตใจของตนเชื่องช้าลงในทันใด ฉับพลันเขาก็ต้องยืนนิ่งอยู่กับที่ทันที

ท่าไม่ดีแล้ว!

ฉางเหอรู้ว่าตนกำลังตกที่นั่งลำบาก แต่เขาไม่ได้ป้องกันสายตาจากจางเทียนชี ทั้งที่เขาแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน? เกิดอะไรขึ้น?

“ตายเสีย!” จางเทียนชีเงื้อกริชลายอสรพิษมือขึ้นสูง ดวงตาอสรพิษที่สลักอยู่บนด้ามจับดูจะชอนไชเข้าไปในดวงวิญญาณของฉางเหอ รัศมีหมองหม่นเย็นยะเยือกก็เข้าปกคลุมอีกฝ่าย ราวกับว่าชายหนุ่มถูกโยนเข้าไปในคุกที่มืดมิดและหนาวเหน็บ

เขารู้ดีว่าตนได้ถูกหลอกเสียแล้ว หากกริชเล่มนี้สามารถทำร้ายเขาได้ กระทั่งด้วยรอยถลอกเพียงเล็กน้อย เขาคงจะต้องกลายเป็นหนึ่งในเครื่องเซ่นไหว้ของจางเทียนชีเป็นแน่

ฉางเหอหมุนเวียนพลังงานทั้งหมดภายในร่างกายเพื่อพยายามหายใจออก นั่นคือสิ่งเดียวที่เขาทำได้ ขณะที่หายใจออก สายลมเล็ก ๆ ก็กลายเป็นระนาบอากาศ กระแทกเข้าที่ใบหน้าของจางเทียนชีและขัดขวางแรงเหวี่ยงของอีกฝ่ายไว้

ในขณะเดียวกัน แรงกดดันที่ปกคลุมร่างของฉางเหออยู่ก็ลดต่ำลง ฉางเหอสามารถเกร็งเท้าข้างหนึ่งได้เบา ๆ ส่งให้เขาบินขึ้นไปบนท้องฟ้า

จางเทียนชีไล่ตามไปทันที กริชอสรพิษกวัดแกว่งอย่างดุดันอยู่ตรงหน้าฉางเหอโดยสาดเงาอันหนาวเหน็บและชั่วร้ายใส่เขาอีกครั้ง ทันใดนั้นเอง ชายหนุ่มก็พบว่าตนเองขาดอากาศหายใจและเริ่มร่วงหล่นลงจากท้องฟ้า

จางเทียนชีเงื้อกริชขึ้นอีกครั้ง “ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าท่านจะบีบให้ข้าต้องใช้พรศักดิ์สิทธิ์ แต่ไม่เป็นไร ตราบใดที่ข้าสามารถสังหารท่านได้ ข้าก็จะได้รับพรอีกมากและมากขึ้น!”

ตอนที่กริชกำลังจะจ้วงลงมานั่นเอง ฉางเหอจ้องชายแก่เขม็ง “เจ้ากล้าสังหารเทพเจ้าหรือ?”

ในใจของจางเทียนชี ฉางเหอหายตัวไปทันควันและแทนที่ด้วยเทพหกประสงค์แทน ความหวาดกลัวแทรกซึมเข้ามาในใจ และมือที่กำกริชอสรพิษไว้ก็ต้องคลายออกเพราะการเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึงนี้

เสียงหนึ่งดังกึกก้องขึ้นในความคิดของเขา “เจ้าโง่ นั่นมันวิชาภาพลวงตา!”

จางเทียนชีหลุดออกจากภาพลวงอย่างรวดเร็วและกำลังจะทิ่มแทงกริชอีกครั้ง แต่จนถึงตอนนี้ เท้าของฉางเหอก็อยู่บนหน้าอกของคนเฒ่าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ชายหนุ่มสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระอีกครั้ง

ชั่วขณะที่จางเทียนชีถูกส่งลอยออกไป เขาก็แผดเสียงลั่น “ขอเทพเจ้าใช้ร่างกายมนุษย์ของข้า!”

ตูม!

หุ่นไม้แตกสลายออก จิตวิญญาณอันสง่างามและทรงพลังก็พวยพุ่งออกมาปกคลุมทั่วทั้งบริเวณ กระทั่งฉางเหอก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้นอกจากสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวและตัวแข็งทื่อ

“เทพหกประสงค์หรือ?” ฉางเหอตกตะลึง

“เจ้ากล้าสังหารผู้บูชาข้าหรือ? จงตาย!” เทพเจ้าผู้มี 3 ตาและ 6 แขนปรากฏตัวขึ้นข้างหลังร่างของจางเทียนชีเหมือนกับลักษณ์ แต่ที่ต่างออกไปจากลักษณ์คือภาพนี้มีตัวตนและสง่างามยิ่งกว่า

แขนที่กวัดแกว่งกระบองยกสูงขึ้นไปบนฟ้าก่อนจะฟาดลงมายังฉางเหออย่างน่าครั่นคร้าม

นี่คือกระบองสะท้านวิญญาณ แม้จะเป็นเพียงภาพฉาย ประสิทธิภาพการส่งผลต่อจิตใจของผู้คนก็น่าประทับใจไม่น้อย

ตอนที่กระบองกำลังจะบดขยี้ศีรษะของฉางเหอราวกับแตงโมสุกนั่นเอง ลำแสงดาบสว่างจ้าก็ผ่าลงมาจากสรวงสวรรค์ในทันใด

มันเจาะทะลวงภาพเบื้องหลังจางเทียนชีโดยตรง ทำให้กระบองสะท้านวิญญาณหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศขณะที่แสงดาบทะลุผ่านภาพและตัดศีรษะของจางเทียนชีออกอย่างง่ายดาย

ศีรษะของจางเทียนชีระเบิดออกด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว

“ไม่!!!” เทพหกประสงค์คำรามด้วยความโกรธแค้น

แล้วลำแสงดาบก็กลับไปหาเจ้าของ ชายหนุ่มผู้สวมใส่ผ้าคลุมสีขาวล้วน เยี่ยเฟิงหานนั่นเอง

“ไอ้สารเลว! ข้าจะกลับมา! และเมื่อข้ากลับมา ข้าจะปกครองโลกใบนี้และฆ่าพวกเจ้าให้สิ้นซาก!” ภาพที่กำลังแตกสลายคำรามลั่นด้วยโกรธเกรี้ยวอย่างน่าสังเวช

“ไปได้แล้ว” เยี่ยเฟิงหานกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาขณะที่ฟันดาบออกไปอีกครั้งเพื่อผ่าจางเทียนชีและภาพเทพหกประสงค์ออกเป็นชิ้น ๆ