ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 58 ชุมชนลับ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 58 ชุมชนลับ

“ชิ! ถึงเจ้าไม่มาข้าก็ชนะได้” ฉางเหอฮึดฮัดด้วยความรำคาญใจที่สนามขนาดเล็กเบื้องล่าง

“แน่นอน ๆ ก็ฉางเหอของเราเป็นถึงหนึ่งใน 3 ผู้นำนักล่าปีศาจนี่ เจ้าคงเอาชนะเขาได้ในทีเดียว เหล่าเยี่ย เจ้าน่ะเข้ามาจุ้นจ้านเร็วเกินไป” ชายร่างกำยำผู้กวัดแกว่งค้อนยักษ์เยาะเย้ยอย่างสนุกสนานขณะที่เดินเข้าไปหา เขาคือหวังซินเฉานั่นเอง

นิกายไร้ขอบเขตได้ก่อตั้งนักล่าปีศาจขึ้นมาเพื่อรับมือกับเทพเจ้าที่พยายามจะหาผู้บูชาเพิ่ม ผู้บังคับบัญชาของหน่วยใหม่นี้คือเยี่ยเฟิงหาน หวังซินเฉา และฉางเหอ

เยี่ยเฟิงหานและฉางเหอนั้นไม่จำเป็นต้องแนะนำตัวในเมื่อพวกเขาเป็นที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว แม้ว่าฉางเหอจะหุนหันพลันแล่นและขาดความแน่วแน่เช่นเยี่ยเฟิงหาน แต่เขาก็ทดแทนคุณสมบัติเหล่านั้นด้วยวิชาหลายอย่างชนิดที่เชี่ยวชาญ รวมถึงกลยุทธ์มากมายที่เขาสามารถใช้งานได้ ในการต่อสู้ตัวต่อตัว ความแข็งแกร่งของเขานั้นอ่อนแอที่สุด แต่ความสามารถในการประยุกต์เฉพาะหน้าก็เก่งกาจที่สุดในทั้ง 3 คน ส่วนหวังซินเฉาเป็นหนึ่งในสมาชิกใหม่ของนิกายไร้ขอบเขต ยุทธศาสตร์ชั้นเลิศ ใจเย็น และความสงบนิ่งของเขานำพาชายหนุ่มมาสู่ตำแหน่งของผู้นำนักล่าปีศาจของนิกาย

ฉางเหอประหลาดใจเมื่อเห็นว่าหวังซินเฉาก็โผล่หน้ามาด้วย “ทำไมพวกเจ้าทั้งสองถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?”

“เทพหกประสงค์สามารถแสดงตนเป็นภาพได้แล้ว ข้าจะไม่มาได้ยังไงกัน?” เยี่ยเฟิงหานตอบ

เขาจ้องมองร่างของจางเทียนชีด้วยความวิตกกังวล

รอยร้าวบนปราการกำลังเพิ่มขึ้น และอำนาจของเทพเจ้าก็มากขึ้นได้ทุกวัน นี่หมายความว่าแรงกดดันของนักล่าปีศาจก็เพิ่มสูงขึ้นไปด้วย

จุดสังเกตที่ชัดเจนคือ การปราบปรามพิธีกรรมบูชาเหล่านี้ยากลำบากมากขึ้นเพียงไร

แต่ระหว่างกระบวนการนี้ นิกายไร้ขอบเขตก็ได้สะสมประสบการณ์ทรงคุณค่าไว้ไม่น้อยเช่นกัน

การค้นพบที่สำคัญที่สุดคือ พลังอมตะเป็นการตอบโต้ที่ดีที่สุดต่อพลังศักดิ์สิทธิ์

การโจมตีดาบของเยี่ยเฟิงหานสามารถตัดผ่านภาพของเทพหกประสงค์ได้อย่างสวยงามก็เพราะเหตุนี้

แต่การใช้พลังอมตะราวห้าในร้อยส่วนของร่างกายเพื่อสังหารเพียงแค่ภาพฉายก็ดูจะสิ้นเปลืองไปเสียหน่อย เยี่ยเฟิงหานคิดกับตนเองเช่นนั้น

เขายังอยู่ในด่านยาเม็ดทองคำ แต่ด้วยการชี้นำของซูเฉิน เขาก็เริ่มเติมเต็มช่องว่างในพื้นฐานของตัวเองได้ ขั้นตอนนี้จะทำให้พื้นฐานของเขามั่นคงยิ่งขึ้น และเมื่อสำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว ยาเม็ดทองคำของเขาก็จะแข็งตัวทั้งหมด

แต่ถึงอย่างนั้น ผู้ที่อยู่ในด่านยาเม็ดทองคำก็ยังต้องใช้พลังอมตะที่ครอบครองกว่าห้าในร้อยส่วนเพียงเพื่อทำลายภาพฉายของเทพเจ้า เห็นได้ชัดว่า แม้จะมีข้อได้เปรียบตามธรรมชาติของพลังอมตะต่อพลังศักดิ์สิทธิ์ ความแข็งแกร่งส่วนบุคคลของผู้ฝึกตนก็ยังสำคัญไม่น้อย

พวกเขาจำเป็นต้องตามหาด่านที่สูงกว่านี้จริง ๆ!

เยี่ยเฟิงหานสงสัยว่าการค้นคว้าของท่านเจ้านิกายเป็นอย่างไรบ้างอย่างอดไม่ได้

ในไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซูเฉินใช้เวลาส่วนมากไปกับการค้นคว้าด่านฝึกตนที่สูงขึ้น ความพยายามของเขาแทบทั้งหมดวนเวียนอยู่กับการผสานระบบพลังอมตะใหม่นี้กับด่านมหาราชันเพื่อพัฒนาขึ้นอีกครั้ง

แต่การทำเช่นนั้นก็ดูเป็นการท้าทายอย่างถึงที่สุด

กระทั่งเยี่ยเฟิงหานก็ไม่รู้เลยว่าซูเฉินจะทำสำเร็จหรือไม่

และแม้ว่าเขาจะทำสำเร็จ… มันจะเพียงพอหรือ?

หากความแข็งแกร่งของพวกเขายังไม่เพียงพอแม้จะมีพัฒนาการอีกขั้นแล้ว พวกเขาก็คงได้แต่ทดแทนส่วนที่ขาดหายไปด้วยจำนวนคนเท่านั้น

เยี่ยเฟิงหานมองไปยังฉางเหอแล้วจึงตอบอย่างเยือกเย็น “เจ้าไปถึงระดับก่อร่างแล้วไม่ใช่หรือไง? เจ้าควรจะสังหารเขาได้ด้วยการโจมตีครั้งเดียวสิ”

ฉางเหอเกาหัวแกรก ๆ ด้วยท่าทีเขินอายพร้อมตอบกลับไป “ข้าลืมเรื่องนั้นไปเลย”

“ฮึ่ม!” เยี่ยเฟิงหานกระแอมก่อนจะตำหนิ “ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีกจะไม่มีใครมาช่วยเจ้าแล้วนะ”

“ชิ เจ้าไม่ช่วยข้าก็ไม่เป็นอะไรหรอก ใช่ไหมซินเฉา?”

“เรียกข้าว่าพี่ชายรองสิ”

“เจ้าบ้า ข้าจะเอาชนะเจ้าในไม่ช้าก็เร็ว แล้วข้าจะเอาชื่อนั้นมาเป็นของตัวเอง!”

หวังซินเฉาไม่ใส่ใจการต่อล้อต่อเถียงของฉางเหอ เขากลับเดินเข้าไปหาร่างของจางเทียนชีและพลิกมือของอีกฝ่าย ทันใดนั้น ดวงตาของหวังซินเฉาก็กลอกไปด้านหลัง

หลังจากผ่านไปสักพัก เขาก็เอ่ยขึ้น “เป็นเขาเอง”

ทั้งเยี่ยเฟิงหานและฉางเหอต่างเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินหวังซินเฉาพูด “เจ้าแน่ใจหรือ?”

หวังซินเฉาพยักหน้าด้วยความมั่นใจ “ใช่ ข้าตรวจสอบแล้ว เขาคือสมาชิกของพันธมิตรลับและเป็นผู้อาวุโส”

ทั้งสองตื่นเต้นดีใจเมื่อได้ยินข่าวดี

พันธมิตรลับคือชุมชนลับที่ประกอบด้วยผู้บูชาเทพเจ้าที่ปรากฏขึ้นราวครึ่งปีก่อน สมาชิกทั้งหมดคลั่งศาสนาและเป็นสมาชิกขององค์กรที่มีชื่อเสียงต่าง ๆ มากมาย

เพื่อที่จะตอบโต้ข้อกำหนดของนิกายไร้ขอบเขต พวกเขารวมตัวเข้าด้วยกันเพื่อประสานงานกัน เพื่อให้พวกตนสามารถบูชาเทพเจ้าต่อไปได้ พวกเขายินดีที่จะใช้ยุทธวิธีใดก็ตามที่มีเพื่อทำเช่นนั้น

และนักล่าปีศาจก็ทำงานหนักทีเดียวเพื่อตอบโต้การผสานพลังกันของคนเหล่านั้น

นี่ยังเป็นเหตุผลที่ผู้นำทั้งสามปรากฏตัวขึ้นที่เดียวกันอีกด้วย พวกเขาจับทิศทางลมได้ว่าจางเทียนชีแห่งพันธมิตรลับจะมาที่นี่เพื่อทำการเซ่นไหว้อันชั่วร้ายปีศาจก่อนหน้านี้

หวังซินเฉาได้รับร่างที่ถูกละทิ้งของเผ่าวิญญาณมาระหว่างสงคราม ทำให้ชายหนุ่มได้รับความสามารถในการสอบถามวิญญาณของผู้คนได้

หากคนคนนั้นเสียชีวิตไปไม่เกินหนึ่งก้านธูป พวกเขาก็จะไม่สลายหายไปทั้งหมด และหวังซินเฉาก็จะสามารถสอบถามพวกเขาได้ กระทั่งซูเฉินก็ไม่มีวิชาเช่นนี้ ทำให้หวังซินเฉาจัดเป็นของยากพอ ๆ กับขนหงส์เขากิเลนกระทั่งในหมู่มนุษย์ด้วยกันเองทั้งหมด

ความสามารถนี้ยังเป็นเหตุผลสำคัญที่เขาได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในผู้นำนักล่าปีศาจอีกด้วย ส่วนค้อนขังปีศาจคู่กายนั้นเป็นเพียงเหตุผลรอง

“มีใครเป็นสมาชิกของพันธมิตรลับอีก?” เยี่ยเฟิงหานยิงคำถามทันที

หวังซินเฉาส่ายหัว “สมาชิกของพันธมิตรลับปิดบังตัวตนจากทุก ๆ คน มีเพียงผู้นำพันธมิตรเท่านั้นที่รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของสมาชิกทั้งหมด แต่ข้าคาดเดาไว้บ้างจากผู้ที่จางเทียนชีมีปฏิสัมพันธ์ด้วยในชีวิตประจำวัน เหอถูควรจะเป็นผู้รับผิดชอบการนำผู้บูชาเทพธิดาแห่งดวงจันทร์ เผ่าปักษานามหลิวเซียงสำหรับพระแม่ อินกุ่ยสำหรับเทพเจ้าคลั่ง และหลี่หยวนสำหรับเทพเจ้าแห่งแม่น้ำ แล้วก็ เฟยเอ๋อและหมิงคงเป็นผู้รับผิดชอบผู้บูชาเทพเจ้าแห่งความฝัน”

“นี่มันข้อมูลเก่าทั้งนั้น” เยี่ยเฟิงหานบ่นอุบอิบ

เพราะความขัดแย้งกับผู้บูชาเทพเจ้าเหล่านี้หลายต่อหลายครั้งในอดีต เยี่ยเฟิงหานจึงรู้จักทุกชื่อเสียงเรียงนามที่หวังซินเฉาพูดถึง

หวังซินเฉาพูดต่อไป “จางเทียนชีถ่อมาถึงที่นี่เพื่อพบกับเฟยเอ๋อเพื่อถกเถียงกันเรื่องรายละเอียดของแผนการสำคัญบางอย่าง”

“แผนอะไรกัน?”

“การฟื้นคืนชีพให้แดนฝัน”

เมื่อค้นพบว่าเจ้าแห่งแดนฝันเป็นเทพเจ้า ซูเฉินก็สั่งห้ามไม้ให้มนุษย์คนใดใช้งานแดนฝันอีกต่อไปในทันที

นี่ยังเป็นกฎที่กำหนดโดยนิกายไร้ขอบเขตที่ได้รับการต่อต้านมากที่สุดอีกด้วย อย่างไรแล้ว ประโยชน์ของแดนฝันต่อทุกคนก็ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะยอมเสียไปได้

แต่ในเวลาเดียวกัน แดนฝันก็เป็นแหล่งที่ค้ำจุนหลักของเทพเจ้าแห่งความฝัน ด้วยปริมาณพลังงานจิตที่ไหลเวียนอยู่ในแดนฝันแล้ว เทพเจ้าแห่งความฝันคงจะเป็นเทพเจ้าที่สะดวกสบายที่สุดในบรรดาเทพเจ้าทั้งหมด

แม้จะรู้ว่าการต่อต้านต้องหนักหนาเป็นแน่ ซูเฉินก็ยังปล่อยประกาศและออกคำสั่งบังคับใช้กฎนี้อยู่ดี

สิทธิ์ในการฝันนั้นมีค่าไม่เท่าสิทธิ์ในการมีชีวิตอยู่ ภายใต้แรงกดดันมหาศาลของนิกายไร้ขอบเขต มนุษย์คนอื่น ๆ ก็ไม่มีตัวเลือกใดนอกจากนำผนึกของตนออกและสังหารภูตแดนฝันทั้งหมดที่อาศัยอยู่ข้างใน

ระหว่างช่วงเวลานั้น มนุษย์บางคนที่ทิ้งแดนฝันในเวลาไม่นานต่อมาก็สามารถมองดูภาพลวงตาแสนสวยงามนั้นพังทลายลงได้ ภูตแดนฝันเป็นที่รักและน่าเอ็นดูถูกเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งมีชีวิตจากฝันร้ายที่โหดเหี้ยมและน่าหวาดกลัวต่อหน้าต่อตาพวกเขา

ภาพที่น่าสะเทือนใจนั้นสร้างความประทับใจอันลึกซึ้งให้แก่พวกเขาโดยช่วยให้ได้รู้ว่าความสวยงามของแดนฝันที่ผ่านมานั้นปลอมเปลือกถึงเพียงไร

แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังผู้คนที่ไล่ตามหาสิ่งที่สวยงามต่อไปแม้จะรู้ว่ามันไม่ใช่ความเป็นจริงก็ตาม

พวกเขาโหยหาวันวานและโทษนิกายไร้ขอบเขตต่อ ‘ความอยุติธรรม’ นับไม่ถ้วนที่พวกเขาได้รับ

องค์กรต่าง ๆ ที่มีเป้าหมายในการฟื้นคืนชีพแดนฝันนั้นก่อเกิดขึ้นตั้งแต่มันถูกสั่งห้าม กระทั่งแดนฝันเองก็ไม่ได้ถูกทำลายไปจนหมดสิ้น กลุ่มคนเล็ก ๆ จำนวนหนึ่งยังคงอยู่ที่นั่นและเกาะอยู่กับส่วนที่เหลือเท่าที่จะทำได้

เยี่ยเฟิงหานและฉางเหอไม่ได้ประหลาดใจกับเรื่องนี้

แต่หวังซินเฉายังพูดไม่จบ

เขาพูดต่อไป “พวกเขาดูจะมั่นใจในความสำเร็จทีเดียว เฟยเอ๋อบอกว่าตัวเองได้รับผลึกศักดิ์สิทธิ์มาจากเจ้าแห่งแดนฝัน ซึ่งจะทำให้พวกเขาสามารถสร้างแดนฝันที่สมบูรณ์และมั่นคงยิ่งกว่าได้”

“ผลึกศักดิ์สิทธิ์หรือ?” เยี่ยเฟิงหานและฉางเหอมองหน้ากันและกันด้วยความงงงวย

“มันคืออะไรหรือ?” ฉางเหอถาม

“ข้าไม่รู้ถึงคุณสมบัติของมัน แต่ถ้าผลึกต้นกำเนิดคือพลังต้นกำเนิดที่ถูกสกัดและควบแน่นขึ้นมา ผลึกศักดิ์สิทธิ์ก็คงจะเป็นเช่นเดียวกันสำหรับพลังศักดิ์สิทธิ์” หวังซินเฉาตอบคำถามอย่างสงบนิ่ง

แม้ว่าจะไม่เคยพบเห็นผลึกศักดิ์สิทธิ์มาก่อน พวกเขาก็สามารถอนุมานการทำงานของมันได้จากชื่อดังกล่าว

ฉางเหอหรี่ตาลงด้วยความไม่มั่นใจขณะที่เขาตอบกลับ “เราต้องค้นหาข้อมูลให้มากกว่านี้ เจ้ารู้ไหมว่าพวกเขาวางแผนจะทำที่ไหน?”

“ในหุบเขาใจหมาป่าซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ พวกเขาวางแผนที่จะประชุมกันที่นั่นในอีก 3 วัน”

“เยี่ยม ไปทำลายแผนของพวกนั้นกันเถอะ!” ฉางเหอโห่ร้องเฉลิมฉลอง

หวังซินเฉาส่ายหน้าไปมา “อย่ารีบนักเลย ความทรงจำของจางเทียนชีบอกข้าว่าผู้บูชาจำนวนไม่น้อยจะปรากฏตัวขึ้นในเวลานี้ ข้าไม่รู้ว่าแค่พวกเรา 3 คนจะพอหรือเปล่า”

“ฮึ่ม พวกเขาเป็นแค่ผู้บูชาต่ำต้อยเท่านั้นแหละ” ฉางเหอตอบอย่างไม่ใส่ใจ น้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความสบประมาท

แต่เยี่ยเฟิงหานกลับพยักหน้าเห็นด้วยกับหวังซินเฉา “จำนวนของพวกเราน้อยเกินไปจริง ๆ”

ฉางเหอจ้องเขาเขม็ง “ทำไมถึงปอดแหกนักเล่า! พวกเราเคยแพ้ให้พวกโง่พรรค์นี้หลังจากที่นักล่าปีศาจถูกก่อตั้งขึ้นมาหรือไง?”

เยี่ยเฟิงหานตอบอย่างตรงไปตรงมา “สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว ผู้บูชาไม่ได้แข็งแกร่งเป็นพิเศษในอดีต พวกเราก็มักจะปราบปรามแค่ชาวนาที่ถูกชักจูงและผู้คนธรรมดาเท่านั้น ย้อนกลับไปสมัยก่อน ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของเราคือการตามหาผู้บูชา ไม่ใช่การกำจัดพวกเขา ภารกิจของพวกเราคือการสำรวจตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่ตอนนี้เมื่ออำนาจของเหล่าเทพเจ้าเพิ่มสูงขึ้นทุกคืนวัน ผู้บูชาเหล่านั้นก็คงจะแข็งแกร่งมากขึ้นและมากขึ้น ความสามารถในการต่อสู้กับนักล่าปีศาจของพวกเขาก็เพิ่มสูงขึ้นด้วย เห็นได้จากความเสียหายที่พวกเราได้รับเมื่อไม่นานมานี้ ข้าอาจไม่เกรงกลัวต่อจางเทียนชีเพียงคนเดียว แต่ถ้าพวกเขารวมตัวกันหลายสิบหรือหลายร้อยคน พวกเราคงได้ปวดหัวกันแน่”

“งั้นเจตนาของเจ้าคือขอความช่วยเหลือจากระดับสูงกว่างั้นหรือ?” ฉางเหอไม่พอใจกับการตัดสินใจนี้เล็กน้อย

“ข้าแจ้งเจ้านิกายแล้ว เขาจะเป็นคนตัดสินใจว่าเรื่องนี้ต้องรับมืออย่างไร” เยี่ยเฟิงหานจะไม่มีวันทำการตัดสินใจที่สุ่มเสี่ยงเช่นนี้ด้วยตนเอง ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งของเหตุผลที่เขาได้รับหน้าที่รับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้

คำตอบดังออกมาจากกล่องสื่อสารในไม่ช้า

บ่ายวั้นนั้น เยี่ยเฟิงหานได้รับแจ้งการตัดสินใจจากเจ้านิกาย

แต่เมื่อเขาได้ยินการตัดสินใจของซูเฉิน กระทั่งเยี่ยเฟิงหานก็ต้องตกตะลึง

เยี่ยเฟิงหานวางกล่องลงและพูดขึ้น “พวกระดับสูงตอบกลับมาแล้ว”

“พวกเขาตัดสินใจอย่างไรหรือ?”

“คราวนี้ท่านเจ้านิกายจะมาด้วยตัวเอง”

“อะไรนะ?” ฉางเหอและหวังซินเฉาต่างก็ตกตะลึงไปด้วย

ซูเฉินจะปรากฏตัวขึ้นหรือ?

“ใช่แล้ว!” เยี่ยเฟิงหานพยักหน้าหงึก ๆ อย่างจริงใจและพูดซ้ำอีกครั้ง “คราวนี้ท่านจะเจ้านิกายจะมาด้วยตัวเอง”