ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 59 แดนฝันของจริง

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 59 แดนฝันของจริง

3 วันต่อมา

ในหุบเขาใจหมาป่า

สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ที่ขอบทางทิศตะวันออกของพื้นที่ที่เคยเป็นเขตแดนของเผ่าปักษา เห็นได้ชัดว่าราชันอสูรกายหมาป่าเสียชีวิตลงที่นี่ และหัวใจของมันก็กลับกลายเป็นก้อนหินขนาดยักษ์ที่ฉีกผืนดินออกทำให้เกิดเป็นรอยแยกขนาดมหึมา

จากยอดเขาในบริเวณใกล้เคียงลงมานั้นไม่สามารถมองเห็นรูปปั้นเทพเจ้าทั้งเจ็ดที่ถูกสร้างขึ้นภายในหุบเขาใจหมาป่า

พวกมันคือรูปปั้นของเทพธิดาแห่งดวงจันทร์ พระแม่ เทพบ้าคลั่ง เทพแห่งแม่น้ำ เทพหกประสงค์ เทพแห่งสายลม และเทพแห่งฝัน ซึ่งถูกตั้งไว้ที่ใจกลางหุบเขา

นอกจากนี้ยังมีผู้คนอีกราว 300 คนล้อมรอบอยู่ ทุกคนล้วนโค้งคำนับและสักการบูชารูปปั้นเหล่านั้น แต่แม้จะมีคนอยู่จำนวนมาก การบูชาก็เป็นไปอย่างเงียบเชียบ

คนตรงนี้ส่วนมากเรียนรู้ที่จะปิดปากเงียบและไม่ส่งเสียงดังหลังจากที่หลบหนีการตามล่าของนักล่าปีศาจมาเป็นเวลานาน

แต่ที่น่าตกใจไปกว่านั้นคือข้อเท็จจริงที่ว่าไม่มีผู้ใดสวมใส่เครื่องปิดบังใบหน้าแม้แต่คนเดียว ในทางกลับกัน ใบหน้าของคนเหล่านั้นล้วนถูกเปิดเผยให้เห็นโดยทั่วกันทั้งสิ้น

พวกเขาบูชารูปปั้นเทพเจ้าทั้งเจ็ดอย่างเงียบเชียบ ถวายความศรัทธาและพละกำลังให้แก่เหล่าเทพเจ้า บางคนกระทั่งถูกมัดไว้อย่างแน่นหนา เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังจะถูกใช้เป็นเครื่องเซ่นสังเวย

“เหอถู หลิวเซียง อินกุ่ย หลี่หยวน เฟยเอ๋อ และซือชี่คง… พวกเขาล้วนอยู่ที่นี่” ฉางเหอพึมพำเบา ๆ ผู้คนเหล่านี้ล้วนเป็นเป้าหมายหลักของนักล่าปีศาจ และพวกเขาก็ปรากฏตัวขึ้นที่นี่เสียดื้อ ๆ โดยรวมตัวอยู่ในสถานที่แห่งเดียวกัน

ทันใดนั้น สายตาของฉางเหอก็มองไปยังผู้บูชาคนหนึ่ง แล้วเขาก็สั่นสะท้านอย่างเห็นได้ชัด “ฉางเยว่เซิงหรือ? เขามาทำอะไรที่นี่?”

เยี่ยเฟิงหานหันไปมองฉางเหออย่างเป็นกังวล “อะไรนะ? เจ้ารู้จักเขาหรือ?”

ฉางเหอกลืนน้ำลายดังเอื๊อกก่อนจะพูดออกมาอย่างยากลำบาก “เขาคือศิษย์น้องของข้า”

ฉางเหอมาจากหมู่บ้านตระกูลฉาง สถานที่ที่นามสกุลฉางมีให้พบเห็นได้ทั่วไป เป็นไปได้สูงทีเดียวว่าผู้ที่ใช้นามสกุลนี้จะเกี่ยวข้องกับเขา และเขาก็มีศิษย์พี่ศิษย์น้องอยู่จำนวนไม่น้อยทีเดียว

แต่ก็ยังเป็นเรื่องน่าตกใจไม่น้อยที่ต้องมาพบเขาที่นี่

“เจ้าว่าเขาเป็นคนยังไง?” เยี่ยเฟิงหานซักถาม

ฉางเหอตอบด้วยความหมองหม่น “อันที่จริงก็ดีทีเดียว”

“งั้นข้าจะสังหารเขาให้เอง” หวังซินเฉายื่นข้อเสนอ

“ไม่จำเป็นหรอก ข้าจะทำเอง” ฉางเหอตอบเสียงแผ่วเบา

แม้ว่าเขาจะเล่นบทคนโง่เขลาอยู่ทุกวี่ทุกวัน ฉางเหอก็รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรในสถานการณ์จำเป็น

ผู้ใดก็ตามที่มีอำนาจมาปรากฏตัวอยู่ในที่แห่งนี้ล้วนเป็นคนชั่วร้ายที่สังเวยชีวิตผู้คนไปแล้วนับไม่ถ้วน ซ้ำยังหันหลังให้แก่เผ่าพันธุ์มนุษย์อีกด้วย กระทั่งศิษย์น้องก็ไม่อาจมอบความเมตตาให้ได้

“พวกเขาเริ่มต้นไปแล้ว เราควรเคลื่อนไหวบ้างหรือยัง?” หวังซินเฉาถาม

แต่ก็ไม่มีการตอบรับจากเยี่ยเฟิงหานที่กำลังตรวจสอบสถานการณ์ต่อไป “พวกเจ้าไม่คิดว่ารูปปั้นพวกนี้ถูกตั้งไว้แบบแปลก ๆ หรือ?”

“ใช่ การจัดวางพวกมันดูแปลกประหลาดทีเดียว” หวังซินเฉาตอบขณะที่หันกลับไปมองเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ด้วยเช่นกัน “แทบจะดูเหมือนว่าพวกเขาติดตั้งค่ายกลไว้เลยล่ะ แต่ข้าไม่อาจสัมผัสได้ถึงความแปรปรวนของพลังต้นกำเนิดเลยสักนิด”

เยี่ยเฟิงหานตอบกลับไป “มันควรจะเชื่อมต่อกับพลังศักดิ์สิทธิ์ บางทีอาจเป็นค่ายกลบูชายัญสักอย่าง พวกเราควรระมัดระวัง… หืม?”

เยี่ยเฟิงหานแสดงท่าทีประหลาดใจในทันใด และกระทั่งฉางเหอและหวังซินเฉาก็ไม่ทันตั้งตัวด้วยเช่นกัน

เพราะจู่ ๆ ผู้คนกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นข้างนอกหุบเขาและกำลังจะบุกเข้าไปหาเหล่าผู้บูชาเทพเจ้า โดยพวกเขาแต่งตัวเหมือนกับทหารราชวงศ์

แต่ทำไมทหารราชวงศ์จะต้องปรากฏตัวขึ้นตอนนี้ด้วยล่ะ?

เยี่ยเฟิงหานและคนอื่น ๆ ต่างมองหน้ากันด้วยความสับสนงุนงง

แม้ว่าวิชาบ่มเพาะไร้สายเลือดจะแพร่กระจายไปเป็นวงกว้างทำให้ทุกคนสามารถฝึกตนได้ แต่ก็ยังมีช่องว่างเล็ก ๆ ระหว่างผู้ที่พึ่งพาการฝึกตนเพื่อเอาชีวิตรอดกับผู้ที่ไม่ต้องทำเช่นนั้น ทหารราชวงศ์มักจะถูกใช้เพื่อระเบียบวินัยและความปลอดภัย พละกำลังของพวกเขาจึงขาดหายไปไม่น้อยเมื่อเทียบกับนักสู้ตัวจริง

ในทางกลับกัน ผู้บูชาทุกคนที่รวมตัวกันในหุบเขาใจหมาป่าล้วนเป็นนักฆ่าที่เจ้าเล่ห์และโหดร้าย แต่ละคนมีระดับพลังที่ดีเยี่ยม และนั่นยังไม่รวมถึงความสามารถอันโดดเด่นที่พวกเขาได้รับมาจากเทพเจ้าเลยด้วยซ้ำ

แน่นอนว่าผู้บูชาไม่ได้ดูกระวนกระวายแม้แต่น้อย พวกเขากลับเริ่มยืนขึ้นอย่างช้า ๆ และมองไกลออกไปด้วยสายตาเย็นยะเยือก

แต่ตอนที่กองทหารกำลังจะปะทะกับหมู่ผู้บูชานั้นเอง กลุ่มหมอกควันขนาดใหญ่ก็เข้าปกคลุมหุบเขาใจหมาป่าทันควัน เป็นไปไม่ได้แล้วที่เยี่ยเฟิงหานและพรรคพวกจะมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องล่างได้ในตอนนี้

“แย่แล้ว! ทหารตรงนั้นกำลังตกอยู่ในอันตราย!” ฉางเหอกู่ร้อง “เราต้องรีบไปช่วยพวกเขา”

แต่เยี่ยเฟิงหานก็ยังคงนิ่งสนิท “สถานการณ์ดูแปลกไปหน่อย ช่วงเวลาที่เราตกลงกับท่านเจ้านิกายไว้ก็ยังมาไม่ถึง”

เมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยเหิงหาน ฉางเหอก็ฉุนกึก “ข้ารู้ว่าบางสิ่งดูประหลาดไป แต่ถ้าเจ้าแค่นั่งมองอยู่เฉย ๆ คนพวกนั้นก็จะต้องตายแน่ ๆ แล้วเราจะบอกท่านเจ้านิกายยังไง? บอกว่าเราแค่นั่งรอให้เขาปรากฏตัวขึ้นและปล่อยให้ทหารพวกนั้นถูกเฉือนเป็นชิ้น ๆ หรือไง?”

เยี่ยเฟิงหานรู้ดีว่าฉางเหอไม่ได้พูดผิดแต่อย่างใด หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พยักหน้าและเอ่ยขึ้น “ฉางเหอ งั้นเจ้าพาคนไปส่วนหนึ่งและลงไปที่นั่นซะ”

“เข้าใจแล้ว!”

ฉางเหอตะเบ๊ะอย่างกระฉับกระเฉง ฉับพลันผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งจำนวนหลายสิบคนปรากฏขึ้นรอบกายเขา สมาชิกนักล่าปีศาจนั่นเอง

“ตามข้ามา! พวกเราจะไปช่วยคนพวกนั้นกัน!” ฉางเหอตะโกนลั่นเยี่ยงวีรบุรุษขณะที่ตัวกระโดดลงไปในหุบเขา

เมฆหมอกเบื้องหน้าหนาแน่นจนเขาไม่อาจมองเห็นสิ่งใดให้ชัดเจนได้ ซึ่งก็คือเหตุผลที่เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกระโดดเข้าไปทั้งอย่างนั้น

แต่เมื่อฉางเหอก้าวเข้าไปในหมอก เขาก็รู้ได้ทันทีว่าไม่มีเสียงการต่อสู้อยู่รอบกายแม้แต่น้อย

เกิดอะไรขึ้น?

ทำไมจู่ ๆ ทุกอย่างถึงดูวังเวงขึ้นมา?

ผู้คนในหมอกทั้งหลายหายไปไหนกันหมด?

นักล่าปีศาจที่ตามเขามาหายไปไหน?

ฉางเหอสำรวจสิ่งรอบตัวด้วยความตกตะลึง เขารู้สึกราวกับว่าตัวเองพึ่งจะกระโดดเข้าไปในแดนรกร้าง ความว่างเปล่าล้อมรอบฉางเหอ เขาไม่ได้ยินเสียงอะไรแม้แต่นิดเดียว

“นี่!” ฉางเหอแผดเสียงดังสนั่น

ไม่มีการตอบรับ

ฉางเหอเสียวสันหลังวาบ แล้วเขาก็ส่งการโจมตีฝ่ามือออกไปยังพื้นที่ว่างเปล่าข้างหน้า

ไม่มีการตอบสนอง

ฝ่ามือคลื่นระห่ำของเขาควรจะส่งคลื่นเสียงออกไปยังทุกทิศทางแม้ว่าเขาจะโจมตีอากาศก็ตาม แต่เขาก็สัมผัสไม่ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย ราวกับว่าการฝึกตนตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้นไร้ค่า

เป็นไปได้ยังไง?

ฉางเหอตะลึงงัน แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามเท่าไร ความเงียบสงัดก็ยังเข้าปกคลุมเขา

“ซวยล่ะสิ ทีนี้ข้าหาเรื่องอะไรให้ตัวเองอีกล่ะ?” ฉางเหอพึมพำกับตัวเองอย่างกระอักกระอ่วน

จากด้านบน เยี่ยเฟิงหานยังคงมองลงไปในหุบเขาที่เต็มไปด้วยหมอก

ฉางเหอหายวับไปราวกับหยดน้ำฝนที่ตกลงไปในมหาสมุทร ไม่มีแม้แต่รอยคลื่นน้ำทิ้งไว้ให้เห็น

ปัญหาคือวิธีการต่อสู้ของฉางเหอมักจะก่อให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่เสมอ

เมื่อนึกสิ่งนี้ขึ้นได้ ท่าทีของเยี่ยเฟิงหานก็เคร่งขรึมยิ่งขึ้นกว่าเดิม

หวังซินเฉาก็รู้สึกกระวนกระวายและไม่อาจนิ่งเฉยอยู่ได้อีกต่อไป “จะต้องมีบางสิ่งเกิดขึ้นข้างล่างนั่นแน่ ให้ข้าไปดูสักหน่อยเถอะ”

“อย่าขยับ!” เยี่ยเฟิงหานตะคอกเสียงดัง “ข้าเห็นด้วยว่ามีบางสิ่งน่าสงสัยเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่มันก็อาจเป็นสิ่งที่พวกเรารับมือกันเองไม่ได้เช่นกัน”

หวังซินเฉาเถียงกลับ “ฉางเหออาจตายข้างล่างนั่นก็ได้”

เยี่ยเฟิงหานตอบอย่างใจเย็น “นั่นคือการตัดสินใจของเขา ข้าไม่อาจปล่อยให้นักล่าปีศาจทั้งหมดต้องเสี่ยงอันตรายเพียงเพราะเขาคนเดียวได้”

“แล้วเจ้าจะนั่งดูเขาตายอยู่ที่นี่หรือ?” หวังซินเฉาตวาดด้วยความโมโห

เยี่ยเฟิงหานหัวเราะเป็นคำตอบ “ไม่อยู่แล้ว ฉางเหอคือเพื่อนของข้า ข้าจะไปช่วยเขา แต่พวกเจ้าทุกคนไม่ต้องตามข้ามา… จนกว่าท่านเจ้านิกายจะมาถึง พวกเจ้าทุกคนต้องนั่งรออยู่นิ่ง ๆ!”

หลังจากพูดจบ เขาก็ชักดาบออกมาและกระโดดลงไปในหุบเขาด้วยเช่นกัน

เขากำลังจะไปช่วยฉางเหอด้วยตัวเอง

แต่ทันทีที่เขาผลุบเข้าไปในหมอก เยี่ยเฟิงหานก็พบว่าตนเองถูกห้อมล้อมไปด้วยความรู้สึกหนาวเหน็บแบบโบราณ

ความหนาวเหน็บที่ไร้ซึ่งสัมผัสของมนุษย์นี้คงอยู่ภายในจิตใจของเขา เยี่ยเฟิงหานรู้สึกราวกับว่าตนได้ละทิ้งแผ่นดินอันเจริญรุ่งเรืองและก้าวเข้าไปในแม่น้ำฮวงโห

แต่ถึงอย่างนั้น ความหนาวเหน็บโบราณนี้ก็กระตุ้นสัมผัสอันคุ้นเคยจากก้นบึ้งหัวใจของเยี่ยเฟิงหานได้อย่างไม่คาดคิด

เยี่ยเฟิงหานสำรวจพื้นที่โดยรอบ แล้วก็เริ่มสัมผัสถึงความรู้สึกที่แสนคุ้นเคยได้แจ่มแจ้งขึ้นอย่างน่าประหลาด

ทันใดนั้น ดวงตาของเขาก็ลุกวาว

เยี่ยเฟิงหานกู่ร้อง “แดนฝัน นี่คือแดนฝัน!”

นี่คือแดนฝันที่เทพเจ้าแห่งความฝันสร้างขึ้น! แต่เพราะการปราบปรามของนิกายไร้ขอบเขต มันจึงพังทลายลง แดนฝันส่วนมากกลับกลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่าและถูกทิ้งร้าง เว้นแต่เศษซากที่เหลือของปราสาทแดนฝัน ปราสาทเหล่านั้นเคยมีหน้าที่ถ่ายทอดความรู้สึกอบอุ่นและสัมผัสของมนุษย์

และเยี่ยเฟิงหานก็ปรากฏตัวขึ้นในพื้นที่ของแดนฝันที่ไม่มีปราสาทแดนฝันหรือบุคคลใดอยู่ในสายตา

แต่ทำไมจู่ ๆ เขาถึงมาปรากฏตัวในแดนฝันล่ะ?

“งั้นนี่ก็คือสิ่งที่ท่านเจ้านิกายพูดถึงตอนที่บอกว่าแดนฝันสามารถแสดงตัวขึ้นมาเองในโลกแห่งความเป็นจริงได้น่ะหรือ?”

เจ้าแห่งแดนฝันเคยดึงซูเฉินเข้ามาในแดนฝันระหว่างสงครามระหว่างนิกายไร้ขอบเขตและเผ่าวิญญาณมาแล้วครั้งหนึ่ง นั่นคือครั้งที่เยี่ยเฟิงหานได้เรียนรู้ว่าแดนฝันสามารถส่งผลต่อโลกความเป็นจริงได้เป็นครั้งแรก

แต่คราวนี้เป็นสมุนของเจ้าแห่งแดนฝันที่ทำสิ่งนี้จนสำเร็จลุล่วง

นี่คือคำอธิบายเดียวที่เป็นไปได้ อำนาจของเจ้าแห่งแดนฝันต่อทวีปต้นกำเนิดกำลังเติบโตขึ้น

เยี่ยเฟิงหานสำรวจบริเวณโดยรอบอย่างรอบคอบ ความระแวดระวังของเขาอยู่ในระดับสูงสุด

ในตอนนั้นเอง เสียงขู่ฟ่อน่าขนลุกก็ดังมาจากตำแหน่งไกลออกไป

เยี่ยเฟิงหานชักดาบออกมาและฟันไปด้านหลังโดยไม่แม้แต่จะหันไปมอง

“ฟ่อ!” เสียงขู่แหลมสูงดังขึ้นอีกครั้ง

เยี่ยเฟิงหานหันไปพบกับภูตแดนฝันที่ยืนอยู่ข้างหลัง หากจะพูดให้ชัดเจนยิ่งขึ้น สิ่งมีชีวิตนี้คือปีศาจแดนฝัน ชนิดเดียวกันกับที่เยี่ยเฟิงหานพบเมื่อตอนที่เขาสร้างยาเม็ดทองคำขึ้นมาครั้งแรก

อย่างที่คาดไว้ เขากำลังอยู่ในแดนฝัน

ข้อสงสัยในใจของเยี่ยเฟิงหานหายไปทั้งหมด เขาไม่ใส่ใจกับปีศาจแดนฝันแสนน่ากลัวแม้แต่น้อย อย่างไรแล้ว เขาก็สังหารพวกมันไปเป็นจำนวนมาก และเพราะพวกมันถูกสร้างขึ้นจากพลังงานจิต การสังหารและดูดซับพวกมันจึงเป็นการทำให้ยาเม็ดทองคำของเขาแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปโดยปริยาย

เยี่ยเฟิงหานไม่มีปัญหากับการใช้พลังอมตะจัดการกับปีศาจแดนฝันที่โจมตีเขาแม้แต่น้อย

หลังจากเอาชนะและดูดซับปีศาจแดนฝันมาได้ เยี่ยเฟิงหานก็เริ่มบินออกไปในทิศทางที่ปีศาจแดนฝันปรากฏตัวขึ้น

แม้ว่าแดนฝันจะมีขนาดใหญ่กว่าหุบเขาใจหมาป่ามาก มันก็ยังมีพื้นที่จำกัด

ตราบใดที่เขาไม่สับสนทิศทางเพราะหมอกที่ปกคลุมอยู่โดยรอบ เยี่ยเฟิงหานก็มั่นใจว่าตนจะสามารถเปิดเผยความลับเบื้องหลังการเกิดขึ้นของแดนฝันนี้ได้

ชายหนุ่มบินอยู่พักใหญ่ก่อนที่ปีศาจแดนฝันอีก 2 ตัวจะปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาจะถูกกำจัดทิ้งอย่างง่ายดาย แต่ความสงสัยในใจของเขาก็มีแต่จะเพิ่มขึ้นด้วยเหตุการณ์มากมายที่เกิดขึ้นที่นี่ “ทำไมถึงมีพวกมันอยู่น้อยนักนะ”

แดนฝันนั้นสร้างอยู่บนพื้นฐานของปีศาจแดนฝัน หากไร้ซึ่งพวกมันแล้ว แดนฝันก็จะว่างเปล่าโดยแท้จริง

งั้นทำไมเขาถึงพบพวกมันแค่ไม่กี่ตัวเองล่ะ?

นอกจากว่าพวกมันจะไปรวมตัวกันที่สถานที่แห่งใดแห่งหนึ่ง เยี่ยเฟิงหานคิดกับตัวเอง

แต่ถ้าพวกมันล้วนไปรวมตัวกันที่อื่น พวกมันจะทำอะไรกันอยู่นะ? และพวกมันจะไปรวมตัวกันที่ไหน?

เยี่ยเฟิงหานตกอยู่ในห้วงความคิด

รอเดี๋ยวก่อน!

เยี่ยเฟิงหานดูจะนึกบางสิ่งขึ้นได้เมื่อเขาหัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น “อา อย่างนี้นี่เอง”

เขากลับหันหลังและเริ่มบินย้อนหลังกลับไปยังตำแหน่งเดิมอย่างฉับพลันทันใด

หลังจากที่บินมาสักพัก เยี่ยเฟิงหานก็หยุดลงและปล่อยให้สัมผัสของตนแผ่ขยายออกไปทั่วพื้นที่โดยรอบ แล้วเขาก็เดินไปข้างหน้าอีกไม่กี่ก้าว

เยี่ยเฟิงหานหลับตาลง เริ่มรออย่างเงียบสงบ

ไม่นานต่อมา หัวของใครบางคนก็ผลุบออกมาจากความว่างเปล่า

มันคือหัวของปีศาจแดนฝัน แต่ดูเหมือนว่ามันจะหลุดออกมาจากร่างกาย ภาพนั้นดูแปลกตาทีเดียว

เยี่ยเฟิงหานยื่นมือออกไปคว้าหน้าผากของปีศาจแดนฝันไว้และดึงมันเข้ามาหาตนเองทันที ร่างส่วนที่เหลือของปีศาจแดนฝันพลันปรากฏขึ้น และในขณะเดียวกัน เยี่ยเฟิงหานก็ฟันดาบผ่าร่างกายของมัน

คมดาบของเขาเรืองแสงสีขาวจาง ๆ ขึ้นในทันใดเมื่อมันตัดผ่านอากาศเบื้องหน้า

ครืน!

ฉากเบื้องหน้าเยี่ยเฟิงหานเปลี่ยนไปในทันใด เค้าโครงปราสาทอันสง่างามขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาชายหนุ่ม

ปีศาจแดนฝันนับไม่ถ้วนกำลังก่อสร้างปราสาทอย่างขะมักเขม้น

พวกมันกำลังสร้างปราสาทแดนฝันแห่งใหม่ขึ้น

และวัสดุในการก่อสร้างก็คือมนุษย์!!