ภาคที่ 7 ศึกสุดท้าย บทที่ 60 เหยื่อล่อ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 60 เหยื่อล่อ

มนุษย์ตรงนั้นคือทหารที่พุ่งตรงเข้าไปในหุบเขาใจหมาป่า

พวกเขาถูกปีศาจแดนฝันจับตัวไว้ทำให้กระดิกตัวไปไหนไม่ได้โดยสมบูรณ์ ดูไม่ต่างอะไรกับคนตาย ปีศาจแดนฝันทั้งหลายเริ่มแยกกระดูกออกมาจากร่างเหล่าทหารมาใช้ต่างท่อนไม้เพื่อก่อร่างสร้างปราสาท

ปราสาทที่ถูกสร้างขึ้นจากกระดูกมนุษย์

ที่ใจกลางปราสาทคือแท่นที่ทำจากเลือดเนื้อมนุษย์ บนแท่นวางคือร่างผลึกใสสีทอง โดยมีดวงตาขนาดใหญ่ลอยกลอกไปกลอกมาอยู่เหนือผลึกดังกล่าว

เยี่ยเฟิงหานตัวสั่นเทิ้มเมื่อมองเห็นดวงตานั่น ในเวลาเดียวกัน มันก็มองเห็นเขาด้วย

ดวงตาลอยได้เริ่มเรืองแสงสีแดง จากนั้นปีศาจแดนฝันที่กำลังก่อสร้างปราสาทอยู่ก็ดูจะสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง แต่แทนที่จะมุ่งหน้ามาหาเขา พวกมันกลับกระจายตัวและหายไปจากสายตาแทบจะในทันที เหลือไว้เพียงปราสาทครึ่งหลังเท่านั้น

เยี่ยเฟิงหานตกตะลึงกับพฤติกรรมนั้น แต่เขาก็ไม่อาจปล่อยให้ปราสาทนี้หลงเหลืออยู่ได้ ชายหนุ่มบินเข้าไปและฟาดฟันดาบลงไปยังปราสาท

หนึ่งในท่อนแขนที่กำลังก่อสร้างปราสาทอยู่บินเข้ามาและหยุดดาบของเยี่ยเฟิงหานไว้ในทันใด

หืม?

เจ้านี่คือ?

เยี่ยเฟิงหานกำลังจะดึงดาบกลับไปเมื่อกองกระดูกขนาดยักษ์ลอยขึ้นมาในอากาศและรวมตัวกันเป็นร่างมนุษย์ มันเริ่มกวัดแกว่งดาบกระดูกที่แหลมคมและโจมตีเยี่ยเฟิงหาน

เกิดอะไรขึ้น?

เยี่ยเฟิงหานสับสนเป็นอย่างมาก

แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังโจมตีตอบโต้ คลื่นปราณดาบปะทะเข้ากับหัวกะโหลกของมันแต่ก็กระเด็นออกมาพร้อมเสียงโลหะกระทบ หัวกะโหลกนั้นดูจะแข็งแกร่งกว่าที่มันควรเป็น

“ฮึ่ม!”

เยี่ยเฟิงหานกระแอมอย่างเยือกเย็น และเปลวไฟก็ออกมากระโดดโลดเต้นที่ปลายนิ้วของชายหนุ่ม ก่อนจะค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้นเป็นหงส์เพลิง ตัวเดียวกันกับที่ซูเฉินพัฒนาขึ้นมานั่นเอง มันพุ่งเข้าใส่หัวกะโหลก และภายใต้ความร้อนของเปลวเพลิงที่ลุกโชน หัวกะโหลกนั้นก็เริ่มแหลกสลายไป

เยี่ยเฟิงหานกำลังจะพุ่งออกไปข้างหน้าอีกครั้งเมื่อหมอกสีดำทะมึนเริ่มรั่วทะลักออกมาจากดวงตาที่ล่องลอยอยู่

ขณะที่หมอกสีดำขจัดขจายไปทั่ว โครงกระดูกร่างแล้วร่างเล่าก็เริ่มมีชีวิตขึ้นมา

คราวนี้มีพวกมันเป็นกลุ่มใหญ่ทีเดียว

แม้ว่าวิชาจิตหงส์เพลิงจะทรงพลัง การใช้งานมันก็ดูจะเปลืองพลังต้นกำเนิดไปเสียหน่อย

เยี่ยเฟิงหานสะดุ้งเบา ๆ เมื่อเห็นโครงกระดูกกรูกันเข้ามา เขาจัดการผสานหงส์เพลิงอีกตัวด้วยพลังอมตะอีกนิดหนึ่งซึ่งอาบมันด้วยแสงสีขาวจาง ๆ อีกที แต่ก่อนที่จะได้ปะทะเข้ากับเหล่าโครงกระดูก มันก็ระเบิดออกกลางอากาศ ทำให้เศษไฟสีขาวกระเด็นกระดอนลงไปยังกองทัพโครงกระดูก พวกมันเริ่มบิดเบี้ยวและกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด

เสียงคำรามของพวกมันไม่อาจได้ยินได้ในสภาวะปกติ แต่เสียงโอดครวญด้วยความเจ็บปวดนั้นสามารถได้ยินโดยจิตของเยี่ยเฟิงหานได้ กระทั่งเยี่ยเฟิงหานก็แทบจะทนการโจมตีด้วยเสียงกรีดร้องนี้ไม่ไหวและส่งเสียงโอดโอยด้วยความปวดร้าวออกมา ราวกับว่าบางสิ่งกำลังเจาะทะลวงกะโหลกของเขา

แต่ถึงอย่างนั้น เยี่ยเฟิงหานก็ตื่นอกตื่นใจไม่น้อย

“งั้นข้าก็ทำร้ายเจ้าได้ซักทีเหรอ ฮึ?” เขาบ่นอุบอิบขณะที่มองไปยังดวงตาประหลาด

“ฟ่อ!”

ดวงตาที่ล่องลอยอยู่บนฟ้าดูจะขยายใหญ่ขึ้นขณะที่มันปลดปล่อยคลื่นจิตสังหารออกมา

ปราสาทกระดูกเริ่มแปลงร่างในทันใด คราวนี้เป็นโครงกระดูกขนาดมหึมาแทนที่จะเป็นกองทัพโครงกระดูกตัวเล็ก ๆ โครงกระดูกยักษ์ฟาดแขนของมันลงไปยังเยี่ยเฟิงหานทันที

ดาบของเยี่ยเฟิงหานเริ่มเรื่องแสงสีขาวอีกครั้งขณะที่มันแทงทะลุมือของโครงกระดูกยักษ์

โครงกระดูกนั้นบิดแขนกลางอากาศเพื่อหลบหลีกการโจมตีนั้น

เยี่ยเฟิงหานหัวเราะเสียงดังลั่น “เจ้าเองก็รู้จักหลบเหมือนกันสินะ”

เขาปล่อยฝีดาบออกไปสามครั้งติดต่อกัน โดยแต่ละครั้งเปี่ยมไปด้วยพลังอมตะ ทว่าโครงกระดูกร่างมหึมากลับก็ดูไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย หนำซ้ำมันยังอ้าปากกว้างแทน

แม้ว่าหัวของมันจะทำขึ้นจากกระดูกเพียง 2 ชิ้น แต่พายุหมุนก็มุ่งหน้าเข้าหาเยี่ยเฟิงหานจากปากที่เปิดกว้างและส่งเขากระเด็นถอยหลังไป

ในขณะเดียวกัน แขนกระดูกทั้งสองข้างก็ฟาดลงไปยังเยี่ยเฟิงหาน แสงสีขาวเริ่มส่องประกายรอบตัวชายหนุ่ม ฉับพลันพลังอมตะก็ระเบิดทันทีที่สองมือปะทะเข้ากับเขา ถึงมือกระดูกทั้งสองท่อนระเบิดออกเป็นเสี่ยง ๆ แต่ตัวเยี่ยเฟิงหานก็รู้สึกได้ถึงความวิงเวียนที่อาบไปทั่วทั้งร่างกายด้วยเช่นกัน

ดวงตาลอยได้ส่งเสียงขู่ฟ่ออีกครั้ง ทันใดนั้นหอกกระดูกจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าก่อนจะพุ่งเข้าหาเยี่ยเฟิงหาน

ไม่มีสิ่งใดที่เยี่ยเฟิงหานทำได้นอกจากลี้หนีไปโดยวิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกาย

แต่น่าประหลาดใจยิ่งนักที่หอกกระดูกพวกนี้ตามหลังเขามาทันที

พวกมันก็สามารถเคลื่อนกายได้หรือ?

กระทั่งตอนที่เขาคิดเรื่องนี้ หอกทั้งหลายก็ยังตามมาติด ๆ โดยไม่ชะลอลงแม้แต่น้อย

ไม่มีสิ่งใดที่เยี่ยเฟิงหานทำได้นอกจากใช้พลังอมตะล้อมรอบกายของตนและทำลายบรรดาหอกกระดูก

แต่ทันทีหลังจากนั้น แนวหอกกระดูกใหม่ก็ปรากฏขึ้นและมุ่งหน้าไปยังเยี่ยเฟิงหานอีกครั้ง

โครงกระดูกมหึมาแท้จริงแล้วประกอบไปด้วยกระดูกนับไม่ถ้วน ในตอนนั้น มันกำลังหยิบเอากระดูกกำใหญ่ขึ้นมาก่อนจะขว้างใส่ชายหนุ่ม!

มีทหารราชวงศ์เพียงไม่กี่ร้อยคนที่พุ่งเข้ามาในหมอก แล้วทำไมโครงกระดูกยักษ์นั่นถึงมีกระดูกให้โยนมากตั้งหลายหมื่นชิ้นได้ล่ะ?

ดวงตาลอยได้จ้องเขาเขม็ง ขณะที่มันออกคำสั่งให้โครงกระดูกยักษ์ปล่อยคลื่นหอกแหลมออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า

พลังอมตะนั้นยิ่งกว่าสามารถจัดการกับกระแสคลื่นหอกได้ แต่ความตึงเครียดที่กดทับเยี่ยเฟิงหานให้ต้องใช้มันอย่างต่อเนื่องก็เริ่มสูบพลังงานสำรองของเขาไป

เวรละ!

เยี่ยเฟิงหานรู้ว่าเส้นทางตันนี้ไม่อาจไปต่อได้ แต่พลังของดวงตาลอยได้ก็ชั่วร้ายเกินไป โดยไร้ซึ่งพลังอมตะแล้ว เขาก็ไม่อาจเป็นอิสระได้ ยังไม่ต้องพูดถึงความน่าเกรงขามของเสียงคำรามพลังจิตที่จะรบกวนความคิดของเขาอยู่เรื่อย ๆ ด้วยซ้ำ…

ช้าก่อน!

ความรู้สึกสงสัยแทรกซึมเข้ามาในหัวใจของเยี่ยเฟิงหานทันใด

ภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับเขายังคงเป็นเสียงพลังจิตโหยหวนอยู่

เสียงกรีดร้องพลังจิตเจาะทะลวงทุกประสาทการรับรู้ของเขาและส่งผลต่อความสามารถในการต่อสู้อย่างหนัก

ในทางกลับกัน โครงกระดูกยักษ์ดูจะบีบบังคับให้เขาใช้พลังงานเพิ่มขึ้นเป็นหลัก ความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงนั้นน้อยนิดยิ่งนัก

แต่ถ้านั่นคือประเด็นล่ะ? แล้วทำไมดวงตาลอยได้ถึงไม่จดจ่อกับการโจมตีจิตเป็นหลักล่ะ? ทำไมมันต้องใช้โครงกระดูกแทนด้วย?

นี่มันไม่สมเหตุสมผลเกินไปแน่ ๆ

เยี่ยเฟิงหานต่อสู้มาเยอะพอที่จะรู้ว่าศัตรูของตนมีเหตุผลจูงใจแฝงอยู่อย่างแน่นอน

ถ้าการโจมตีจิตมีประสิทธิภาพมากกว่า แต่ดวงตาลอยได้ยังเลือกที่จะใช้โครงกระดูกยักษ์…

ความคิดมากมายหลายแบบแล่นผ่านหัวของเยี่ยเฟิงหาน

ในตอนนั้นเอง โครงกระดูกยักษ์ก็ขว้างกระดูกกองใหญ่มาอีกครั้ง เยี่ยเฟิงหานได้แต่ขบฟันแน่น หลับตาปี๋ และเปิดใช้เกราะป้องกัน เขาล้มเลิกที่จะใช้พลังอมตะปกป้องตัวเองแล้ว

หากการกระทำเสี่ยงตายนี้ไม่ได้ผล เขาก็คงจะถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ เขาอาจถูกพรากชีวิตไปทันทีด้วยซ้ำ

แต่ถึงอย่างนั้น เยี่ยเฟิงหานก็เลือกที่จะรับความเสี่ยงนี้

สายฝนหอกปะทะเข้ากับเกราะป้องกันของเยี่ยเฟิงหาน

โดยทฤษฎีแล้ว มันควรจะขัดขวางไม่ให้หอกทะลุเข้ามาได้

แต่ผลในท้ายที่สุดกลับแปลกประหลาดยิ่งนัก

เกราะป้องกันกะพริบเล็กน้อยแต่ก็สามารถหยุดหอกกระดูกทั้งหมดไว้ได้ เยี่ยเฟิงหานไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย

กระทั่งดวงตาลอยได้ก็ต้องสั่นสะท้านอย่างช่วยไม่ได้เพราะสิ่งที่พึ่งจะเกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

เยี่ยเฟิงหานลืมตาขึ้นช้า ๆ “อย่างที่คิด ภาพลวงตาจับต้องได้… พลังครึ่งหนึ่งเป็นภาพลวงตา ในขณะที่พลังอีกครึ่งเป็นของจริงใช่ไหม? พลังของเจ้าทำให้เจ้ามอบความมีตัวตนให้แก่ภาพลวงตาพวกนี้ ดูเหมือนว่าเจ้าแห่งแดนฝันจะสามารถสังหารผู้คนในแดนแห่งความจริงได้แล้ว แต่ทำเช่นนั้นได้เฉพาะผู้คนธรรมดาเท่านั้น หากเป็นผู้ฝึกตนแล้วเจ้าก็คงไม่มีตัวเลือกนอกจากหลอกให้พวกเรากลัวเล็กน้อยเท่านั้น”

เยี่ยเฟิงหานเข้าใจกลยุทธ์นี้อย่างทะลุปรุโปร่งทันที

ดวงตาที่ล่องลอยอยู่พลันส่งเสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวออกมาอีกครั้ง

แต่คราวนี้ เยี่ยเหิงหานสามารถใช้พลังอมตะของตนเพื่อปกป้องจิตไว้ได้ ทำให้เขาไม่สั่นไหวอีกต่อไป

แม้ว่าเทพเจ้าจะทรงพลัง ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็จะถูกจำกัดไว้จนกว่าปราการจะพังทลายลง

สิ่งที่เขาได้พบเห็นนั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าความสามารถของแดนฝันในการทำให้ภาพลวงตามีตัวตนขึ้นจริงได้ มันเป็นเพียงการใช้เล่ห์เหลี่ยมกับสัมผัสของเยี่ยเฟิงหานเท่านั้น

เมื่อเยี่ยเฟิงหานหยุดใช้สัมผัสของตัวเอง ความจริงก็จะกระจ่างแจ้ง พลังอันจำกัดที่เจ้าแห่งแดนฝันควบคุมอยู่ไม่อาจทำให้เยี่ยเฟิงหานเกรงกลัวได้ ในทางกลับกัน พลังจิตของเขาซึ่งถูกจำกัดไว้น้อยกว่ามากนั้นเป็นภัยยิ่งกว่ามหาศาล

แต่การตั้งเป้าหมายไปยังจิตของเขาก็ไร้ประโยชน์เพราะตอนนี้เขากำลังปกป้องมันด้วยพลังอมตะ

ดวงตาลอยได้ชักดิ้นชักงออยู่กลางอากาศ ไม่ว่าโครงกระดูกยักษ์จะโจมตีเท่าไร มันก็ไม่อาจส่งผลต่อเยี่ยเฟิงหานได้ กระดูกมากมายกระเด็นออกมาจากร่างโครงกระดูกยักษ์ และกระทั่งหมอกสีดำมืดก็เริ่มจางหายไป

ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!

เมื่อร่างของกระดูกเริ่มแยกออกจากกัน มันก็เริ่มสูญเสียการเคลื่อนไหว ไม่นานมันก็หยุดนิ่งลงเช่นเดิม แต่คราวนี้อยู่ในรูปแบบของซากปรักหักพังแทนที่จะเป็นปราสาทอันสง่างาม

เยี่ยเฟิงหานเดินเข้าไปยังแท่นบูชา

ดวงตาประหลาดเริ่มตื่นตระหนกในที่สุด

แต่ไม่ว่ามันจะพยายามเท่าไร มันก็ไม่อาจทำอะไรจิตใจของเยี่ยเฟิงหานได้

สายตาของชายหนุ่มถูกดึงดูดไปยังผลึกแก้วสีทองที่วางเด่นอยู่บนแท่น

“ไม่ อย่าแตะต้องมัน!” จิตวิญญาณอันทรงพลังแทรกซึมเข้าไปในจิตใจของชายหนุ่ม

เยี่ยเฟิงหานเมินเฉยและยื่นมือออกไปคว้ามันไว้

แต่ตอนที่กำลังจะหยิบมันมานั้นเอง เขาก็หยุดลงกะทันหัน

เยี่ยเฟิงหานเอ่ยขึ้น “นี่คือผลึกศักดิ์สิทธิ์หรือ?”

ไม่มีการตอบสนองใด ๆ

เยี่ยเฟิงหานไม่ได้หยิบมันขึ้นมา เขากลับจ้องมองผลึกแก้วสีทองอย่างใจเย็น “มันดูคุณภาพสูงทีเดียว”

“เจ้า… ทำไมเจ้าไม่เอามันไป?” ดวงตาลอยได้ตะลึงงัน

เยี่ยเฟิงหานหัวเราะ “น้ำเสียงเจ้าควรจะโล่งอกไม่ใช่หรือไง?”

“โล่งอกหรือ? อา… ใช่ ข้าโชคดีมาก แต่… ทำไมเจ้าไม่เอามันไปล่ะ? ยังไงนี่คือผลึกศักดิ์สิทธิ์ที่สร้างขึ้นโดยเทพเจ้า กระทั่งเทพเจ้าก็สร้างมันขึ้นมาได้ยากลำบากทีเดียว ถ้าเจ้าได้รับมันไป ความแข็งแกร่งของเจ้าจะเพิ่มขึ้นมหาศาล”

“นี่เจ้ายุยงข้าหรือ?” เยี่ยเฟิงหานถาม

ดวงตานั้นปิดปากเงียบทันที

เยี่ยเฟิงหานถามต่อ “ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าเจ้าอยากให้ข้าเอามันไปล่ะ?”

“ไม่ ไม่เลยสักนิด” ดวงตาลอยได้ตอบอย่างไร้พลังอำนาจ “เวรเอ๊ย เจ้าคิดจะทำอะไรกัน?”

เมื่อเห็นดังนั้น เยี่ยเฟิงหานก็สบายใจยิ่งขึ้นไปอีก “ข้าไม่คิดว่าเจ้าชอบคำถามของข้าสักเท่าไหร่”

“อ๊ากกกกกกกก!!!” ดวงตานั้นคำรามลั่นใส่เยี่ยเฟิงหาน

แต่ก็สายเกินไปแล้ว

เยี่ยเฟิงหานดึงมือกลับมาช้า ๆ “ข้าไม่คิดว่านั่นคือผลึกศักดิ์สิทธิ์หรอก”

“มันต้องใช่สิ! จะไม่ใช่ได้ยังไง!” ดวงตาประหลาดแผดเสียงราวกับว่ากำลังจะเป็นบ้า

เยี่ยเฟิงหานยังคงใจเย็นอยู่เมื่อเขาจ้องดวงตานั้นเขม็ง “งั้นนี่ก็เป็นกับดักใช่ไหมล่ะ? ผลึกศักดิ์สิทธิ์ปลอมนี่เป็นแค่กับดักหลอกล่อพวกเรา อุปสรรคทั้งหลายก็เพียงเพื่อให้ข้าคิดว่าของสิ่งนี้มีค่าอย่างถึงที่สุดล่ะสิ? ยังไงซะสิ่งที่ข้าได้มาอย่างยากลำบากก็ต้องมีค่าอยู่แล้ว”

“หุบปาก!” ดวงตาตรงหน้าตะโกนอย่างบ้าคลั่ง

“มันคืออะไรหรือ?” เยี่ยเฟิงหานถาม “และทำไมเจ้าต้องเล่นละครยิ่งใหญ่นักล่ะ?”

“ไอ้ชั่ว! รีบหยิบมันไปเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นข้าจะฆ่าเจ้า!” ดวงตาลอยได้คำรามลั่นขณะที่มันเริ่มกลับคืนสู่ร่างเดิม

โชคไม่ดีนักที่ภัยคุกคามเหล่านี้ไม่เป็นผลต่อเยี่ยเฟิงหานแม้แต่น้อย

เขาจ้องดวงตานั้นเขม็งอย่างเยือกเย็น “บอกข้ามาว่ามันคืออะไร ไม่งั้นข้าจะฆ่าเจ้า!”

ทั้งสองฝ่ายต่างข่มขู่กันและกัน แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีฝ่ายใดทำอะไรอีกฝ่ายได้แม้แต่น้อย

แต่ในตอนนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

“นั่นคือผลึกศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ แต่มันเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณของเจ้าแห่งแดนฝัน ถ้าเจ้าหยิบมันไป จิตใจของเจ้าจะถูกจิตวิญญาณของเขาบุกรุก และเปลี่ยนเจ้าเป็นหุ่นเชิดเพื่อให้เขาใช้งานต่อไป”

เยี่ยเฟิงหานและดวงตาลอยได้ล้วนตกตะลึงอย่างพร้อมเพรียงกัน

เยี่ยเฟิงหานกล่าว “ท่านเจ้านิกาย?”

ดวงตาลอยได้ขู่คำราม “ซูเฉิน!”

รอยแยกปรากฏขึ้นในพื้นที่รอบตัวพวกเขา ใครบางคนก้าวออกมาจากรอยแยกนั้น ซูเฉินนั่นเอง

ขณะที่เขามองไปยังดวงตากำลังเจือจางลง “ไม่เจอกันนานเลยนะ เจ้าแห่งแดนฝัน ดูเหมือนว่าท่านจะมีลูกไม้ใหม่ ๆ มากมายตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เราพบกัน”